ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 190

สายฝนที่ตกกระหน่ำในช่วงสองสามวันนี้ได้ชะล้างความสกปรกของทั่วทั้งเมืองจินหลิง ตอนเช้าหลังฝนหยุดตก อากาศก็แจ่มใส แต่น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดี ๆ มีไม่มากนัก ไม่นานหลังจากที่ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นมาเหนือศีรษะในตอนเที่ยงวันได้ไม่ทันไร ทั้งเมืองก็เข้าสู่อากาศร้อนอบอ้าว ร้อนขนาดที่แม้แต่จักจั่นก็ยังแหบแห้ง

เกาจ้านขังตัวเองอยู่ในบ้านนานหลายวัน ในทุกๆวันแม่บ้านจะมาทำความสะอาดอย่างตรงเวลา แต่ในวันที่ห้า แม่บ้านก็ทนกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่โชยออกมาจากในห้องนอนไม่ได้ เธอจึงโทรหาพี่สาวของเขา

“เกาจ้าน”

เกาเหลียน เปิดประตูบ้านและเข้าไปในบ้านทันที

เกาจ้านอาศัยอยู่ในคอนโด 2 ชั้น ทางด้านล่างเอาประตูออกเพื่อสร้างห้องนอนแบบเปิดและห้องนั่งเล่น ที่ชั้นบนเกาเหลียนเป็นคน ออกแบบและตกแต่งเองทั้งหมด มันเป็นสไตล์นอร์ดิกมินิมัลลิสต์ ที่มองดูแล้วให้ความสดชื่นเป็นอย่างมาก

แม่บ้านเป็นคนที่ค่อนข้างมีความรับผิดชอบ ตั้งแต่เดินเข้าประตูบ้านมา ในบ้านนั้นดูสะอาดเรียบร้อยมาก แต่พอเดินลงบันไดได้เพียงแค่สองขั้น เกาเหลียนก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นเหม็นเปรี้ยวลอยขึ้นมา เธอเอามือบีบจมูกและตะโกนลงไปที่ชั้นล่างว่า

“เกาจ้าน อย่าบอกนะว่า นายเอาขยะมาทิ้งในห้อง ?เหม็นขนาดนี้ นายยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?”

ข้างล่างไม่มีการเคลื่อนไหว

เกาเหลียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอพยายามฝืนตัวเองและค่อยๆก้าวเท้าลงไปอีกหนึ่งขั้น

เมื่อมองแวบแรก เธอเห็นชั้นล่างดูเหมือนเป็นถังขยะขนาดใหญ่ ทั้งขวดไวน์ เศษขนม และของกระจุกกระจิกกระจายเต็มพื้นไปหมด ขยะกองเป็นภูเขา

โดยส่วนมากคือกล่องอาหารที่สั่งมาจากร้านอาหารออนไลน์

“แม่เจ้า กินได้ ดื่มได้ และสั่งอาหารกลับบ้านได้ ยังแสร้งทำเป็นว่าตัวเองตายไปแล้วยังนั้นเหรอ?”

เกาเหลียนโมโหเป็นอย่างมาก เธอคว้าผ้ามาคลุมมือไว้ข้างหนึ่งแล้วหยิบกล่องอาหารที่วางบนโต๊ะขึ้นมา "นายเชื่อไหมว่า ฉันสามารถเอาอาหารที่นายสั่งมาโยนใส่หัวของนายได้ ! แล้วรู้ไหมว่าฉันไม่ค่อยมีเวลาว่าง.. ."

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เกาเหลียนมองย้อนกลับไปที่กล่องบรรจุอาหารโดยที่บรรจุภัณฑ์ยังไม่มีการถูกแตะต้อง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันใด

“เกาจ้าน นายไม่ได้กินข้าวมาสองสามวันแล้วนะ”

กล่องอาหารที่ตั้งกองกันเป็นชั้นๆบนโต๊ะยังไม่ได้ถูกแตะต้องเลยแม้แต่น้อย

ร่างของชายที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มราวกับคนตายแล้วก็มิปาน ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ เกาเหลียนตื่นตระหนกและรีบเปิดผ้าห่มขึ้นในทันที เธอจ้องไปที่ของบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเวลานาน จากนั้นก็โยนมันลงกับพื้นเพื่อระบายความโกรธ

“ไอ้เด็กบ้า ไม่ตายซะ !”

ตุ๊กตาสุนัขกลิ้งไปมาอยู่ที่พื้นด้วยความไร้เดียงสา และกระดิ่งที่คอของมันยังคงก็ส่งเสียงกริ๊งๆอยู่ชั่วครู่ก่อนที่มันจะสงบลง

เกาเหลียนหยิบกระเป๋าขึ้นมา จากนั้นก็รีบเดินออกจากคอนโดด้วยความโมโห

ปั่นหัวฉันอย่างนั้นเหรอ ไอ้เด็กบ้า

ที่ชั้นล่างในแผนกผู้ป่วยในของโรงพยาบาล ถานซูจิ้งและเซิ่งอันหรานเพิ่งจะทานข้าวเสร็จ และทั้งสองนั่งคุยกันอยู่ในศาลา

“วันนั้นเธอปฏิเสธคำขอแต่งงานของเขาโดยไม่ได้ให้เหตุผลอะไรกับเขาเลยอย่างนั้นเหรอ ?”

"เหตุผลอะไรล่ะ ?"

ถานซูจิ้งก้มศีรษะลง พร้อมกับหัวเราะเยาะตัวเอง

“ฉันไม่คิดว่านั่นคือเหตุผล สาเหตุจะพูดไปแล้วก็เป็นเพราะตัวฉันเอง เขาเป็นคุณชายที่คุ้นชินกับการมีชีวิตที่อิสระ หากฉันมอบทั้งชีวิตของตัวเองให้กับเขาไป แสดงว่าฉันคงจะเป็นคนที่สมองมีปัญหาแน่ๆ”

“แต่ทว่านะ นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว สุขภาพร่างกายฟื้นตัวดีขึ้นแล้วไม่ใช่เหรอ? และคุณหมอเองก็บอกว่าตราบใดที่อารมณ์ยังคงปกติก็ไม่มีปัญหาอะไร?”

"ไม่ใช่ฟื้นตัว"

ถานซูจิ้งเงยหน้าขึ้นและมองตาของเซิ่งอันหรานอย่างจริงจัง

“ไม่มีการฟื้นตัวใดๆทั้งนั้น เพียงแค่ช่วงนี้อาการไม่ได้กำเริบเท่านั้นเอง มันเหมือนกับระเบิดเวลาลูกหนึ่ง เราไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตอนที่ฉันเข้าร่วมกับกองทัพเป็นเวลาที่จิตใจของฉันรู้สึกสงบที่สุด ถ้าหากว่าในชีวิตของฉันไม่สัมผัสกับประสบการณ์ที่โชกโชนมาก่อน ชีวิตของฉันจะออกจากสิ่งนั้นได้อย่างไร เธอลองคิดดูสิ ไม่มีอะไรที่สามารถรั้งฉันไว้ได้ อย่าว่าแต่เรื่องความรักเลย ”

กองทัพ สถานที่แห่งนั้นมีแต่สงบจิตใจและมีอารมณ์ที่แน่วแน่ไม่แปรปรวน เธอต้องเชื่อฟังคำสั่ง เชื่อฟังคำสั่งก็พอ แต่ก็ไม่สามารถกักขังตัวเองอยู่ที่นั่นได้ตลอดชีวิต ในเมื่อเลือกที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว เธอก็ต้องใช้มันอย่างเต็มที่

“ไม่ใช่ว่าเกาจ้านต้องการกักขังเธอ แต่เป็นเพราะเธอไม่ต้องการให้เขากักขังเธอไว้ต่างหาก ” เซิ่งอันหรานกล่าวด้วยประโยคที่แฝงไปด้วยความหมาย

เดิมทีถานซูจิ้งกำลังยิ้มอย่างเปิดเผย แต่รอยยิ้มนั้นของเธอหยุดนิ่งทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่เซิ่งอันหรานพูด

เดิมทีเซิ่งอันหรานคิดว่าตัวเองพูดตรงเกินไป แต่เมื่อเธอมองดูดีดีแล้ว กลับพบว่าสายตาของ ถานซูจิ้งไม่ได้มองมาที่เธอเลย แต่มันมองผ่านไหล่และทะลุไปทางด้านหลังของเธอ

เมื่อเธอหันไปมองตาม เธอแทบจะจำไม่ได้

ชายที่ไม่โกนหนวดยืนอยู่นอกศาลา เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งมีคราบสีเหลืองเปื้อนติดอยู่ แสงของดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงสาดส่องลงมาที่เขา เห็นแล้วรู้สึกแสบผิวหนังแทน

เขาคือเกาจ้านนั่นเอง

ปกติเขาเป็นผู้ชายที่จะต้องแต่งตัวเรียบร้อย แม้แต่ต้องเข้าร่วมการประชุมเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง

เขาจะต้องฉีดน้ำหอมที่มีลักษณะเฉพาะ ผมเผ้าดูสะอาดเรียบร้อย ใครเห็นก็เป็นต้องหวั่นไหวให้กับชายคนนี้

ตอนนี้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ ?

“เอ่อ ถ้างั้น ซูจิ้ง ฉันขอหลบไปก่อนนะ”

เซิ่งอันหราน ยืนขึ้นอย่างชาญฉลาด

"ไม่จำเป็นหรอก"

เสียงของถานซูจิ้งฟังดูเย็นชา เธอไม่เห็นถานซูจิ้งเย็นชาแบบนี้มาก่อน แม้แต่ตอนที่เธอทะเลาะกับคนอื่นยังมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้ ราวกับเปลวไฟที่สามารถระเบิดพลังงานออกมาได้ทุกที่ทุกเวลา

“ฉันคิดว่า วันนั้นฉันได้พูดกับคุณไปอย่างชัดเจนทุกอย่างแล้ว ตอนนี้คุณมายืนต่อหน้าฉันในสภาพแบบนี้ คงจะได้เรียนรู้ถึงความรู้สึกผิดหวังและความขมขื่นแล้วสินะ คิดว่าตัวเองแบบนี้จะสามารถทำให้คนอื่นเห็นอกเห็นใจได้อย่างนั้นเหรอ"

"ไม่ใช่"

เกาจ้านเดินเข้ามายื่นอยู่ตรงหน้า ร่างอันสูงใหญ่ของเขาบดบังแสงของดวงอาทิตย์ที่แผดเผา

เซิ่งอันหรานขยับออกไปทางด้านข้างสองก้าว แต่เธอก็ยังคงรู้สึกว่าถูกรังสีที่แผ่ออกมาจากคนทั้งสองทำให้เธอเกิดความรู้สึกอึดอัด มันอึดอันมากจริงๆ

“ผมก็แค่อยากจะมายืนยันกับคุณให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ”

“ยืนยันอะไร”

“ยืนยันว่าสิ่งที่คุณพูดกับผมในวันนั้นเป็นความจริง หากว่าคุณมีความสามารถก็ช่วยพูดกับผมอีกครั้ง” เกาจ้านกัดฟันกรอด น้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะเล็ดลอดออกมาจากช่องฟัน

“ผมจะบอกอะไรคุณให้นะ สองวันนี้ผมคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว คำพูดของคุณเหมือนมีดที่ทิ่มแทงใจผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าหากเก่งจริงก็พูดมันออกมาอีกครั้งสิ ”

ถานซูจิ้งมักจะพูดคำหยาบกับผู้ชายเป็นประจำอยู่แล้ว

และในข้อนี้เซิ่งอันหรานก็ได้เรียนรู้มาจากเธอด้วย ปกติเธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่เป็นกุลสตรี

หลายปีมานี้เธอมีแฟนแค่ไม่กี่คน และพวกเขาต่างก็รักเธอจนขนาดที่ยอมตายได้เช่นเดียวกับเกาจ้าน

"รอสักครู่"

ก่อนที่คำพูดเหล่านั้นจะถูกพูดออกไป เซิ่งอันหรานได้ทำลายความเงียบสงบ เธอยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ

“เอ่อ ขอโทษที่ขัดจังหวะนะ ก่อนที่พวกเธอจะฉีกหน้ากัน เกาจ้าน ให้ฉันถามอะไรคุณหน่อยได้ไหม คุณชอบซูจิ้งจริงๆเหรอ แล้วคุณชอบอะไรในตัวเธอ ?”

“อันหราน ถามเรื่องนี้ทำไม?เขาชอบที่ไหนกันล่ะ ผู้หญิงข้างกายเขามีตั้งมากมายไม่ได้ขาด ลำพังต้องการแค่ฉัน ? “ถานซูจิ้งแสร้งทำเมินเฉย

เมื่อได้ยินดังนั้น เกาจ้านก็ขมวดคิ้ว พร้อมกับสารภาพด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า

“ทำไมผมจะไม่ชอบคุณ ที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่กระตือรือร้นกับทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกอย่างคุณมาก่อน มีความหลงใหลเหมือนเปลวไฟ มีจินตนาการที่ไร้ขอบเขต และมีอิสระที่ไม่สามารถมีใครรั้งไว้ได้ คุณเป็นผู้หญิงที่เจิดจรัสกว่า สว่างไสวกว่าดอกไม้ไฟเสียอีก ”

เขาพูดออกมาเสียงดัง และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น

แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นประกายที่อยู่ในดวงตาของเซิ่งอันหรานก็ถูกหรี่ลง เธอค่อยๆถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ พร้อมกับมองไปที่ถานซูจิ้ง และพูดออกมาสองคำว่า

"จัดการ"

หากว่าคุณชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณสมบัติของเธอ นั่นแสดงว่าเป็นเรื่องที่ผิด เพราะในความเป็นจริงแล้วเธออาจจะต่างกลับสิ่งที่คุณรู้สึกได้อย่างสุดขั่ว แล้ว คุณจะยังชอบผู้หญิงคนนั้นอยู่ไหม ?

ซึ่งถานซูจิ้ง ก็เป็นเช่นดังกล่าว

“เกาจ้าน คุณไปเถอะ”

น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำและเชื่องช้าดังขึ้นในศาลา

“คู่นอนของฉันไม่ได้น้อยไปกว่าคุณหรอก ทุกคนก็แค่เล่นๆ ใครที่จริงจังก่อนคนนั้นก็ย่อมแพ้ไป

ทำไมจะต้องทรมานตัวเองแบบนี้ด้วย ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน