ผูกรักท่านประธานพันล้าน นิยาย บท 213

การแสดงคอนเสิร์ตของเส้าซือในครั้งนี้ เป็นการแสดงร่วมกับดาราและนักร้องของบริษัทอื่น ๆ มีผู้ชมไปชมจำนวนมาก วันนี้มีนักร้องสุดฮอตสี่คนมารวมตัวกัน ทำให้ตั๋วทั้งหมดที่ขายบนเว็บไซต์ถูกขายไปจนไม่เหลือ

หลังจากส่งแฟนคลับตัวน้อยสองคนออกไป เส้าซือก็ยิ้มอย่างจำใจ ผู้จัดการที่ยืนอยู่ทางด้านข้างบอกให้เขารีบไปแต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า

“โอ๊ย พระเจ้า รีบนั่งทำลงทำผมซะ เดี๋ยวจะขึ้นเวทีเร็ว ๆ นี้แล้ว นายยังมีเวลามาต้อนรับแฟนตัวน้อยสองคนนี้อีก ”

"นั่นไม่ใช่แค่แฟนคลับของผม แต่ยังเป็นหลานสาวของผมด้วย น่ารักใช่หรือเปล่าล่ะ"

เส้าซือถูกผู้จัดการพาตัวมานั่งลงที่เก้าอี้ และถูกช่างแต่งหน้าทำผมรุมตัวยุ่งไปหมด

“ใช่แล้ว วันนี้นักลงทุนทั้งหมดก็อยู่ที่นี้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำผิดพลาดล่ะ อีกสักพักเสร็จงานแล้ว นายจะต้องไปงานเลี้ยงฉลองด้วยกัน คราวนี้ฉันจะไม่อนุญาตให้นายออกไปไหน”

เส้าซือชักสีหน้า "ผมไม่อยากไป"

“ไม่อยาก ก็ต้องไป”

ผู้จัดการดูจริงจัง “คนพวกนั้น พวกสปอนเซอร์มีเจ้าไหนบ้างที่มีเงินน้อยกว่านาย นายคิดว่าพวกเขามายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพูดคุยหัวเราะและดื่มกับพวกเขา นายลองไปสัมผัสดู ว่านายก็สามารถจับเงินเป็นหมื่นเป็นล้านหยวนได้ ทำไมถึงไม่ไปล่ะ?”

คำพูดเหล่านี้ เส้าซือรู้สึกได้ยินจนเบื่อแล้ว "พี่เหลยต่อไปช่วยรับงานสปอนเซอร์หรือโฆษณาพวกนี้ให้น้อยลงหน่อยได้ไหม ผมแค่อยากจะทำอัลบั้มให้มันดีก็เท่านั้น"

“พระเจ้า คำพูดของฉัน มันไม่เข้าหูนายเลยหรือยังไง ? ตลาดอัลบั้มเป็นอุตสาหกรรมยามพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอยากจะซื้อมันแล้ว และการละเมิดลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ตก็รุนแรงขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าเราจะเอาเพลงมาลงขายในอินเทอร์เน็ต มันก็ไม่สามารถทำเงินได้มากขนาดนั้น ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าเราจะหาเงินมาชดเชยในขั้นตอนการผลิตได้หรือไม่ ดีที่สุดก็ไม่ขาดทุน ฉันไม่คัดค้านการแสวงหาผลงานศิลปะของนาย แต่นี่ฉันก็พยายามหาวิธีหาเงินและคนมาสนับสนุนนายอยู่ นายก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของฉันด้วย ”

“ก็ได้ๆ ผมจะไม่พูดแล้ว”

เส้าซือ ยกมือขึ้นและยอมจำนน

เป็นคนในวงการบันเทิง ถ้าคุณอยากเป็นศิลปินที่ไร้มลทิน บริสุทธิ์ ปราศจากเรื่องเหล่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ หากใช้เงินจากสปอนเซอร์โฆษณาเพื่อมาทำเพลง ก็ยังถือได้ว่าเป็นการยืนกรานที่บริสุทธิ์

เข้าสู่วงการได้ไม่ถึงปี รู้สึกเหมือนถูกตัดแขนตัดขา ราวกับลูกข่างที่หมุนไปเรื่อยๆ และเมื่อลูกข่างหยุด มันก็จะล้มลง

ผู้ชมเห็นแต่ความฉลาดของคุณบนเวที หรือเห็นคุณตอนที่คุณตกลงมาจากแท่นบูชาด้วยความอับอาย เขาจะมีเวลามาใส่ใจอารมณ์และความปรารถนาของคุณได้อย่างไร?

หลังจากจบการแสดง ทีมงานได้เข้ามาแจ้งสถานที่และเวลาของงานเลี้ยงฉลองที่จะเกิดขึ้น เส้าซือ ถูกผู้จัดการของเขาจ้องตาไม่กะพริบตั้งแต่ออกมาจากสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตจนกระทั่งถึงงานเลี้ยงของโรงแรม เขาไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้เลย แม้ว่าเขาต้องการที่จะไป

“ผมไม่ไปไหนจริงๆ พี่เหลยได้โปรดหยุดมองผมสักทีจะได้ไหม ?ผมชักจะกลัวแล้วนะ ”

“ถึงเวลาที่นายทักทายประธานของวอร์เนอร์ก่อน และฉันจะหยุดจ้องนาย นายอยากจะไปทำอะไรก็ตามใจ ”

“แม่เจ้า เกย์คนนั้นอ่ะเหรอ หัวอ้วนๆ หูใหญ่ๆ ใช้มือลูบหน้าปาดน้ำมันได้เป็นถังๆ ? การทักทายเขาสามารถลดอายุขัยของผมได้ถึงสิบปีเชียวนะ”

“ รังเกียจแค่ไหน ยิ้มสักหน่อยก็คงไม่ตายหรอก”

ในขณะที่ทั้งสองกำลังยื่นอยู่อย่างสงบ มีเหงาของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากมุมห้องอีกด้านหนึ่ง เขาสวมสูทสีน้ำตาลและผูกโบสีน้ำเงินเข้ม และกำลังถือแก้วแชมเปญที่มีราคาแพงมาก

“น่าแปลกจัง ฉันได้ยินมาว่าเส้าซือไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแบบนี้มาก่อน ”

เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหูของเส้าซือ เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขากำลังหันหลังให้กับหลินมู่เหยียนอยู่ ใบหน้าของเขาซีดเซียวขึ้นมาในทันที

“ประธานหลิน?” ผู้จัดการกัดฟันยิ้ม “นี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ เราไม่เคยเห็นเส้าซือเข้าร่วมงานแบบมาก่อนเลย ปกติมักจะบอกว่าไม่สบายขอกลับไปพักที่โรงแรมก่อนแทบจะทุกครั้ง ครั้งนี้ ร่างกายไม่มีปัญหาก็เลยมาอย่างนั้นสินะ "

"อ่อ?"

เมื่อน้ำเสียงในประโยคคำพูดสุดท้ายของหลินมู่เหยียนดังขึ้น มันทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ

“พวกคุณคุยกันไปก่อนนะครับ ผมจะไปทักทายแขกที่อยู่ทางด้านนูนก่อน”

ผู้จัดการรีบหาเหตุผลในการหนีออกไปจากตรงนี้ และก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ตบเบาๆที่ไหล่ของเส้าซือ สายตาของเขาแฝงไปด้วยความหมายเป็นนัยๆว่า ให้เส้าซือคว้าโอกาสนี้ไว้ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เห็นหลินมู่เหยียนมีอะไรที่ไม่ดีเลย

เส้าซือดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เขาหาผู้จัดการประเภทมาได้อย่างไรกัน ? วันๆเอาแต่จะดันเขาเข้ากองไฟ จริงไหม?

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

เสียงแผ่วเบาของหลินมู่เหยียนดังมาจากทางด้านหลัง

เขากระตุกมุมปากและฝืนยิ้ม “ไม่นานหรอก เมื่อสามวันก่อน เพิ่งจะ'บังเอิญ'เจอหน้ากันที่ โตเกียว ไม่ใช่เหรอ?”

ใช้คำว่า บังเอิญ นั้นเป็นคำพูดที่ดูสวยงาม ใครจะไปเชื่อว่าคนสองคนจะบังเอิญเจอหน้ากันได้ไกลถึงต่างประเทศเมื่อสามวันที่แล้วได้ล่ะ คิดได้เพียงแค่ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้จริงๆ

เส้าซือเคยสงสัยผู้จัดการของเขาว่า หรือจะเป็นพี่เหล่ยที่บอกแผนการเดินทางของเขาให้กับหลินมู่เหยียนรู้

"น่าเสียดายจัง" หลินมู่เหยียนถือแก้วแชมเปญสีส้มแกว่งไปมาเบาๆ "หากว่าไปตอนเดือนมีนา เมษา นายก็จะได้เห็นดอกซากุระที่สวยงาม"

“ประธานหลินเป็นคนดูว่างๆ และดูหรูหราจริงๆ”

เส้าซือเหลือบมองเขาอย่างเฉยเมย "ฉันไปทำงาน จะเลือกเวลาได้อย่างไร มันเทียบไม่ได้กับเจ้านายอย่างนาย ที่ดูมีเวลาว่าง"

หลินมู่เหยียนยังคงไม่รู้สึกอะไร เขาขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ฉันได้ยินมาว่านายและประธานจูจากวอร์เนอร์ มีกิจกรรมวันหยุดร่วมกัน ?”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เส้าซือก็แสดงท่าทางแข็งกร้าว และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ?”

หลังเวทีเทศกาลภาพยนตร์เกียวโตเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ประธานจูจากวอร์เนอร์ที่เข้างานในวันนั้น ได้ทำเรื่องที่น่าอับอาย โดยการจับก้นของเขาต่อหน้าแขกทุกคนในงาน

มันเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงสำหรับเขามานานถึงครึ่งเดือนแล้ว และเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าท้องไส้ป่วนขึ้นมาในทันที

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้จัดการตาไวและหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะชกมันแน่

“ไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่เมื่อเร็วๆนี้หลินซือกรุ้ปก็ได้ร่วมมือกับวอร์เนอร์ด้วยเช่นกัน และฉันมอบของบางสิ่งให้เขาเพื่อเป็นการรักษาหน้าเขา ตอนนี้วอร์เนอร์ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหมูตัวนั้นอีกต่อไปแล้ว”

เส้าซือชะงัก เขามองไปที่หลินมู่เหยียนด้วยความประหลาดใจ "นายให้อะไร ?"

“มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าภาพหมูกอดผู้ชายในโรงแรม มันดูดีมาก ชายชราแทบจะหัวใจวายตาย ตอนนั้นเขาจึงโทรศัพท์มาบอกว่าให้ถอดเขาออกจากตำแหน่ง"

หลินมู่เหยียนเกิดมาพร้อมกับอิสระโดยไม่ถูกจำกัดขอบเขต ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ เส้าซือนิ่งไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะไว้ไม่ได้

“เป็นยังไงบ้าง? เพื่อเป็นการขอบคุณฉัน นายไม่คิดจะชวนฉันไปกินข้าวหน่อยเหรอ?”

“ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วยสักหน่อย”

เส้าซือเลิกคิ้วและวางแก้วไวน์ลง “เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอขอโทษไอ้หัวหมูตัวนั้นแล้ว เอ่อ หากว่าประธานหลินพบผู้จัดการของฉัน รบกวนช่วยบอกเขาด้วยว่า ฉันขอตัวออกไปก่อน"

เขาเดินออกไปอย่างฉลาดและมีไหวพริบ หลินมู่เหยียนยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เขาก้มศีรษะลงและยิ้ม พร้อมกับเดินตามเส้าซือออกไป

“ที่นี่มันน่าเบื่อใช่ไหม ?นายถึงได้ต้องไล่ตามคนอื่น เพื่ออยากจะให้เขาเลี้ยงข้าวน่ะ ?”

หลังจากเดิมออกไปบนถนนได้สักพัก เส้าซือก็พบว่าหลินมู่เหยียนกำลังเดินตามเขาอยู่ ซึ่งมันน่าโมโหจริงๆ

"ฉันคือนักธุรกิจ"

หลินมู่เหยียนดูเกียจคร้าน "นักธุรกิจก็ต้องมีกำไรก่อน แบบนั้นมันถึงจะหยุดฉันได้ "

“ถ้าเลี้ยงข้าวนายแล้ว นายจะเลิกตามฉันใช่ไหม”

"แน่นอน"

หลังจากได้ยินสองคำนี้ ดวงตาคู่หนึ่งภายใต้แว่นกันแดดก็มองไปยังแผงขายอาหารโอเด้งที่อยู่ข้างถนน เส้าซือพูดขึ้นอย่างเงียบ ๆ

“นี่นายพูดเองนะ ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน