ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 166

บทที่ 166 พาน้องสาวกับอาสะใภ้ไปดูบ้านใหม่
เจ้ากรมซุนเข้าไปยังห้องทรงพระอักษร ในห้องอันหรูหรากว้างขวางมีคนอยู่เพียงสามคน ซึ่งก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่งผู้นั่งอยู่บนบัลลังก์สูง สมุหราชเลขาธิการหวังผู้ฉลาดหลักแหลม และชายสวมชุดครามผู้มีผมสีขาวยวงแซมข้าง

ใต้เท้าเจ้ากรมเหลือบมองสมุหราชเลขาฯ ผู้เป็นลูกพี่ใหญ่ด้วยความเคยชิน พบว่าสีหน้าของอีกฝ่ายเคร่งขรึม นัยน์ตาลุ่มลึก ทำให้เจ้ากรมซุนที่เดิมทีคิดว่านี่เป็นเพียงการประชุมเล็กทั่วไปถึงกับชะงัก

‘เว่ยเยวียนทำบ้าอะไรอีก…’ เขาหันหน้าไปมองพินิจดูชายชุดครามทันที แต่ขันทีใหญ่ผู้มีสติปัญญาเหนือใครผู้นี้กลับมีท่าทีอ่อนโยน เก็บงำล้ำลึก ทำให้คนมองความคิดในใจของเขาไม่ออก

เจ้ากรมซุนสังหรณ์ไม่ดี หลังจากถวายบังคมแล้วก็ยืนอยู่ที่ตำแหน่งของตนเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

เวลาผ่านไปทุกขณะ เหล่าขุนนางใหญ่ตบเท้าเข้ามาตามๆ กันแล้วถวายบังคมไปอยู่ประจำตำแหน่งของตน ระหว่างนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่ตลอด จนกระทั่งได้ยินเสียงของเจ้ากรมโยธา

จักรพรรดิหยวนจิ่งลืมตาขึ้น กวาดมองขุนนางทุกคน ผู้ที่สามารถเข้าร่วมประชุมเล็กได้ล้วนเป็นขุนนางใหญ่มีอำนาจ ขุนนางชั้นสูงทั่วไปไม่มีสิทธิ์นี้

“ขุนนางเว่ย บอกเหล่าขุนนางทุกคนเถอะ”

เว่ยเยวียนรับคำแล้วก้าวออกมา “เมื่อคืน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพบจวนที่เลี้ยงดูชายบำเรอและโสเภณีแห่งหนึ่ง สตรีเหล่านั้นเดิมเป็นหญิงชาติ­ตระกูลดี ชายหนุ่มก็เป็นลูกหลานของชาวบ้านทั่วไป พวกเขาถูกนายหน้าค้ามนุษย์ลักพาตัวมากักขังเอาไว้ที่นี่ แล้วถูกบังคับให้ปรนนิบัติแขกที่มาร่ำสุรายามค่ำคืน…

เมื่อคืนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปฏิบัติการสายฟ้าแลบ เข้าล้อมรังโจรแห่งนี้ไว้ จับกุมแขกมาได้ 13 คน สิบคนในนั้นมีฐานะเป็นขุนนางราชการ สามคนเป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองจิงจ้าว นอกจากนี้ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยังกู้โครงกระดูก 40 ร่างออกมาจากบ่อน้ำที่เรือนหลังได้ ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีชาติตระกูลดีที่ถูกทารุณ”

คำพูดของเว่ยเยวียนก่อให้เกิดพายุลูกยักษ์ขึ้นในห้องทรงพระอักษร บรรดาขุนนางใหญ่เริ่มพูดคุยกันเสียงดัง ไม่สนใจกฎระเบียบที่ต้องสงบปากสงบคำขณะประชุมราชสำนัก

ค้ามนุษย์ เลี้ยงดูโสเภณี ค้าประเวณีติดสินบน…ไม่ว่าข้อหาใดล้วนทำให้ขุนนางที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่มีทางโงหัวขึ้นได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนัก ปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด

แต่เว่ยเยวียนยังพูดไม่จบ เรื่องใหญ่สะเทือนขวัญอีกเรื่องโผล่ออกมา “จากการตรวจสอบ เจ้าของบ้านพักส่วนตัวนั้นเกี่ยวข้องกับพ่อมดจากสำนักพ่อมด อักขระคำสาปเลี้ยงผีที่สลักเอาไว้ในบ่อน้ำคือหลักฐาน เจ้าของบ้านพักส่วนตัวสารภาพว่าเขาทำงานให้กับเจ้ากรมหลิวแห่งกรมโยธา บ้านพักส่วนตัวหลังนั้นไม่ใช่แค่สถานที่มั่วสุมหาความสำราญเท่านั้น แต่ยังเป็นฐานที่มั่นเพื่อติดต่อกับสำนักพ่อมดอย่างลับๆ ด้วย”

ขุนนางทั้งหลายแตกตื่นโกลาหล

จนถึงเมื่อครู่ทุกคนยังรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ในระดับหนึ่ง ตอนนี้ที่แห่งนี้กลายสภาพเป็นไช่ซื่อโข่วไปเสียแล้ว มีคนตำหนิว่าเว่ยเยวียนใส่ความ มีคนเสนอว่าให้ตัดหัวของเว่ยเยวียนเสีย

ขันทีใหญ่ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายจักรพรรดิหยวนจิ่งตะโกนสั่งให้เงียบถึงสามครั้งติดกัน แต่ก็ยังยับยั้งฉากอันวุ่นวายนี้ไม่ได้

จัดงานสังสรรค์เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ลักพาตัวค้ามนุษย์ บังคับค้าประเวณี เรื่องพวกนี้ล้วนอยู่ในขอบเขตผิดกฎหมายทั้งสิ้น แต่คบค้าสมาคมกับสำนักพ่อมดนั้นต่างออกไป นี่มันคือการร่วมกันก่อกบฏแล้ว

ตามกฎหมายของต้าฟ่ง ผู้ที่ร่วมมือกับศัตรูทำการกบฏต่อบ้านเมือง ต้องประหารเก้าชั่วโคตร

‘ปัง!’ จักรพรรดิหยวนจิ่งตบโต๊ะหนึ่งที ห้องทรงพระอักษรก็เงียบสนิทในพริบตา แววตาคมกริบของเขากวาดมองบรรดาขุนนาง แล้วไปตกอยู่บนร่างของสมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน

“ขุนนางหวังคิดว่าอย่างไร”

สมุหราชเลขาธิการเดินออกมา เอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้ควรตรวจสอบให้ละเอียด ไม่ควรปล่อยปะละเลยพ่ะย่ะค่ะ”

คำพูดนี้ฟังดูเหมือนไม่มีหลักการ แต่เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาสังเกตได้อย่างแม่นยำว่าลูกพี่ใหญ่เอนเอียงไปทางเว่ยเยวียน เขาเข้าใจความหมายของลูกพี่ใหญ่ได้ทันที

หากยืนข้างเจ้ากรมโยธาล่ะก็ อย่างมากก็ได้ซื้อความเมตตาครั้งใหญ่ และได้หักหน้าเว่ยเยวียน

หากยืนข้างเว่ยเยวียน เมื่อสืบพบความจริง เจ้ากรมโยธาก็จะจบเห่ พรรคฉีต้องเสียผู้นำไปหนึ่งคน

ในคดีซังผอ พรรคหวางเคยพยายามใส่ร้ายเจ้ากรมโยธา ทำให้พรรคฉีเสียหายอย่างหนัก แม้ว่าจะล้มเหลว แต่ก็ถือเป็นโอกาสจริงๆ

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเว่ยเยวียน “นักโทษอยู่ที่ใด”

เว่ยเยวียนส่ายหน้า เอ่ยทอดถอนใจ “เมื่อคืนนักโทษถูกวิชาสาปสังหารของพ่อมด ตายอย่างไร้ร่องรอยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วมุ่น

ห้องทรงพระอักษรตกอยู่ในความเงียบสงัดทันที เหล่าขุนนางมองเว่ยเยวียนด้วยสายตาแปลกประหลาดราวกับจะพูดว่า ‘ไม่มีหลักฐานแล้วเอาอะไรมาพูด’

สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวินผู้วางตนสงบเยือกเย็นยังหันหน้ามา ขมวดคิ้วเหลือบมองเว่ยเยวียนเช่นกัน

เจ้ากรมโยธากระตุกยิ้มเยาะมุมปาก แล้วเดินออกมา เอ่ยเสียงดัง “ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้ายพ่ะย่ะค่ะ เว่ยเยวียนใส่ความกระหม่อม ขอฝ่าบาทโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

จักรพรรดิหยวนจิ่งใบหน้านิ่งขรึม “เว่ยเยวียน เจ้ามีอะไรจะพูดไหม”

เว่ยเยวียนนิ่งสงบอย่างยิ่ง พูดเสียงดังว่า “กระหม่อมขอให้ฝ่าบาททรงโปรดเบิกตัวฆ้องทองแดงสวี่ชีอันพ่ะย่ะค่ะ”

ฆ้องทองแดงสวี่ชีอัน…สีหน้าของเหล่าขุนนางทั้งหลายแปลกประหลาดขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อนี้ จากกรณีของโจวชื่อสวงในครั้งก่อน การเบิกตัวสวี่ชีอันในเรื่องสำคัญเช่นนี้ทำให้เหล่าขุนนางนึกได้ว่าเรื่องราวยังมีต่อ เว่ยเยวียนซ่อนแผนการเอาไว้

โดยเฉพาะพวกสมาชิกของพรรคหวาง ล้วนเกิดอาการหวาดผวาเพราะประโยคที่ว่า ‘เบิกตัวสวี่ชีอัน’ เล็กน้อย

เจ้ากรมโยธาหน้าเปลี่ยนสีนิดหน่อย แต่ก็รีบเก็บซ่อนอารมณ์อย่างดี แล้วสงบสติไว้

จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ย “ประกาศไป”

สิบกว่านาทีต่อมา สวี่ชีอันผู้สวมชุดสีดำ แขวนฆ้องทองแดง และใส่ผ้าคลุมก็เข้ามาในห้องทรงพระอักษร ดาบยาวดำทองที่หลังเอวถูกเก็บไปแล้ว

เขามาพร้อมกับฉู่ไฉ่เวยและคนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์อีกสองคน

“ถวายบังคมฝ่าบาท” สวี่ชีอันโค้งกายคำนับ

จักรพรรดิหยวนจิ่งมองดูฆ้องทองแดงผู้น้อยอย่างไม่แยแส เว่ยเยวียนหันหน้าไป เอ่ยยิ้มๆ “ทูลเรื่องราวที่เจ้าพบให้ฝ่าบาทสดับฟังเสีย”

สวี่ชีอันรีบบอกเรื่องที่ตนวางแผนจะใช้เงินที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ไปซื้อบ้าน แต่กลับเจอบ้านผีสิง จากนั้นก็พบบ้านพักส่วนตัวหลังนั้นผ่านการเข้าถึงจิตใจ…เท้าความตั้งแต่ต้นจนจบ

ยิ่งเจ้ากรมโยธาฟัง สีหน้าก็ยิ่งดูไม่ได้ ดวงใจค่อยๆ จมดิ่งลงไป

‘คนก็ถูกฆ่าตายไปแล้ว เมื่อคืนเห็นชัดๆ ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลโมโหเรื่องนี้มาก… พวกมันไม่มีหลักฐาน คิดจะมาหลอกข้าอีก…’ เจ้ากรมโยธาสงบอารมณ์ หัวเราะเยาะอยู่ในใจ

‘ข้าอยู่ในแวดวงราชการมาครึ่งชีวิต ผ่านลมฝนมามากมาย ก็แค่อุบายกระจอกๆ เฮอะ’

สวี่ชีอันพูดจบ เห็นว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งยังนิ่งเงียบ ใบหน้าไร้อารมณ์ ดังนั้นจึงกล่าวเสริม “ผีสาวถูกผนึกไว้ในแผ่นฮวงจุ้ยของแม่นางไฉ่เวยจากสำนักโหราจารย์ หากฝ่าบาทอยากตรวจสอบ สามารถเลือกคนที่ไว้ใจให้เข้าถึงจิตใจผีสาวตนนั้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

พูดจบ ในใจเขาก็ลอบคิดว่า ต้องให้ผู้ชายเข้าถึงจิตใจสิ

จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบงันไปพักครึ่ง มองไปยังขันทีใหญ่ข้างกาย หากถามว่าในที่นี้ใครคือผู้ที่เขาไว้ใจมากที่สุด ก็ต้องเป็นขันทีที่รับใช้อยู่ข้างกายมาตั้งแต่ยังเด็กผู้นี้

“ยินดีรับใช้ถวายชีวิตแด่ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีใหญ่โค้งกายกล่าว

“กงกงไม่ต้องกลัวไป ไม่มีปัญหาใหญ่อะไรหรอก” เมื่อสวี่ชีอันเห็นขันทีใหญ่ตื่นตระหนกเล็กน้อย จึงคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้ว่าอะไรคือเข้าถึงจิตใจ เลยเอ่ยปากปลอบโยน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง