ท้ายที่สุดอวี้หนานเฉิงก็เกิดความรู้สึกสงสาร เขาไม่อยากทำร้ายเธออีก
เซิ่งอันหรานสงบสติอารมณ์ลง นึกย้อนถึงความขัดแย้งระหว่างคนสองคนเกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนกระทั่งถึงวันนี้ เธอรู้สึกว่ามันจำเป็นที่จะต้องคุยกัน
แม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว แต่ก็สามารถทำให้ทั้งสองฝ่ายเข้าใจกันได้
“ฉันไปหาเซี่ยวเฉิงจงเพื่อดูว่าเขาต้องการทำอะไร แม้ว่าคุณจะไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น ฉันก็คงจะไม่เข้าไปในห้องกับเขาง่ายๆหรอก ถ้าหากไม่มีคนจงใจชี้นำเขา ฉันไม่เชื่อ ว่าเขาจะสนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆของฉัน และพยายามมาทำลายความร่วมมือระหว่างฉันกับ เฉียวอันกรุป
เซิ่งอันหรานเชื่อว่าคำอธิบายของตัวเองนั้นชัดเจนมากพอ เธอหันไปมองอวี้หนานเฉิงทางด้านข้างอย่างระมัดระวัง และเห็นเขากำลังใช้มือนวดตรงหว่างคิ้วของตัวเอง ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังคำพูดของเธอหรือเปล่า
“ดังนั้น หากคุณกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุและอดีตของฉัน เราก็สามารถพูดคุยกันได้ เดิมทีมันเป็นเรื่องง่ายๆ ฉันกล่าวขอบคุณมันก็น่าจะจบ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ด้วยล่ะ?”
เธอกล่าวต่อว่า "แม้ว่าจะเลิกรากันแล้ว ก็อยากให้เลิกราแบบจบกันด้วยดี ครั้งต่อไปเจอหน้ากันก็ยังเป็นเพื่อนกันได้"
"พอแล้ว"
อวี้หนานเฉิงพูดขัดจังหวะด้วยเสียงที่เย็นชา และแฝงไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
“พูดมากอยู่ได้ ไม่อยากออกไปแล้วหรือยังไง?”
เซิ่งอันหรานขมวดคิ้ว “ฉันแค่คิดว่าตั้งแต่ครั้งนั้นมา เรายังไม่เคยได้นั่งคุยกัน และปรับความเข้าใจกันมาก่อน ”
เธอพูดคำว่า 'ครั้งนั้น' ด้วยน้ำเสียงที่ดูอึดอัด เนื่องจากมันเป็นบาดแผล ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าที่จะไปเปิดมันออกอีก
เมื่อเขาได้ยินคำว่า 'ครั้งนั้น' การแสดงออกของอวี้หนานเฉิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย คิ้วของเขากระตุกสองถึงสามครั้งอย่างเห็นได้ชัด และเขาก็ดูเงียบสงบมาก
“ฉันยอมรับว่าฉันปิดบังเรื่องบางอย่างกับคุณ แต่เพราะฉันรู้สึกเพียงแค่ว่าการแต่งงานระหว่างฉันกับกู่เจ๋อมันเป็นเพียงแค่งานแต่งงานปลอมๆเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ ฉันพาเสี่ยวซิงซิงไปสหรัฐอเมริกา ถ้าหากว่าฉันไม่สามารถหา กรีนการ์ดได้ ก็หมายความว่าฉันจะต้องอยู่แบบหลบๆซ่อนๆไม่สามารถมีฐานะทางสังคม ก็คือ ผู้อพยพผิดกฎหมาย”
“ดังนั้นเพื่อกรีนการ์ดแล้ว คุณจึงแต่งงานกับผู้ชายคนไหนก็ได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? ”
ก่อนหน้านี้อวี้หนานเฉิงมีท่าทางไม่สบอารมณ์ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เมื่อเซิ่งอันหรานเริ่มปริปากพูดเรื่องนี้ขึ้น อารมณ์ของเขาจึงสงบลงกว่าเมื่อก่อนมาก
“ไม่ใช่ทำตามใจชอบ” เซิ่งอันหรานปฏิเสธ และอธิบายต่อ
“กู่เจ๋อไม่อยากแต่งงาน และเป็นคนบ้างานเต็มตัว เขาไม่มีเงิน ส่วนฉันไม่มีตัวตน การที่เราแต่งงานกันฉันคิดว่ามันไม่เป็นปัญหาอะไร นอกจากนี้เราไม่เคยอยู่ด้วยกันเลยหลังจาก ที่ตกลงแต่งงานกัน โดยเฉลี่ยแล้วในหนึ่งปีเราจะมาเจอกันครั้งสองครั้ง ส่วนมากก็จะเป็นพวกวันคริสต์มาสหรือเทศกาล อะไรประมาณนั้น”
แน่นอนว่าเธอรู้ว่าอวี้หนานเฉิงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็เข้าใจได้ไม่ยาก
ผู้ชายจะให้ความสนใจในความสัมพันธ์ก่อนหน้าของผู้หญิงของเขา และเมื่อดูจากมุมมองของ อวี้หนานเฉิง เธอกับกู่เจ๋อยังไม่ได้หย่ากันเลย
ก่อนหน้านี้ถ้าหากไม่ใช่เพราะอวี้หนานเฉิงพูดแรงเกินไป เธออาจจะบอกเขาเรื่องเกี่ยวกับกู่เจ๋อตั้งแต่ครั้งแรงที่เขาถามถึง
นัยน์ดวงตาของอวี้หนานเฉิงดูซับซ้อน เขาพยายามตั้งสติโดยกำหมัดแน่น จากนั้นก็ถามขึ้นเพื่อเป็นการยืนยันว่า "คุณกับเขาแต่งงานกันแค่ในนามเท่านั้นใช่ไหม?"
เซิ่งอันหรานพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
เพราะความเข้าใจผิดนี้อาจก่อให้เกิดปัญหามากมาย หรืออาจเกิดจากคนสองคนโกรธกันโดยสิ้นเชิง แต่จากเหตุการณ์นี้ จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้วมีหลายสิ่งที่ไม่เหมาะสมระหว่างเธอกับอวี้หนานเฉิง
อวี้หนานเฉิงจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ากำลังพยายามทำความเข้าใจกับคำอธิบายของเธออยู่
เวลาผ่านไปพักหนึ่ง นัยน์ดวงตาของเขาดูผิดหวัง เขาก้มลงไปช้าๆ นิ้วมือเรียวของเขาสอดเข้าไปในผมบนศีรษะ ปลายนิ้วมือค่อยๆหลุดออกจากเส้นผม จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและนั่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน