ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 209

บทที่ 209 ตายตกทางสังคม

เสียงของซ่งถิงเฟิงออกจะประหลาดอยู่สักหน่อย ในความตกใจแฝงความร้อนรน หากให้บรรยาย ก็คงจะประมาณว่า ‘ภรรยาจ๋า รีบออกมาดูท่านเทพเร็ว!’

น้ำเสียงประมาณนี้ล่ะ

สวี่ชีอันเก็บสมุดบัญชีใส่ลงในอกเสื้อแล้วเดินออกไปก่อน ส่วนจูกว่างเสี้ยวก็สวมรองเท้าอย่างว่องไวแล้วตามออกไป

ในห้องโถงของจุดพักม้า สาวน้อยวัยเยาว์ในชุดจิ้นจวงสีฟ้าเข้มผู้หนึ่งกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่โต๊ะ ชุดกางเกงรัดรูปเผยให้เห็นรูปร่างคล่องแคล่วดุจเสือดาว ปลายแขนเสื้อถูกมัดไว้ ผมยังคงเป็นทรงหางม้าสูงเช่นเดิม

การแต่งกายที่ไม่ฉูดฉาดเวิ่นเว้อ แต่กลับขับเน้นความสง่างามและความองอาจของนางอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารหญิงคนงามผู้องอาจเปี่ยมเสน่ห์…มีตรงไหนเหมือนเทพธิดาของนิกายสวรรค์แห่งลัทธิเต๋าบ้าง…อาจารย์ในสำนักบอกให้นางละทิ้งความรู้สึก ผลสุดท้ายเจ้ากลับกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงแห่งยุคผู้ผดุงความยุติธรรมเสียอย่างนั้น…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ ใบหน้าประดับรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า

“ท่านแม่ทัพหลี่ เจอกันอีกแล้วนะขอรับ”

‘ขอบตาดำของเจ้านี่ชัดเจนยิ่งกว่าเดิมเสียอีก…สภาพจิตใจไม่ค่อยดีเท่าไหร่…น่าจะเป็นเพราะถูกปีศาจสาวสูบปราณจิตล่ะสิ’ หลี่เมี่ยวเจินมองพิจารณาเขาด้วยดวงตาเป็นประกายแล้วเอ่ยขึ้นก่อนว่า “ใต้เท้าสวี่”

สวี่ชีอันนั่งลงตรงข้ามนาง ด้านซ้ายขวาคือซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยว ทหารประจำจุดพักม้าเข้ามารินชาให้เสร็จสรรพจากนั้นก็ถอยออกไป

ทั้งสองฝ่ายไม่รีบร้อนเอ่ยความ แต่ละคนต่างครุ่นคิดอยู่ในใจ

นางน่าจะมาเพื่อปีศาจสาว เป็นเพราะรออยู่นานก็ไม่ได้รับการรายงานภารกิจจากปีศาจสาว จึงรู้ว่าเกิดปัญหาแล้ว…สวี่ชีอันดื่มชาไม่พูดจา พลางครุ่นคิดว่าควรจะรับมืออย่างไร

ส่งปีศาจสาวคืนให้นางหรือ?

ไม่อยากให้นี่นา ภรรยากระดาษแสนงดงามขนาดนี้ แค่มองก็ชื่นตาชื่นใจแล้ว เขายังคิดจะพานางกลับเมืองหลวงไปให้หลิงอินเปิดหูเปิดตาด้วย

อีกอย่าง ความสามารถในการสิงร่างก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถใช้ได้หลายสถานการณ์และหลายสภาพแวดล้อม

“ใต้เท้าทั้งหลาย…” หลี่เมี่ยวเจินลูบคลำถ้วยชาแล้วเลือกคำมาพูด “เมื่อวานได้พบแม่นางที่มีนามว่าซูซูหรือไม่”

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวหันมามองหน้ากันโดยพลัน

มาแล้ว ถึงเวลาลงดาบเจ้าน้องชายทั้งสองแล้ว…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก “เคยพบขอรับ นางกับเพื่อนร่วมงานทั้งสองของข้าได้ผูกสัมพันธ์ที่ยากจะตัดแล้ว”

เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าของทั้งสามก็แตกต่างกัน ซ่งถิงเฟิงเหลือบมองจูกว่างเสี้ยว กล่าวในใจว่า ‘เห็นๆ อยู่ว่าผูกสัมพันธ์กับข้า แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้าน้ำเต้าอุดอู้จูกว่างเสี้ยวนี่กัน’

หลี่เมี่ยวเจินกวาดมองใบหน้าของฆ้องทองแดงทั้งสอง รู้สึกเห็นใจอยู่สักหน่อย ฟังจากความหมายของสวี่ชีอัน ซูซูจะต้องสูบปราณจิตของทั้งสองคนนี้ไปแน่

แต่ถึงอย่างนั้นนางก็แน่ใจแล้วว่า ‘ปีศาจสาว’ อยู่ในมือของสวี่ชีอันแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่พูดแบบนี้ออกมา

“ขออภัย ข้าคิดไม่รอบคอบเอง ไม่ทราบว่าใต้เท้าสามารถส่งนางคืนมาให้ข้าได้หรือไม่” หลี่เมี่ยวเจินกล่าวอย่างจริงใจ

“วางแผนทำร้ายข้าราชสำนักเพื่อสืบข้อมูลลับ นี่มันโทษถึงตายเลยนะแม่ทัพหลี่” สวี่ชีอันหรี่ตาแล้วเอ่ยด้วยท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

หลี่เมี่ยวเจินจ้องตากับเขาอย่างนิ่งสงบ ไม่แก้ตัวไม่โกรธเกรี้ยว ราวกับไม่เห็นกฎหมายของต้าฟ่งอยู่ในสายตา

สวี่ชีอันพลันนึกได้ทันที หมายเลขสองเป็นวัยรุ่นขี้โมโห แม้นางจะกล้าหาญองอาจ แต่ไม่มีทางปกปิดได้ว่านางเป็นชาวยุทธ์ที่ใช้กำลังแหกกฎ อีกทั้งยังเกลียดชังจักรพรรดิหยวนจิ่งที่ไร้ความรับผิดชอบอีกต่างหาก

ที่สำคัญที่สุดคือ หมายเลขสองเป็นยอดฝีมือขั้นห้า สำหรับนางแล้ว ทุกคนในที่นี้ล้วนแต่เป็นขยะ….

ต้องเปลี่ยนความคิดใหม่…สวี่ชีอันล้มเลิกการใช้กำลังกดดัน ความคิดที่จะเก็บซูซูเอาไว้ใช้เองทำให้เขาหัวเราะลั่นออกมา

“แต่ว่าข้าก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล สิ่งใดๆ ล้วนแต่สามารถปรึกษากันได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือชื่นชมท่านแม่ทัพที่ทำเพราะความรักและบุกปราบโจรทั่วทุกสารทิศตลอดหนึ่งปีกว่า ความรู้สึกที่ทำเพื่อชาติและประชาชนเช่นนี้ช่างทำให้ข้าละอายใจนัก แต่ว่าข้าถูกใจแม่นางซูซูมาก แม่ทัพหลี่ยอมตัดใจได้หรือไม่”

สวี่ชีอันคิดจะยื่นหมูยื่นแมว พวกโอตาคุรู้ดีว่าภรรยากระดาษมองได้แต่กินไม่ได้ แต่ก็ขัดขวางความรักของพวกเขาไม่ได้ด้วย

หลี่เมี่ยวเจินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเอ่ย “ถึงแม้ปีศาจสาวจะเป็นวิญญาณร้ายระดับสูง แต่กลับไม่มีร่างจริง เว้นแต่จะสูบพลังจิตอย่างไม่หยุดยั้ง แต่หากเป็นเช่นนั้นไปนานๆ ก็จะสูญเสียสติสัมปชัญญะแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจควบคุมได้ มีเพียงต้องติดตามอยู่ข้างกายข้าเท่านั้นจึงจะรักษาสภาพเดิมได้ เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของลัทธิเต๋า ไม่ได้เชี่ยวชาญวิชาลับประเภทนี้ การเก็บนางไว้ข้างกายมีแต่จะทำร้ายคนอื่นและทำร้ายตัวเอง”

ภาพลักษณ์ในความเป็นจริงกับภาพลักษณ์ในกลุ่มสนทนาของนางแตกต่างกันมากเลยนี่นา…ในกลุ่มทั้งร่าเริงทั้งขี้โมโห แต่ความจริงเอียงไปทางเข้มงวดหน่อยๆ…อืม ภาพลักษณ์เข้มงวดก็เหมาะกับแม่ทัพดี นี่ก็คงจะเป็นการสวมหน้ากากแบบหนึ่ง

สวี่ชีอันกล่าวอย่างจนปัญญา “ก็ได้!”

สวี่ชีอันบอกให้รอสักครู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้อง

แววตาของจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงค้างทื่อ มองหน้ากันด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง… ‘อะไรคือปีศาจสาว อะไรคือสูบพลังจิต พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร’

‘เมื่อกี้พวกเขาพูดว่า…แม่นางซูซู?’

ผ่านไปครู่หนึ่ง สวี่ชีอันก็หยิบขวดเหล้าใบหนึ่งกลับมาแล้ววางไว้บนโต๊ะเสียงดัง ‘ปัง’ สายตาของทั้งสามก็ไปตกอยู่บนขวดเหล้า

ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเผยสีหน้างุนงงสับสน หลี่เมี่ยวเจินกลับหรี่ตาลง จำได้ว่าสิ่งที่สลักอยู่บนขวดเหล้าคือยันต์ผนึกของลัทธิเต๋า

สวี่ชีอันเปิดขวดเหล้าออก ต่อมา ควันสีเขียวอ้อยอิ่งก็ลอยออกมาจากปากขวดแล้วก่อร่างเป็นคนงามทรงเสน่ห์ผู้หนึ่ง นางถลึงตามองสวี่ชีอันก่อน จากนั้นก็ตวาดลั่นด้วยความโมโห

“เจ้าหน้าเหม็น ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว…”

จากนั้นพอนางมองเห็นหลี่เมี่ยวเจิน ใบหน้าน้อยๆ พลันเจิดจ้าขึ้นทันใด แต่ไม่นานก็ทำท่าทางโดนรังแก กล่าวพลางสะอึกสะอื้นว่า

“นายท่าน ท่านต้องให้ความเป็นธรรมแก่ข้านะเจ้าคะ เจ้าหน้าเหม็นนี่รังแกข้า ดูหมิ่นข้า หากท่านมาช้ากว่านี้ ข้าคงคลอดทายาทชั่วช้าของเขาแล้วแน่ๆ ฮือๆๆ…”

‘แม่นางซูซู’ …จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงรู้สึกหนาวเย็นประดุจลมพัดในเดือนหนึ่ง ตัวแข็งทื่อไปทุกอณู

‘ปัง!’

หลี่เมี่ยวเจินปิดขวดกลับแล้วพยักหน้าเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าสวี่ที่ใจกว้างมีเมตตา เรื่องนี้ข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าแล้ว ภายหน้าหากมีเรื่องใดอยากขอร้องก็ให้เอ่ยมาได้ทุกเมื่อ”

ตอนนี้สวี่ชีอันจึงแย้มยิ้มออกมา “แม่ทัพหลี่เกรงใจแล้ว”

คำสัญญาของหมายเลขสองนั้นมีค่ายิ่ง ใช้ปีศาจสาวที่ไม่อาจเก็บไว้ข้างกายได้นานแลกคำสัญญามาได้ ก็ถือว่าคุ้มค่า

เขาส่งหลี่เมี่ยวเจินออกจากจุดพักเปลี่ยนม้า เมื่อเดินมาถึงประตูก็เอ่ยถาม “ดูจากตัวตนและพลังฝึกตนของแม่ทัพหลี่ คงไม่ขาดแคลนปีศาจสาวสักตนหรอกกระมัง”

หลี่เมี่ยวเจินกล่าวไตร่ตรอง “ปีศาจสาวไม่ใช่ภูตผีธรรมดา จะต้องเป็นสตรีที่เกิดในปีหยินเดือนหยิน และแม้ตายก็ยังต้องเป็นสตรีพรหมจรรย์ จึงจะสามารถกลายเป็นปีศาจสาวได้”

ปีหยินเดือนหยิน คือปีใดเดือนใด? สวี่ชีอันยิ้มแล้วพยักหน้า แสร้งทำเป็นว่าตนเข้าใจ

“แต่ว่า” หลี่เมี่ยวเจินหันกลับมาแล้วยกมุมปากขึ้น “ถึงจะเลี้ยงสุนัข แต่คนก็ยังมีความรู้สึกผูกพัน ถูกหรือไม่?”

สวี่ชีอันแย้มยิ้ม บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ไม่ได้ดูระมัดระวังและแปลกหน้าเหมือนแต่ก่อนแล้ว

หลี่เมี่ยวเจินถือโอกาสเสนอขึ้นมา “ใต้เท้าสวี่ไปส่งข้าอีกหน่อยได้หรือไม่”

สวี่ชีอันยิ้มบางๆ อย่างผู้ชายอบอุ่น “ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ”

พูดจบ เขาก็หันไปมองข้างหลัง เห็นซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แผ่นหลังโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือแสน

“ไปกันเถอะ!” รอยยิ้มของสวี่ชีอันยิ่งเจิดจรัส

พวกเขาเดินไปตามถนนกว้างใหญ่ หลี่เมี่ยวเจินแบกหอกเงินไว้ที่หลัง ที่เอวเหน็บดาบยาว ก้าวเดินอย่างสง่าผ่าเผยชวนไหวหวั่น

สวี่ชีอันหันหน้าไปพิจารณาดูใบหน้าของเทพธิดาจากนิกายสวรรค์คนนี้บ่อยๆ บุคลิกของนางมักจะทำให้สวี่ชีอันนึกถึงดอกไม้ในวงการตำรวจที่เขาแอบรักสมัยยังเรียนอยู่ในโรงเรียนตำรวจ

ผมสั้นเท่าติ่งหู เครื่องหน้างดงาม หน้าตาสะอาดสะอ้าน สองขาที่สวมกางเกงลายพรางทั้งยาวทั้งตรง

เทียบกับดอกไม้ประจำโรงเรียนตำรวจคนนั้นแล้ว สวี่ชีอันตัดสินได้ทันทีว่าหลี่เมี่ยวเจินที่ขี่ม้าขาว ถือหอกเงิน สวมผ้าคลุมแดง และใส่เกราะอ่อนผู้นี้ยอดเยี่ยมกว่าเยอะ

หลี่เมี่ยวเจินเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าสวี่ สตรีชาวยุทธ์ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับระเบียบเล็กๆ น้อยๆ ก็จริง แต่ถึงอย่างไรข้าก็เป็นสตรี เจ้าจ้องข้าขนาดนี้ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยกระมัง”

‘ชิ ชายผู้นี้เป็นพวกบ้ากามจริงๆ’

หากความบ้ากามเป็นความประทับใจแรกในงานเลี้ยง เช่นนั้นตอนนี้ นิยามที่หลี่เมี่ยวเจินให้กับสวี่ชีอันก็คงเปลี่ยนเป็น ‘บ้ากามไม่ใช่เล่นๆ’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง