“คุณหมออะไร ?”
หลังจากที่โจวหลานออกไปจากห้องทำงาน อวี้จิ่งซีซึ่งนั่งเงียบเป็นเวลานาน จู่ๆก็เปิดปากถามขึ้น สายตาที่สงบของเขาจ้องไปยังอวี้หนานเฉิง
อวี้หนานเฉิงซึ่งกำลังหงุดหงิด เมื่อได้ยินเรื่องนี้เข้า เขาขมวดคิ้วและพูดขึ้นอย่างหมดความอดทนว่า "ไม่เกี่ยวอะไรกับลูกสักหน่อย รีบกินข้าวเถอะ"
“ผู้หญิง ?” ใบหน้าของอวี้จิ่งซีเคร่งขรึมขึ้น
เมื่อเห็นว่าอวี้หนานเฉิงไม่สนใจเขา เขาจึงวางตะเกียบลงและพูดเตือนสติอวี้หนานเฉิงว่า "ช่วงนี้พ่อมีเรื่องอื้อฉาวมากมาย พ่อควรที่จะเบาๆลงหน่อยนะ"
อวี้หนานเฉิงขมวดคิ้ว "ลูกไปได้ยินอะไรมา?"
บนโซฟา เด็กชายอายุ 12 ขวบนั่งตัวตรง แม้ว่าเขาจะตัวไม่สูงมาก และใบหน้าของเขายังดูเด็กอยู่ แต่ท่าทางของเขาสงบราวกับเป็นผู้ใหญ่
“คุณป้าอวี๋ท่านนั้น ช่วงนี้มักจะมีข่าวกับเธอบ่อยเกินไป ถ้าหากว่าพ่อสนใจ ก็รีบพากลับไปให้คุณทวดดูตัวสิ จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ใจแบบนี้ แต่ถ้าไม่ได้สนใจล่ะก็ ไม่จำเป็นจะต้องปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัดออกไปมากขนาดนี้ ผมฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าอับอาย ”
“อะไรนะ?ลูกพูดว่าอะไร?” อวี้หนานเฉิงโกรธมาก ก่อนหน้านี้โจวหลานเพิ่งจะแจ้งข่าวร้ายกับเขา ตอนนี้ยังมาได้ยินลูกชายของตัวเองพูดแบบนี้อีก
“พ่อไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว อายุก็ไม่น้อยแล้ว ยังสามารถสร้างข่าวลือไร้สาระออกมาได้มากมายขนาดนี้เชียวเหรอ ”
อวี้จิ่งซียืนขึ้น พร้อมกับจัดชุดสูทของตัวเองให้เป็นระเบียบ"ผมไม่ใช่เด็กแล้วนะ และไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ถ้าพ่ออยากจะแต่งงานก็แต่ง ผมจะไม่ห้ามอย่างแน่นอน "
หลังจากพูดคำเหล่านั้นแล้ว อวี้จิ่งซีก็ยืดหลังและเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
ปล่อยให้อวี้หนานเฉิงยืนอยู่ข้างโต๊ะทำงาน และพูดอะไรไม่ออก
ลูกชายของเขามีชีวิตเหมือนกับหมาป่า เขาอยู่ข้างกายของตนมากว่าสิบปีแล้ว แม้ว่าในปีนั้นเขาตัดสินใจเลือกที่จะอยู่กับตัวเอง แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เขายังคงคิดถึงแม่แท้ๆของเขาอยู่เสมอ ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรู้สึกของอวี้หนานเฉิง เขามักจะทำเป็นเฉยเมย ต่างจากเมื่อสองสามปีก่อน ในตอนที่เขายังเป็นเด็ก ไม่ว่ามีใครเข้ามายุ่งกับอวี้หนานเฉิง เขามักจะไม่พอใจจนทุบทำลายข้าวของ
ก่อนหน้านี้อวี้หนานเฉิงมีความสุขที่ลูกชายของตัวเองทำตัวเป็นห่วงและหวงเขา จากบรรดาพวกผู้หญิงที่เข้ามา
แต่วันนี้มันไม่ยุติธรรมจริงๆ คุณหมอท่านนั้นคือแม่แท้ๆของเขา ?
เมื่อนึกถึงเรื่องการนัดบอดระหว่างเซิ่งอันหรานและเฉียวเซินขึ้นมา อวี้หนานเฉิง รู้สึกหายใจไม่ออก ราวกับว่ามีก้อนหินหนักกำลังทับอยู่บนอก เขาโกรธมาก
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวัน การตรวจร่างกายก็กลับมาเป็นปกติ
เซิ่งอันหรานรู้สึกปวดหัวเพราะคำพูดของเฉียวเซินในตอนกลางวัน มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะเจาะเลือดให้คนไข้ผิดพลาด
หลังจากที่คนรอเข้าคิวทางด้านหลังค่อยๆ น้อยลง จู่ ๆ โจวหลานก็เดินเข้ามาหยุดต่อหน้าต่อหน้าทุกคน
“คุณหมอเซิ่ง ประธานอวี้ของเราให้มาเชิญคุณไปสักครู่ ”
สีหน้าของเซิ่งอันหรานเปลี่ยนไป แต่เป็นเพราะมีเพื่อนร่วมงานนั่งอยู่ทางด้านข้าง ทำให้เธอไม่สามารถเอะอะอะไรได้ "ถ้าประธานอวี้ของคุณมีธุระอะไรก็ให้เขาไปที่โรงพยาบาลของเราก็ได้ จะมาหาฉันทำไม?"
ราวกับเขารู้ก่อนล่วงหน้าแล้วว่าเซิ่งอันหรานจะต้องมาไม้นี้ โจวหลานตอบคำถามได้อย่างราบรื่น
“ประธานอวี้บอกว่า ผ้าพันแผลครั้งก่อนคุณเป็นคนพันให้ ในเมื่อคุณมาทำหน้าที่ตรวจร่างกายที่นี่ ดังนั้นจึงไม่อยากรบกวนคุณหมอท่านอื่น อยากให้คุณช่วยขึ้นไปเปลี่ยนผ้าแผลและใส่ยาให้เขาหน่อย เป็นเพราะช่วงนี้ท่านประธานยุ่งมาก จึงไม่มีเวลาไปที่โรงพยาบาล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สายตาของพยาบาลอีกสองคนที่ทำหน้าที่เจาะเลือดต่างก็ตาโตขึ้น
พนักงานใหม่สองคนที่ต่อคิวอยู่ข้างหลังก็ดูตื่นเต้นเมื่อได้ยินเรื่องซุบซิบเรื่องนี้
“อันหราน ถ้าประธานยอวี้ขอให้เธอไป เธอก็ไปเถอะ ที่นี่ไม่ได้ยุ่งอะไรมากขนาดนั้น”
“ใช่ เหลือแค่ไม่กี่คนเอง ”
เพื่อนร่วมงานสองคนที่ทำหน้าที่ตรวจร่างกายเร่งเร้าเธอ เพื่อร่วมงานหนึ่งในสองที่นั่งติดกับเธอแอบบจับมือของเธอและพูดกับเธอว่า "ได้ใกล้ชิดกับประธานอวี้ของเซิ่งถังกรุป มันเจ๋งมากเลย อันหราน"
เรื่องนี้ราวกับมีมีดกำลังจ่อที่คอของเธอ เจ๋งมากเหรอ มันเจ๋งซะที่ไหนล่ะ?
เมื่อถูกจ้องมองโดยคนทั้งห้อง เธอขนลุกไปหมด เซิ่งอันหรานไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากเดินตามโจวหลานไปยังห้องทำงานของอวี้หนานเฉิง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผูกรักท่านประธานพันล้าน