บทที่ 225-2 การเสียสละของสวี่ชีอัน (2)
ในที่สุดเทพผู้สังหารก็หยุดกวัดแกว่งกระบี่พร้อมพยุงร่างไว้ แต่พวกกบฏไม่คิดโจมตีต่อ พวกเขาถือดาบสงคราม หน้าเคร่งขรึม ระแวดระวังและหวาดกลัว พวกเขาตกใจกลัวว่าตนอาจถูกฆ่า
“ยิงเขาด้วยหน้าไม้” เสียงจากบรรดาฝูงชนตะโกนขึ้นเสียงดัง
‘ผึง…’ สายธนูสั่นไหว ลูกธนูถูกยิงออกไป ไม่รู้ว่าเป็นเพราะร่างกายอ่อนแรงหรือเพราะความประหม่า ลูกธนูหน้าไม้ที่เดิมทียิงมาหมายปักกลางหว่างคิ้วกลับเบี่ยงเบนเฉียดผ่านหนังศีรษะของสวี่ชีอันไป
แต่พวกกบฏกลับโห่ร้องออกมา
“เขาตายแล้ว เขาตายแล้ว…ฮ่าฮ่าฮ่า ในที่สุดไอ้สารเลวนั่นก็ตายเสียที”
“สับร่างเขาเสีย แก้แค้นให้พี่น้องของพวกเรา”
ทุกคนพลันพุ่งเข้ามาพร้อมกัน
แต่ในขณะนั้น กระบี่บินเล่มหนึ่งพลันโผล่มาจากกลางอากาศ วาดผ่านไปรอบๆ ฝูงชน ตัดศีรษะทหารที่อยู่ตรงแถวหน้า
หลังจากนั้น ทหารที่เหมือนกับเทพปีศาจได้บุกทะลุกำแพง นำทหารชุดเกราะกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา
เวลานี้ยังเหลือพวกกบฏอีกกว่าสามร้อยคน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพที่แปลกประหลาดนี้ พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่าต้นกุยช่ายเลย ชีวิตคนถูกเก็บเกี่ยวไปคนแล้วคนเล่า ทหารล้มลงทีละคน ส่งกลิ่นคาวเลือดรุนแรงน่าขยะแขยง
หลังจากนั้นกองทัพนางแอ่นเหินที่จัดการพวกกบฏจนหมดเกลี้ยง ก็ได้พบเห็นภาพฉากที่ยากจะลืมเลือน
ตรงทางเข้าลาน ชายหนุ่มคนหนึ่งยังคงหยัดยืนขึ้นอย่างภาคภูมิ ร่างกายเต็มไปด้วยลูกธนูที่ปักอยู่ ใต้ฝ่าเท้ายังมีศพที่นอนเกลื่อนกลาด เขากำลังยืนอยู่บนภูเขาซากศพโดยใช้กระบี่พยุงร่างตนเองไว้
ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตหลงเหลืออยู่
หลี่เมี่ยวเจินที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเข้มยืนอยู่ตรงหน้าเขา นึกไม่ถึงเลยว่าจะรู้สึกเหงาและเศร้าโศกได้ถึงปานนี้
เดิมทีหลี่เมี่ยวเจินที่เต็มไปด้วยความโกรธและขุ่นเคือง จินตนาการว่าหากเจอกันอีกครั้งจะต้องสั่งสอนเขาอย่างหนัก ทว่าตอนนี้กลับเหมือนมีบางอย่างจุกอยู่ตรงลำคอ
หลี่เมี่ยวเจินขอบตาแดงก่ำ “ข้าขอโทษที่มาช้าเกินไป”
“เมี่ยวเจิน…”
ทหารกองร้อยนายหนึ่งเดินเข้ามา สายตากลับจับจ้องอยู่ที่สวี่ชีอัน
‘แกร๊ง แกร๊ง’ เขายืนอยู่ที่เดิม ชุดเกราะกระทบกันเสียงดังขณะหันไปคารวะสวี่ชีอัน
‘แกร๊ง แกร๊ง…’ เสียงชุดเกราะกระทบกันดังสะท้าน ขณะเดียวกันกองทัพนางแอ่นเหินกว่าสี่ร้อยนายก็ก้มลงคารวะอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าลานเป็นใคร ชื่ออะไร แต่พวกเขาก็แสดงความนับถือจากใจจริงออกมา
“เข้าไปดูว่าผู้ตรวจการยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
น้ำเสียงของหลี่เมี่ยวเจินดูว่างเปล่าเล็กน้อย
“ขอรับ!”
นายทหารกองร้อยอ้อมผ่านร่างสวี่ชีอันไป และวิ่งเข้าไปในลาน
ด้านหลังฝูงชน สาวงามล่มเมืองซูซูยืนอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเงียบเชียบ พลางจับจ้องมองสวี่ชีอันด้วยสายตาเลื่อนลอย
“เจ้าโง่ไปแล้วหรืออย่างไร…”
…
‘ปัง…’
นายทหารกองร้อยผลักประตูออก เห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ผู้ตรวจการจางอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดี ทว่าใบหน้าซีดเซียว
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
นายทหารกองร้อยตะลึงงัน รีบเอ่ย “ข้าน้อยหลี่หู หัวหน้ากองร้อยจากกองทัพนางแอ่นเหิน พวกท่านรอดชีวิตแล้ว”
กองทัพนางแอ่นเหิน?!
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างหันมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง แม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดกองทัพนางแอ่นเหินถึงมาปรากฏตัวที่นี่ แต่เสียงต่อสู้ด้านนอกได้หยุดลงแล้ว
พวกเขารอดแล้ว
ในสถานการณ์อันตรายถึงเพียงนี้ก็ยังมีทางรอด
“เฮ้อ…” ผู้ตรวจการจางที่ซวนเซไปมา เชือกที่รัดแน่นเป็นปมในใจท้ายที่สุดก็คลายออก เขาใช้แรงพยุงเก้าอี้ไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ตนเองล้มลง
“หนิงเยี่ยนเล่า…” ผู้ตรวจการจางเอ่ยถาม “คนที่อยู่ด้านนอก ฆ้องทองแดงท่านนั้นเล่า”
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่หลีกหนีจากความตายมาได้ต่างก็มองตรงไปที่เขา
ทันใดนั้นหัวหน้ากองร้อยหลบเลี่ยงสายตาเล็กน้อย ไม่กล้าสบตาพวกเขาโดยตรง เห็นว่ามีความหวังอยู่ในดวงตาของพวกเขา ย่อมปรารถนาจะได้ยินข่าวดีออกจากปากของตนอย่างไม่ต้องสงสัย
“เขา…เสียชีวิตในสนามรบแล้วขอรับ”
…
ผู้ตรวจการจางรีบกระวีกระวาดพุ่งออกไปจากห้องโถง เดินผ่านลานกว้างมายังเบื้องหน้าร่างของสวี่ชีอัน
แต่สิ่งที่เขาเห็นเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณของมนุษย์ ทั่วร่างเต็มไปด้วยลูกธนูและบาดแผลที่ถูกแทง ไม่มีร่องรอยของการมีชีวิตหลงเหลืออยู่เลย
ฉับพลันเพลงสุดท้ายของชายหนุ่มก็ดังก้องอยู่ในหูของเขาอย่างไม่มีเหตุผล
“อัศวินหนุ่ม ร่วมมือกับเหล่าอัศวิน ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ ครั้นพบเจออยุติธรรมพลันโกรธจนผมตั้งชัน ยืนขึ้นและพูดคุย ร่วมเป็นร่วมตาย สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดดเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง”
สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดดเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง…
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง