เรือนจำ เมืองจิงจ้าว ราชวงศ์ต้าฟ่ง
สวี่ชีอันค่อยๆ รู้สึกตัว เขาได้กลิ่นเหม็นอับที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อยและคลื่นไส้จนอยากจะอาเจียน
กลิ่นเหม็นที่ลอยมาปะทะใบหน้านี่มันคืออะไรกันแน่ หรือว่าเจ้าไซบีเรียนฮัสกี้มาถ่ายบนเตียงอีกแล้วเหรอ…จากระดับของกลิ่นแล้วคงไม่ได้มาถ่ายบนหัวเขาหรอกนะ
บ้านของสวี่ชีอันเลี้ยงสุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้ไว้หนึ่งตัว เรียกสั้นๆ ว่าฮัสกี้
เขาทำงานอยู่ทางเหนือมาสิบปี ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเดียวดาย คนเราเมื่ออยู่กับความเหงามาเป็นเวลานานก็อดไม่ได้ที่จะคิดเลี้ยงสุนัขสักตัวเพื่อช่วยปลอบใจและช่วยผ่อนคลายทางจิตใจ…แต่ไม่ใช่ทางกายภาพ
เมื่อเขาลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ตัว สวี่ชีอันก็ต้องงุนงงไปชั่วขณะ
ผนังห้องที่ก่อด้วยก้อนหิน หน้าต่างสี่เหลี่ยมขนาดเท่าปากชามสามใบ เขานอนอยู่บนเสื่อผืนเก่าขาดๆ ที่เย็นเฉียบ แสงแดดลอดผ่านหน้าต่างสี่เหลี่ยมเข้ามา ฝุ่นละอองกระจายอยู่ท่ามกลางลำแสงที่สาดลงบนหน้าอกของเขา
เขาอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย
สวี่ชีอันครุ่นคิดด้วยความสับสนในชีวิตตัวเองอยู่ชั่วครู่ แล้วเขาก็สงสัยในชีวิตขึ้นมาจริงๆ
นี่เขาข้ามภพมาเหรอเนี่ย
ความทรงจำพรั่งพรูขึ้นมาเหมือนน้ำหลากหลั่งไหลเข้ามาในสมองอย่างรุนแรงและหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
สวี่ชีอัน ชื่อรองหนิงเยี่ยน มือปราบของอำเภอฉางเล่อในสังกัดของเมืองจิงจ้าวแห่งราชวงศ์ต้าฟ่ง เงินเดือนสองตำลึงเงินกับข้าวสารหนึ่งต้าน (100 ลิตร)
บิดาของเขาเป็นทหารเก่า เสียชีวิตไปเมื่อสิบเก้าปีก่อนใน ‘สงครามซานไห่’ ต่อมามารดาก็ล้มป่วยเสียชีวิตไปอีกคน…เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็ค่อยๆ รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง
อย่างที่รู้กัน คนที่ต้องสูญเสียทั้งบิดาและมารดานั้นไม่ง่ายเลย
“คิดไม่ถึงว่าจะได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง แต่ก็ยังหนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้องเป็นตำรวจ” สวี่ชีอันอึ้งไปเล็กน้อย
ชาติก่อนเขาเรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยตำรวจ สอบเข้าระบบได้สำเร็จจนมีกินมีใช้
ถึงแม้ว่าสวี่ชีอันจะเดินตามเส้นทางที่พ่อแม่เลือกให้ แต่ใจของเขากลับไม่ได้อยู่ที่อาชีพข้าราชการรับใช้ประชาชนแบบนี้
เขาไม่ชอบอยู่ในกรอบ เขารักอิสระ ชื่นชอบชีวิตหรูหราสะดวกสบายและชอบประโยคในบันทึกประจำวันของจี้เสี้ยนหลินประโยคหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกกะทันหันเพื่อออกมาทำธุรกิจ
“แล้วทำไมฉันถึงมาอยู่ในเรือนจำได้ล่ะ”
เขาพยายามลำดับความทรงจำ แล้วก็เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองในเวลานี้ในทันที
สวี่ชีอันถูกอารองเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ เพราะการฝึกฝนวิทยายุทธ์ตลอดทั้งปี แต่ละปีต้องใช้เงินหนึ่งร้อยกว่าตำลึงเงิน ดังนั้นอาสะใภ้จึงไม่ค่อยชอบใจในตัวเขาสักเท่าไร
พออายุได้สิบแปดปี หลังจากที่เขาฝึกวิชาจนถึงขั้นสุดยอดก็ไม่ได้ฝึกต่อ ประกอบกับความกดดันจากอาสะใภ้ทำให้เขาต้องย้ายออกจากบ้านตระกูลสวี่ไปใช้ชีวิตตามลำพัง
เขาได้งานอย่างรวดเร็วโดยความช่วยเหลือผ่านเส้นสายของอารอง เดิมทีเขาก็มีชีวิตที่ไม่เลว แต่ใครจะคิดว่า…
สามวันก่อน อารองซึ่งเป็นขุนนางชุดเขียวระดับเจ็ดในกองดาบที่ทำหน้าที่คุ้มกันเงินภาษีจำนวนหนึ่งไปส่งให้กรมการคลัง แต่เกิดเหตุไม่คาดคิดระหว่างทาง เงินภาษีหายไปเป็นจำนวนถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงเงิน
ทั้งราชสำนักและราษฎรต่างสั่นสะเทือน องค์จักรพรรดิทรงพิโรธ ทรงมีพระราชบัญชาด้วยพระองค์เองให้ตัดศีรษะสวี่ผิงจื้อในอีกห้าวัน เครือญาตินับไปสามชั่วโคตรล้วนต้องโทษทัณฑ์ไปด้วย ผู้ชายให้เนรเทศไปชายแดน ผู้หญิงให้ส่งตัวเข้าไปอยู่ในสำนักสังคีต
ในฐานะที่เป็นหลานแท้ๆ ของสวี่ผิงจื้อ เขาถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกจองจำในเรือนจำเมืองจิงจ้าว
สองวัน!
มีเวลาอีกเพียงสองวันเขาก็จะถูกเนรเทศไปยังชายแดนที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออย่างตรากตรำ
“แค่เริ่มต้นก็เหมือนอยู่ในนรกแล้ว…” สวี่ชีอันรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมา ใจก็พลอยสั่นไปด้วย
โลกที่อยู่ภายใต้ระบอบศักดินา ไม่มีสิทธิมนุษยชน ชายแดนจะเป็นสถานที่แบบไหนกันนะ
ดินแดนที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว สภาพภูมิอากาศเลวร้าย นักโทษส่วนใหญ่ที่ถูกเนรเทศไปชายแดนแต่ละคนมีชีวิตไม่เกินสิบปี ส่วนมากตายระหว่างทางเนื่องจากอุบัติเหตุและโรคภัยต่างๆ ทั้งที่ยังเดินทางไปไม่ถึงชายแดนเสียด้วยซ้ำ
เมื่อคิดถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็รู้สึกขนหัวลุก หนาวยะเยือกขึ้นมา
“ระบบ?”
เงียบไปครู่หนึ่ง ภายในเรือนจำที่เงียบกริบมีเพียงเสียงของสวี่ชีอันดังขึ้น
ระบบไม่ตอบสนองเขา
“ระบบ… ระบบเอ๊ย ออกมาสิ” น้ำเสียงของสวี่ชีอันร้อนรน
เงียบสนิท ไม่มีระบบ ไม่มีระบบจริงๆ หรือนี่
นี่หมายความว่าเขาแทบจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงได้ อีกสองวันเขาก็จะถูกใส่โซ่ตรวน ถูกส่งไปชายแดน ด้วยสภาพร่างกายของเขาคงจะไม่ถึงขั้นตายกลางทาง
แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดี การถูกกดขี่ให้ต้องใช้แรงงานในโลกที่ใช้แรงงานคนจนต้องตายไปในที่สุด…มันน่ากลัวเกินไป น่ากลัวเกินไปจริงๆ
จินตนาการอันงดงามเกี่ยวกับการข้ามภพกลับไปยังยุคโบราณของสวี่ชีอันแตกสลายเหมือนฟองสบู่ เหลือเพียงความกังวลและความหวาดกลัว
“เราต้องหาวิธีเอาตัวรอด เราจะตายแบบนี้ไม่ได้”
สวี่ชีอันเดินวนเวียนไปมาในเรือนจำแคบๆ เหมือนมดบนหม้อร้อน เหมือนสัตว์ป่าที่ตกลงไปในหลุมพราง ครุ่นคิดหาวิธีรับมือ
เขาฝึกวิชาจนถึงขั้นสุดยอด ร่างกายแข็งแกร่ง…แต่ในโลกที่ไม่ยอมก้มหัวให้เงินทองนี้ การแหกคุกนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้…
พึ่งญาติพี่น้องและเพื่อนเหรอ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง