ทหารยามที่อยู่ด้านข้างตกตะลึงไปแล้ว ไม่รู้ว่าควรห้ามดีหรือไม่
“หยุด หยุดตีเถอะ…” ทหารยามล้มลงกุมหัว ร้องโอดครวญไม่หยุด “ท่านทำเช่นนี้ข้าน้อยลำบากนะ เดี๋ยวเว่ยกงจะตำหนิลงมาได้”
สวี่ชีอันเป็นผู้ใต้บัญชาคนโปรดของเว่ยเยวียน เขาไม่กล้าขัดขืน ขอแค่อีกฝ่ายไม่บุกรุกเข้าไปที่หอเฮ่าชี่ ทหารยามก็ไม่เลือกที่จะมีเรื่องด้วยหรอก
“เข้าใจ ทุกคนล้วนมีเรื่องลำบากกันทั้งนั้น” สวี่ชีอันพอเห็นว่าตบตีจนอีกฝ่ายจวนจะโมโหแล้ว เขาก็พอใจ ก่อนเก็บมือกลับ จากนั้นหยิบเงินหนึ่งตำลึงออกมาจากถุงเงิน
“วัตถุสีทองอร่ามไร้ค่าก้อนนี้คุ้มให้เจ้ายอมเสี่ยงหรือไม่ ถ้าไม่ข้าก็เปลี่ยนคน”
“ได้ขอรับๆ” ทหารยามรับเงินมา หยิบดาบพกขึ้น แล้วตรงเข้าหอเฮ่าชี่ทันที
ผ่านไปประมาณสิบนาที สวี่ชีอันก็มองเห็นแสงเทียนบนชั้นที่เจ็ดสว่างขึ้น ครู่หนึ่ง ทหารยามก็เดินลงมาแล้วกล่าวอย่างเคารพ “เว่ยกงเชิญท่านขึ้นไปขอรับ แม่นางท่านนี้…”
“โหรของสำนักโหราจารย์ คนกันเอง” สวี่ชีอันพาฉู่ไฉ่เวยเข้าไป
ยามกลางวันในอาคารแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่จึงนับว่าครึกครื้น พอตกเย็นกลับเงียบสงัด เพิ่มความเงียบงันเยือกเย็นเข้าไปใหญ่
เว่ยเยวียนอาศัยอยู่ในหอนี้ทั้งปี เขาไม่เหงาเลยหรือ
คิดพลางเดินพลางก็มาถึงห้องน้ำชาชั้นเจ็ด ที่นี่ไม่ได้อบอุ่น ข้างในห้องไม่ได้เผาถ่าน คนรับใช้คอยปรนนิบัติในอาคารสักคนก็ไม่มี
เว่ยเยวียนสวมชุดคลุมสีเขียวคราม ผมดำแผ่สยาย นั่งขัดสมาธิอยู่ที่โต๊ะ ข้างกายมีตะเกียงน้ำมันวางอยู่ พอเห็นสวี่ชีอันเข้ามาก็สั่งการให้ทำงานต่างๆ อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ
“เผาถ่าน ต้มน้ำ แล้วจุดตะเกียงดวงอื่นๆ”
ดูท่าเขาจะหนาว อืม แม้ว่าเว่ยเยวียนจะฉลาดหลักแหลม แต่ก็คล้ายไม่มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์…ฮ่าๆ สวรรค์ช่างยุติธรรม…สวี่ชีอันทำตามคำสั่ง เทียนแต่ละเล่มส่องสว่างขึ้นมาในห้องชาอันกว้างขวาง ถ่านไฟถูกวางข้างกายเว่ยเยวียน ก่อนหันไปวางกาต้มน้ำทองแดง
“วันนี้ข้าจะให้เชี่ยนโหรวไปบอกให้เจ้าซ่อนตัว แต่ผลคือหาทั้งหน่วยแล้วกลับไม่เจอเจ้า พอไปสอบถามที่บ้านตระกูลสวี่ เจ้าก็ยังไม่กลับไป ไปถามที่สำนักสังคีต เจ้าก็ไม่อยู่อีก มาหาข้าเสียดึกดื่นป่านนี้ คงไม่ใช่เพราะคดีทุจริตกระมัง” เว่ยเยวียนแย้มยิ้ม มองฉู่ไฉ่เวยแล้วเอ่ยอย่างสงสัย
“ฆ้องทองแดงผู้น้อยคนนี้คือคนในดวงใจของแม่นางไฉ่เวยหรือ”
ใบหน้าเล็กๆ ของฉู่ไฉ่เวยแดงก่ำ “ไม่ใช่”
แต่นางเป็นผู้ที่ยังไม่ถึงระดับตรัสรู้ หน้าแดงพักหนึ่งก็หายไป สายตากวาดมองโต๊ะชาสองสามครั้ง ไม่เห็นของกิน
ที่นี่พลันน่าเบื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เว่ยกง ข้าพบคดีใหญ่ขอรับ” สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิลงที่โต๊ะตรงข้ามกับเว่ยเยวียน “วันนี้ข้าน้อยขอลาไปซื้อบ้าน พบบ้านร้างผีสิงแห่งหนึ่ง หลังจากข้ากับแม่นางไฉ่เวยจัดการกับเรื่องนี้แล้ว จึงทำการเข้าถึงจิตใจของผีสาวขอรับ…”
สวี่ชีอันเล่ารายละเอียดการเข้าถึงจิตใจออกมา ตอนแรกเว่ยเยวียนไม่ค่อยสนใจนัก พอได้ยินเรื่องจวน สีหน้าก็ขรึมลง
หลังจากได้ยินว่าเจ้ากรมโยธาถูกสงสัยว่าสมคบกับสำนักพ่อมด แอบขายอาวุธยุทโธปกรณ์ ดินปืน และเกี่ยวข้องกับอวิ๋นโจว ขันทีใหญ่ก็มีสีหน้านิ่งขรึมเหมือนกับผิวน้ำทันที
“พรรคฉีเกี่ยวข้องกับการโจรกรรมที่อวิ๋นโจวจริงๆ ด้วย ดีมาก รายงานนี้สำคัญยิ่ง” เว่ยเยวียนมองดูสวี่ชีอัน ความอบอุ่นในแววตาแฝงความชื่นชม “เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจได้เสมอ”
ถ้าอย่างนั้นก็รับข้าเป็นลูกบุญธรรมเสียเลยสิ…สวี่ชีอันคิดในใจ
แต่เจ้าคนกินฟรีแซ่สวี่ต้องรักษาศักดิ์ศรี คำพวกนี้พูดออกไปไม่ได้ ก็เหมือนกับในชาติก่อนเขาหน้าตาหล่อเหลาน่าตะลึง แต่จนแล้วจนรอดก็พูดคำว่า ‘คุณป้า ผมไม่อยากกระเสือกกระสนอีกแล้ว’ ออกมาไม่ได้
“เว่ยกง เหตุที่จูหยางทรยศ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะข้าขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างละอายใจ
“ถึงไม่มีเขาก็ต้องมีเรื่องอื่นๆ อยู่ดี ครั้งนี้พรรคฉีตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า แน่นอนว่าย่อมมีพรรคอื่นลอบเติมเชื้อไฟอยู่ดี” เว่ยเยวียนไม่ได้อธิบายว่าทำไมพรรคฉีถึงต้องการเป็นศัตรูกับเขา
หรือว่าคดีทุจริตในครั้งนี้มีผู้บงการหลักเบื้องหลังคือพรรคฉีอย่างนั้นหรือ
เขารู้เรื่องจากหมายเลขหนึ่งในข้อความของหนังสือปฐพีที่ว่าจูหยางทรยศหน่วย เป็นหนอนบ่อนไส้
แต่หมายเลขหนึ่งไม่ได้บอกว่าผู้ผลักดันหลังม่านคือพรรคฉี สวี่ชีอันยังคิดว่าเป็นฝีมือของพรรคหวางอยู่เลย
นี่มันประจวบเหมาะเกินไปแล้ว…วันนี้ที่หน่วยก็เพิ่งจะเกิด ‘คดีทุจริต’ ข้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย จากนั้นก็เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นมาทันทีอีก
…เป็นเพราะข้าใกล้จะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณแล้ว ดังนั้นโชคลางจึงเกิดการเปลี่ยนผันหรือ ถ้าไม่ใช่ก็สุดจะหาคำอธิบายแล้ว
“น่าสนใจจริง พรรคหวางสมรู้ร่วมคิดกับเผ่าปีศาจ พรรคฉีสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมด ในราชสำนักมีแต่คนประเภทไหนกันนี่” ฉู่ไฉ่เวยค่อนแขวะออกมา “ฝ่าบาทฝึกเต๋าจนสมองเลอะเลือนไปแล้วมั้ง”
สวี่ชีอันใช้ศอกกระทุ้งสาวน้อยที่พูดจาไม่รู้จักกาลเทศะไปหนึ่งที
“ฝ่าบาทเพิกเฉยต่อกิจการราชสำนัก แม้พระองค์จะยังเรืองอำนาจอยู่ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะหล่อหลอมปีศาจมารร้ายบางตัวออกมา พระองค์ทรงอำนาจน่าเกรงขาม แต่ขุนนางทั้งหลายในราชสำนักก็ไม่ใช่ผู้โง่เขลา” เว่ยเยวียนไม่ได้สนใจคำพูดล่วงเกินของฉู่ไฉ่เวย ถึงอย่างไรโหรของสำนักโหราจารย์ต่างก็มีท่าทีเช่นนี้อยู่แล้ว
หยางเชียนฮ่วนผู้มีพฤติกรรมค่อนข้างไร้สาระผู้นั้น ยามที่เข้าเฝ้าฝ่าบาทก็มักจะหันหลังให้ ฝ่าบาทไม่เคยโมโห แต่ไหนแต่ไรพระองค์ก็ทรงใจกว้างมีเมตตากับผู้ที่มีประโยชน์มหาศาลแต่ไร้อำนาจอยู่ในมืออยู่แล้ว
“วิชาปราบมังกรของลัทธิขงจื๊อ มังกรที่จะถูกปราบก็คือมังกรยักษ์ตัวนี้นั่นแหละ” สวี่ชีอันกล่าวพึมพำ
พูดจบก็ถูกฉู่ไฉ่เวยใช้ศอกกระแทกเป็นการแก้แค้น
จักรพรรดิหยวนจิ่งควบคุมราชสำนัก ขุนนางในราชสำนักก็กำลังแสดงละครใส่เขา เมื่อจักรพรรดิผู้หนึ่งสนใจแต่อำนาจของตนเอง แต่ไม่สนใจประเทศชาติราษฎร จุดเริ่มของการคัดเลือกอัจฉริยะก็จะเปลี่ยนไป มาตรฐานการทดสอบก็จะเอนเอียงไปทาง ‘เชื่อฟังและควบคุมง่าย’ แทน
ส่วนตัวบุคคลและความสามารถจะเป็นเช่นไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เว้นเสียแต่จะเป็นคนที่น่าทึ่งจนปฏิเสธไม่ลงเช่นเว่ยเยวียน
เน่าเฟะมาตั้งแต่ต้นตอ…เว่ยเยวียน นี่คือเหตุผลที่ท่านต้องการกำจัดเสี้ยนหนามออกไปใช่หรือไม่… สวี่ชีอันนึกถึงคำพูดที่เว่ยเยวียนเคยกล่าวไว้ เขาปรารถนาที่จะเก็บกวาดความโสมมในราชสำนัก และกวาดล้างความเสื่อมทรามของประเทศชาติ แต่ก่อนที่จะถึงตรงนี้ ต้องทำตัววางเฉย ยอมปล่อยให้ลูกน้องทำผิดเสียเอง
เดิมเขาก็เป็นขุนนางหัวเดียวกระเทียมลีบ ถ้าหากลูกน้องใต้บัญชามีคนที่ใช้งานได้เพียงไม่กี่คน จะไปต่อกรกับขุนนางในราชสำนักได้อย่างไร
ตอนนี้เอง เว่ยเยวียนก็หยิบพู่กันและกระดาษออกมา คิดจะเขียนเอกสาร สวี่ชีอันจึงรินน้ำชาและฝนหมึกอย่างรู้งาน เขามองดูท่านพ่อเว่ยเขียนเอกสารจับกุม แล้วประทับตราราชการ
“นำเอกสารนี้ไปหาฆ้องทองคำจางไคไท่ที่เข้าเวรอยู่ ให้เขาพาคนไปปราบปรามองค์กรฟัน” เว่ยเยวียนกล่าว
ข้ารู้จักปราชญ์ใหญ่ผู้หนึ่งที่ชื่อว่าเฉินไท่นะ แล้วจางไคไท่ผู้นี้นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย…สวี่ชีอันพยักหน้า “ขอรับ”
เขาพาฉู่ไฉ่เวยออกจากหอเฮ่าชี่ สอบถามถึงห้องทำงานของฆ้องทองคำจางไคไท่ ที่มีชื่อว่า ‘โถงเสินเจี้ยน’ พอเห็นหน้าถึงรู้ว่าที่แท้ก็คือฆ้องทองคำผู้ใช้กระบี่ที่มีวาสนาได้พบพานกันสองสามครั้งนั่นเอง
ในหมู่ฆ้องทองคำสี่คนที่ห่อหุ้มตัวด้วยผ้าพันแผลเมื่อคราวนั้นก็มีเขาอยู่ด้วย
จางไคไท่เหมือนกับมือกระบี่ผู้หยิ่งผยอง ยามเขานิ่งเงียบก็จะให้ความรู้สึกเย็นชาผลักไสผู้คนออกไปเป็นพันลี้
ถ้าเขาเกิดในยุคปัจจุบัน จะต้องเป็นผู้ใช้งานตัวละคร ‘กระบี่เดียวหยดโลหิต'[1] ได้อย่างมืออาชีพแน่…สวี่ชีอันคิด
“มีอะไร” สายตาของจางไคไท่ทอดมองเอกสารราชการในมือของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันส่งมอบเอกสารราชการไป แล้วบอกคำพูดของเว่ยเยวียนให้เขาฟังอีกรอบหนึ่ง
เมื่อฟังจบ บนใบหน้านิ่งสงบทว่าเย็นชาของจางไคไท่ก็คล้ายกับน้ำแข็งยามวสันต์ที่แตกร้าว เผยรอยยิ้มประหลาดใจออกมา “ดี ดี ครั้งนี้ต้องทำให้พรรคฉีได้รับผลกรรมที่ทำไว้ สหายร่วมหน่วยทุกคนจะได้ผ่านพ้นความยากลำบากครั้งนี้เสียที เจ้าก็จะได้ความดีความชอบเป็นคนแรกๆ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง