ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 207

บทที่ 207-2 ร้านขายเนื้อสุนัข

เมื่อรู้ว่าสวี่ชีอันไม่ได้ไปสำนักสังคีตที่ชิงโจว ฝูเซียงก็รู้สึกดีใจอย่างแปลกประหลาด เห็นว่าหากคิดถึงเขา อย่าลืมตัดเล็บให้สั้น ฝูเซียงตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะได้สติกลับมา

“ฮึ!”

ฝูเซียงหน้าแดงด้วยความเขินอาย ถือจดหมายแนบอกราวกับเด็กน้อย หลับตา และล้มลงไปบนเตียง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางยกขึ้นอย่างพึงใจ

ทางด้านสำนักโหราจารย์ได้รับจดหมายช้าหน่อย กว่าจะมาถึงก็ใกล้เวลารับประทานอาหารแล้ว ฉู่ไฉ่เวยที่พยายามเลื่อนขั้นเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ นางรู้สึกว่าได้ใช้แรงกายแรงใจทั้งปีจนหมดลงแล้ว

ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไปต้องเริ่มทำตัวเป็นไอ้ขี้แพ้เสียแล้ว จากนั้นในอีกสองสามปีถัดไปค่อยลองเลื่อนขั้นดู จะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากนัก

ใบหน้ารูปไข่อิ่มเอิบดูซูบผอมลง คางก็ดูแหลมขึ้น

นางกำลังนั่งอยู่ในห้องอาหาร และกำลังทานอาหารกับเหล่าพี่น้องอยู่ ฉู่ไฉ่เวยกะจะอ่านจดหมายที่สวี่ชีอันส่งให้นางก่อน

นางแอบดีใจเล็กๆ

“อวี่โจวมีอาหารชนิดหนึ่ง เรียกว่าผักกาดขาวผัดขาหมูรมควัน ขาหมูรมควันเป็นอาหารอันโอชะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตอนใต้ หากินได้ยากในตอนเหนือ…

“ชิงโจวมีอาหารอร่อยอยู่หลายชนิด ให้ข้าได้เอ่ยถึงทีละอย่าง…”

อ่านไปเรื่อยๆ ฉู่ไฉ่เวยก็เบิกตากว้าง และกลืนน้ำลายอยู่หลายอึก หลังอ่านจดหมายฉบับนี้เสร็จ อาหารประจำสำนักโหราจารย์ก็กลายเป็นของที่ไม่น่ากินไปเสียแล้ว

ถึงกับรู้สึกกลืนไม่ลงทีเดียว

“สวี่หนิงเยี่ยนเจ้าคนเฮงซวย…” ฉู่ไฉ่เวยตบโต๊ะและยืนขึ้น เดินออกไปด้วยความโกรธ

“ศิษย์น้องฉู่ไฉ่เวยเจ้าจะไปไหน”

“ข้าจะไปชิวโจว แล้วก็อวี่โจว!”

“ฮะ?”

“ไปร้านอาหารล่ะ ข้าไม่อยากกินอาหารของสำนักโหราจารย์แล้ว รสชาติไม่ได้เรื่อง”

ก่อนพลบค่ำ สวี่หลิงเยวี่ยจะพาเสี่ยวโต้วติงกลับมาจากสำนักศึกษา ตามหลังมาด้วยคนรับใช้ร่างกำยำสองคน

อาสะใภ้ที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้ม กำลังถือกรรไกร จัดแต่งแจกันอยู่ในห้องโถง

ชีวิตแม่บ้านแม่เรือนของอาสะใภ้น่าเบื่ออย่างยิ่ง พวกลูกเพิ่งจะเติบโต ยังไม่ได้แต่งงาน จึงยังไม่มีสะใภ้ตัวร้ายให้นางสู้รบตบมือด้วย

นอกจากนี้จำนวนคนตระกูลสวี่ยังมีไม่มาก ไม่เหมือนพวกตระกูลใหญ่โตเหล่านั้นที่มีทั้งคนนอกคนใน ภาระที่อาสะใภ้ต้องดูแลบ้านจึงไม่ได้หนักมากนัก

วันวันก็ดื่มชา รดน้ำต้นไม้ และพาคนใช้ออกไปซื้อของตามอำเภอใจ

กล่าวได้ว่าภายในเมืองหลวงเจริญรุ่งเรืองและปลอดภัยมากกว่านอกเมืองหลวง นางจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเจอกับอันธพาลยามเดินไปตามถนน เพราะในเมืองหลวงมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีทหารรักษาพระองค์ห้ากองประจำเมืองหลวง และสายตรวจจากที่ทำการ

นางก็อายุมากแล้ว แต่เวลาเดินบนถนนก็ยังมีพวกหนุ่มๆ คอยจ้องอย่างคนไม่มีสติสตัง นางล่ะเกลียดเหลือเกิน

สวี่หลิงเยวี่ยเข้ามาในห้องโถง เห็นแผ่นหลังของมารดาที่โค้งตัวลงตัดแต่งกิ่งไม้อยู่ เอวที่เพรียวบาง ชุดกระโปรงหลวมโพรกเผยให้เห็นสะโพกอวบอัดกลมกลึงราวกับพระจันทร์เต็มดวง

นางอิจฉาอยู่ลึกๆ

“ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้วเจ้าค่ะ…” สวี่หลิงอิน มีถุงผ้าเล็กๆ ห้อยอยู่ที่คอ และเมื่อนางวิ่งถุงผ้าก็แกว่งไปมา

ร่างที่โคลงเคลงไปมาชนเข้ากับบั้นท้ายของอาสะใภ้เต็มๆ

“เอะอะเสียงดังจริง” อาสะใภ้หันมาตวาด

หลังตำหนิบุตรสาวคนเล็กเสร็จ ก็หันไปมองบุตรสาวคนโต “หลิงอินอยู่ที่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง”

เสี่ยวโต้วติงเข้าเรียนแล้ว ตามคำขอของสวี่เอ้อร์หลางตอนที่กลับจวนครั้งก่อน เขาไม่ได้มีเจตนาจะระบายความคับข้องใจ เพียงแค่ไม่อยากให้น้องสาวคนเล็กทอดทิ้งการเรียนเท่านั้น

ท่านอารองสวี่จึงให้คนที่อยู่เมืองชั้นในเสาะหาสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงให้ ท่านอาจารย์เคยเป็นซิ่วไฉ และเก่งเรื่องการเมืองการปกครองมาก จวี่เหรินไม่สามารถถ่ายทอดวิชาในระดับก่อปัญญาให้กับเด็กได้

แม้จะเป็นซิ่วไฉ แต่การถ่ายทอดวิชาในระดับก่อปัญญาให้กับเด็กก็เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตน แต่จนปัญญา เพราะเหล่าพ่อแม่ให้สิ่งตอบแทนมามากเหลือเกิน

เด็กที่เข้าเรียนร่วมกับสวี่หลิงอิน ล้วนไม่ใช่เด็กน้อยจากตระกูลธรรมดาทั่วไป

สวี่หลิงเยวี่ย เหลือบมองน้องสาวผู้โง่เขลาก็ถอนหายใจพลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“ท่านอาจารย์บอกว่า ตอนท่องตำรา นางออกเสียงดังและตั้งใจอ่านที่สุดเจ้าค่ะ แต่หลังจากอ่านจบนางก็ลืมเสียแล้ว วันนี้นางท่องจำคัมภีร์ตรีอักษรได้ตั้งสามประโยค… ท่านอาจารย์ดีใจจนน้ำตาไหลเลยเจ้าค่ะ”

อาสะใภ้รู้สึกขายขี้หน้ายิ่งนัก เอานิ้วจิ้มหน้าผากบุตรสาวคนเล็ก “เจ้าเด็กโง่ ร่ำเรียนต้องผ่านสมอง ไม่ใช่ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง