การแสดงคอนเสิร์ตของเส้าซือในครั้งนี้ เป็นการแสดงร่วมกับดาราและนักร้องของบริษัทอื่น ๆ มีผู้ชมไปชมจำนวนมาก วันนี้มีนักร้องสุดฮอตสี่คนมารวมตัวกัน ทำให้ตั๋วทั้งหมดที่ขายบนเว็บไซต์ถูกขายไปจนไม่เหลือ
หลังจากส่งแฟนคลับตัวน้อยสองคนออกไป เส้าซือก็ยิ้มอย่างจำใจ ผู้จัดการที่ยืนอยู่ทางด้านข้างบอกให้เขารีบไปแต่งตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้า
“โอ๊ย พระเจ้า รีบนั่งทำลงทำผมซะ เดี๋ยวจะขึ้นเวทีเร็ว ๆ นี้แล้ว นายยังมีเวลามาต้อนรับแฟนตัวน้อยสองคนนี้อีก ”
"นั่นไม่ใช่แค่แฟนคลับของผม แต่ยังเป็นหลานสาวของผมด้วย น่ารักใช่หรือเปล่าล่ะ"
เส้าซือถูกผู้จัดการพาตัวมานั่งลงที่เก้าอี้ และถูกช่างแต่งหน้าทำผมรุมตัวยุ่งไปหมด
“ใช่แล้ว วันนี้นักลงทุนทั้งหมดก็อยู่ที่นี้ด้วย เพราะฉะนั้นอย่าทำผิดพลาดล่ะ อีกสักพักเสร็จงานแล้ว นายจะต้องไปงานเลี้ยงฉลองด้วยกัน คราวนี้ฉันจะไม่อนุญาตให้นายออกไปไหน”
เส้าซือชักสีหน้า "ผมไม่อยากไป"
“ไม่อยาก ก็ต้องไป”
ผู้จัดการดูจริงจัง “คนพวกนั้น พวกสปอนเซอร์มีเจ้าไหนบ้างที่มีเงินน้อยกว่านาย นายคิดว่าพวกเขามายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะพูดคุยหัวเราะและดื่มกับพวกเขา นายลองไปสัมผัสดู ว่านายก็สามารถจับเงินเป็นหมื่นเป็นล้านหยวนได้ ทำไมถึงไม่ไปล่ะ?”
คำพูดเหล่านี้ เส้าซือรู้สึกได้ยินจนเบื่อแล้ว "พี่เหลยต่อไปช่วยรับงานสปอนเซอร์หรือโฆษณาพวกนี้ให้น้อยลงหน่อยได้ไหม ผมแค่อยากจะทำอัลบั้มให้มันดีก็เท่านั้น"
“พระเจ้า คำพูดของฉัน มันไม่เข้าหูนายเลยหรือยังไง ? ตลาดอัลบั้มเป็นอุตสาหกรรมยามพระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครอยากจะซื้อมันแล้ว และการละเมิดลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ตก็รุนแรงขึ้นทุกวันๆ แม้ว่าเราจะเอาเพลงมาลงขายในอินเทอร์เน็ต มันก็ไม่สามารถทำเงินได้มากขนาดนั้น ไม่มีอะไรรับรองได้ว่าเราจะหาเงินมาชดเชยในขั้นตอนการผลิตได้หรือไม่ ดีที่สุดก็ไม่ขาดทุน ฉันไม่คัดค้านการแสวงหาผลงานศิลปะของนาย แต่นี่ฉันก็พยายามหาวิธีหาเงินและคนมาสนับสนุนนายอยู่ นายก็ต้องเข้าใจความรู้สึกของฉันด้วย ”
“ก็ได้ๆ ผมจะไม่พูดแล้ว”
เส้าซือ ยกมือขึ้นและยอมจำนน
เป็นคนในวงการบันเทิง ถ้าคุณอยากเป็นศิลปินที่ไร้มลทิน บริสุทธิ์ ปราศจากเรื่องเหล่านั้น มันเป็นไปไม่ได้ หากใช้เงินจากสปอนเซอร์โฆษณาเพื่อมาทำเพลง ก็ยังถือได้ว่าเป็นการยืนกรานที่บริสุทธิ์
เข้าสู่วงการได้ไม่ถึงปี รู้สึกเหมือนถูกตัดแขนตัดขา ราวกับลูกข่างที่หมุนไปเรื่อยๆ และเมื่อลูกข่างหยุด มันก็จะล้มลง
ผู้ชมเห็นแต่ความฉลาดของคุณบนเวที หรือเห็นคุณตอนที่คุณตกลงมาจากแท่นบูชาด้วยความอับอาย เขาจะมีเวลามาใส่ใจอารมณ์และความปรารถนาของคุณได้อย่างไร?
หลังจากจบการแสดง ทีมงานได้เข้ามาแจ้งสถานที่และเวลาของงานเลี้ยงฉลองที่จะเกิดขึ้น เส้าซือ ถูกผู้จัดการของเขาจ้องตาไม่กะพริบตั้งแต่ออกมาจากสถานที่จัดงานคอนเสิร์ตจนกระทั่งถึงงานเลี้ยงของโรงแรม เขาไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้เลย แม้ว่าเขาต้องการที่จะไป
“ผมไม่ไปไหนจริงๆ พี่เหลยได้โปรดหยุดมองผมสักทีจะได้ไหม ?ผมชักจะกลัวแล้วนะ ”
“ถึงเวลาที่นายทักทายประธานของวอร์เนอร์ก่อน และฉันจะหยุดจ้องนาย นายอยากจะไปทำอะไรก็ตามใจ ”
“แม่เจ้า เกย์คนนั้นอ่ะเหรอ หัวอ้วนๆ หูใหญ่ๆ ใช้มือลูบหน้าปาดน้ำมันได้เป็นถังๆ ? การทักทายเขาสามารถลดอายุขัยของผมได้ถึงสิบปีเชียวนะ”
“ รังเกียจแค่ไหน ยิ้มสักหน่อยก็คงไม่ตายหรอก”
ในขณะที่ทั้งสองกำลังยื่นอยู่อย่างสงบ มีเหงาของชายคนหนึ่งเดินเข้ามาจากมุมห้องอีกด้านหนึ่ง เขาสวมสูทสีน้ำตาลและผูกโบสีน้ำเงินเข้ม และกำลังถือแก้วแชมเปญที่มีราคาแพงมาก
“น่าแปลกจัง ฉันได้ยินมาว่าเส้าซือไม่เคยเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองแบบนี้มาก่อน ”
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหูของเส้าซือ เขาตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขากำลังหันหลังให้กับหลินมู่เหยียนอยู่ ใบหน้าของเขาซีดเซียวขึ้นมาในทันที
“ประธานหลิน?” ผู้จัดการกัดฟันยิ้ม “นี่เป็นความเข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ เราไม่เคยเห็นเส้าซือเข้าร่วมงานแบบมาก่อนเลย ปกติมักจะบอกว่าไม่สบายขอกลับไปพักที่โรงแรมก่อนแทบจะทุกครั้ง ครั้งนี้ ร่างกายไม่มีปัญหาก็เลยมาอย่างนั้นสินะ "
"อ่อ?"
เมื่อน้ำเสียงในประโยคคำพูดสุดท้ายของหลินมู่เหยียนดังขึ้น มันทำให้เกิดบรรยากาศแปลกๆ
“พวกคุณคุยกันไปก่อนนะครับ ผมจะไปทักทายแขกที่อยู่ทางด้านนูนก่อน”
ผู้จัดการรีบหาเหตุผลในการหนีออกไปจากตรงนี้ และก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ตบเบาๆที่ไหล่ของเส้าซือ สายตาของเขาแฝงไปด้วยความหมายเป็นนัยๆว่า ให้เส้าซือคว้าโอกาสนี้ไว้ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เห็นหลินมู่เหยียนมีอะไรที่ไม่ดีเลย
เส้าซือดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เขาหาผู้จัดการประเภทมาได้อย่างไรกัน ? วันๆเอาแต่จะดันเขาเข้ากองไฟ จริงไหม?
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เสียงแผ่วเบาของหลินมู่เหยียนดังมาจากทางด้านหลัง
เขากระตุกมุมปากและฝืนยิ้ม “ไม่นานหรอก เมื่อสามวันก่อน เพิ่งจะ'บังเอิญ'เจอหน้ากันที่ โตเกียว ไม่ใช่เหรอ?”
ใช้คำว่า บังเอิญ นั้นเป็นคำพูดที่ดูสวยงาม ใครจะไปเชื่อว่าคนสองคนจะบังเอิญเจอหน้ากันได้ไกลถึงต่างประเทศเมื่อสามวันที่แล้วได้ล่ะ คิดได้เพียงแค่ ไม่มีอะไรที่เขาทำไม่ได้จริงๆ
เส้าซือเคยสงสัยผู้จัดการของเขาว่า หรือจะเป็นพี่เหล่ยที่บอกแผนการเดินทางของเขาให้กับหลินมู่เหยียนรู้
"น่าเสียดายจัง" หลินมู่เหยียนถือแก้วแชมเปญสีส้มแกว่งไปมาเบาๆ "หากว่าไปตอนเดือนมีนา เมษา นายก็จะได้เห็นดอกซากุระที่สวยงาม"
“ประธานหลินเป็นคนดูว่างๆ และดูหรูหราจริงๆ”
เส้าซือเหลือบมองเขาอย่างเฉยเมย "ฉันไปทำงาน จะเลือกเวลาได้อย่างไร มันเทียบไม่ได้กับเจ้านายอย่างนาย ที่ดูมีเวลาว่าง"
หลินมู่เหยียนยังคงไม่รู้สึกอะไร เขาขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ยินมาว่านายและประธานจูจากวอร์เนอร์ มีกิจกรรมวันหยุดร่วมกัน ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เส้าซือก็แสดงท่าทางแข็งกร้าว และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจว่า “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยล่ะ?”
หลังเวทีเทศกาลภาพยนตร์เกียวโตเมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว ประธานจูจากวอร์เนอร์ที่เข้างานในวันนั้น ได้ทำเรื่องที่น่าอับอาย โดยการจับก้นของเขาต่อหน้าแขกทุกคนในงาน
มันเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงสำหรับเขามานานถึงครึ่งเดือนแล้ว และเมื่อนึกถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เขาก็รู้สึกว่าท้องไส้ป่วนขึ้นมาในทันที
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้จัดการตาไวและหยุดเขาเอาไว้ได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะชกมันแน่
“ไม่ใช่เรื่องของฉัน แต่เมื่อเร็วๆนี้หลินซือกรุ้ปก็ได้ร่วมมือกับวอร์เนอร์ด้วยเช่นกัน และฉันมอบของบางสิ่งให้เขาเพื่อเป็นการรักษาหน้าเขา ตอนนี้วอร์เนอร์ ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของหมูตัวนั้นอีกต่อไปแล้ว”
เส้าซือชะงัก เขามองไปที่หลินมู่เหยียนด้วยความประหลาดใจ "นายให้อะไร ?"
“มันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าภาพหมูกอดผู้ชายในโรงแรม มันดูดีมาก ชายชราแทบจะหัวใจวายตาย ตอนนั้นเขาจึงโทรศัพท์มาบอกว่าให้ถอดเขาออกจากตำแหน่ง"
หลินมู่เหยียนเกิดมาพร้อมกับอิสระโดยไม่ถูกจำกัดขอบเขต ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ เส้าซือนิ่งไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็อดหัวเราะไว้ไม่ได้
“เป็นยังไงบ้าง? เพื่อเป็นการขอบคุณฉัน นายไม่คิดจะชวนฉันไปกินข้าวหน่อยเหรอ?”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วยสักหน่อย”
เส้าซือเลิกคิ้วและวางแก้วไวน์ลง “เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรอขอโทษไอ้หัวหมูตัวนั้นแล้ว เอ่อ หากว่าประธานหลินพบผู้จัดการของฉัน รบกวนช่วยบอกเขาด้วยว่า ฉันขอตัวออกไปก่อน"
เขาเดินออกไปอย่างฉลาดและมีไหวพริบ หลินมู่เหยียนยืนอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง เขาก้มศีรษะลงและยิ้ม พร้อมกับเดินตามเส้าซือออกไป
“ที่นี่มันน่าเบื่อใช่ไหม ?นายถึงได้ต้องไล่ตามคนอื่น เพื่ออยากจะให้เขาเลี้ยงข้าวน่ะ ?”
หลังจากเดิมออกไปบนถนนได้สักพัก เส้าซือก็พบว่าหลินมู่เหยียนกำลังเดินตามเขาอยู่ ซึ่งมันน่าโมโหจริงๆ
"ฉันคือนักธุรกิจ"
หลินมู่เหยียนดูเกียจคร้าน "นักธุรกิจก็ต้องมีกำไรก่อน แบบนั้นมันถึงจะหยุดฉันได้ "
“ถ้าเลี้ยงข้าวนายแล้ว นายจะเลิกตามฉันใช่ไหม”
"แน่นอน"
หลังจากได้ยินสองคำนี้ ดวงตาคู่หนึ่งภายใต้แว่นกันแดดก็มองไปยังแผงขายอาหารโอเด้งที่อยู่ข้างถนน เส้าซือพูดขึ้นอย่างเงียบ ๆ
“นี่นายพูดเองนะ ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน