บทที่ 302 กลุ่มสหายน่าอุ่นใจ (1)
“สุสาน?”
เมื่อสวี่ชีอันได้ยินเช่นนั้นก็หันหน้าไปมองภูเขาทางทิศใต้ ภูเขาตั้งตระหง่านอย่างสงบนิ่งในคืนมืดมิด เรียงรายอยู่รอบกันและกัน ทำให้มีลักษณะเหมือนดอกบัวบาน
เขาเหลือบมองแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นสวี่ชีอันผู้ดูฮวงจุ้ยไม่เป็นก็ถอนสายตากลับมา แต่กลับพบว่าตอนนี้นักบวชเต๋าจินเหลียน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนกำลังเพ่งมองไปที่ภูเขาด้วยความจริงจังและจดจ่ออย่างยิ่ง
รากฐานของข้ายังตื้นเขินเกินไปเมื่อเทียบกับพวกเขา ต้องโทษที่ระบบการฝึกตนของทหารนั้นต่ำเกิน ทั้งยังดูฮวงจุ้ยไม่รู้เรื่องด้วย…เอ๊ะ? ไม่ถูกสิ การดูฮวงจุ้ยไม่ใช่จุดเด่นของโหรหรืออย่างไร?
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็เอ่ยปากถาม “พวกท่าน ดูฮวงจุ้ยของภูเขาด้านนั้นเป็นด้วยหรือ”
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนสายตากลับมา “ไม่เป็น”
ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนก็ส่ายหน้าตาม
ดูไม่เป็น แต่พวกเจ้าก็ยังมองเสียจริงจังขนาดนั้น แต่ละคนเล่นละครเก่งยิ่งกว่าข้าอีก…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก จากนั้นก็ได้ยินนักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้วกล่าวว่า
“แม้ว่าข้าจะดูฮวงจุ้ยไม่เป็น แต่แนวเส้นของเทือกเขาคล้ายคลึงกัน แม้จะดูเหมือนว่าภูเขาลูกนั้นมีฮวงจุ้ยทองคำ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะมีสุสานอยู่จริง”
ใช่ นักบวชเต๋าพูดมีเหตุผล ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยดูแค่ฮวงจุ้ยเท่านั้น ต้องมองให้ออกด้วยหรือว่าใต้ดินมีสุสาน นึกแล้วสวี่ชีอันก็หันไปมองจงหลี
“มีคนเปิดสุสาน ปราณมืดถึงได้พวยพุ่งขึ้นมา” ดวงตาของจงหลีเป็นประกาย นางเอ่ยพลางมองชัยภูมิไปด้วย
“มีลักษณะคล้ายดอกบัว ยอดเขาหลักหันไปทางตะวันออกเพื่อดูดซับแสงสีม่วง ด้านหลังเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง จะต้องมีกระแสน้ำใต้ดินอย่างแน่นอน ด้านล่างมีน้ำโสโครกหล่อเลี้ยง ถือเป็นชัยภูมิสามวิเศษรวมศูนย์ หากมีแร่เหล็กอยู่ในภูเขาด้วย เช่นนั้นปัญจธาตุก็สมบูรณ์แล้ว”
ปัญจธาตุสมบูรณ์หรือ? สวี่ชีอันคิดในใจพลางเอ่ยถาม “แล้ว?”
“สามารถเลือกฮวงจุ้ยทองคำเช่นนี้ได้ เจ้าของสุสานจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน” จงหลีกล่าว
“ข้าสงสัยอยู่นิดหน่อย ในเมื่อสายฝึกตนอื่นๆ นอกจากโหรต่างก็มองฮวงจุ้ยไม่เป็น ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนเลือกที่ตั้งสุสานกันล่ะ” สวี่ชีอันเกาศีรษะ
จงหลีเอ่ยตอบ “นอกจากโหรแล้ว ก็ยังมีพ่อมดที่ยังเชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยเล็กน้อยด้วย ลัทธิเต๋าก็เข้าใจอยู่นิดหน่อย”
โหรแยกสายออกมาจากสายพ่อมด พ่อมดจึงพอมีความเข้าใจอยู่นิดหน่อย เรื่องนี้เข้าใจได้…แต่ลัทธิเต๋าก็เข้าใจฮวงจุ้ยด้วยหรือ? สวี่ชีอันอดมองไปที่นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ได้
คนอื่นๆ ก็มองไปทางเขาเช่นกัน
นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้า “นิกายปฐพีไม่ได้ศึกษาเรื่องเช่นนี้หรอก แต่นิกายสวรรค์กับนิกายมนุษย์ก็พอจะรู้อยู่บ้าง พูดให้ถูกคือ นิกายสวรรค์มีความสามารถเช่นนี้ก็เพราะฝึกตนขั้นสูง จึงหลอมรวมเป็นหนึ่งกับฟ้าดินและสัมผัสได้ทุกสิ่ง
ส่วนการฝึกตนของนิกายมนุษย์นั้นมีไฟกรรมพัวพันกาย จึงจำเป็นอยู่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิ ดังนั้นจึงต้องศึกษาเรื่องฮวงจุ้ยเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้เชี่ยวชาญเหมือนโหร”
เจ้าสำนักจ้าวโส่วเคยบอกข้าว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับโชคชะตานั้นมีอยู่สามฝ่าย คือ ลัทธิขงจื๊อ โหร และราชสำนัก แต่การฝึกตนของนิกายมนุษย์จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับจักรพรรดินี่นา แล้วเหตุใดถึงไม่อยู่ในสามฝ่ายนี้ด้วยล่ะ สวี่ชีอันคิดในใจ
จงหลีกล่าวต่อ “ในสุสานแห่งนี้อาจมีสมบัติอยู่ แต่ก็มาพร้อมกับอันตราย”
นางจับจ้องมองไปทางทิศใต้ ทั้งปรารถนาและหวาดกลัว
สวี่ชีอันและสมาชิกของพรรคฟ้าดินแลกเปลี่ยนสายตากัน นักบวชเต๋าจินเหลียนส่ายหน้าเอ่ย “หาคนก่อนเถอะ เรื่องเข้าสุสานค่อยว่ากันอีกที”
หาหมายเลขห้าเจอแล้วก็จะได้กลับเมืองหลวง แล้วถือเสียว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เหิงหย่วนมองไปทางจงหลี จากนั้นพยักหน้ากล่าว “ผู้ล่วงลับไปสบายแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรบกวนอีก”
ฉู่หยวนเจิ่นแสดงความชื่นชม “อีกอย่างพวกเราก็ยังเตรียมตัวไม่พร้อม เรื่องเข้าสุสานถือเป็นแผนการระยะยาว”
ความปรารถนาต่อความอยู่รอดของทุกคนแรงกล้ามาก ล้วนแต่เป็นสหายที่น่าอุ่นใจทั้งนั้น ไม่บังคับหรือชวนหาเรื่องใส่ตัว ช่างดีจริงๆ…สวี่ชีอันโล่งใจมาก
ส่วนเรื่องการหาคน หลังจากทุกคนปรึกษากันดูแล้วก็ตัดสินใจว่าจะตามหาสามทาง
หนึ่ง สวี่ชีอันจะใช้ฐานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้เป็นประโยชน์ เขาจะหาเบาะแสจากเจ้าหน้าที่ทางการและทหารในท้องที่
สอง นักบวชเต๋าจินเหลียนและฉู่หยวนเจิ่นสามารถใช้กระบี่บินเพื่อบินดูได้ พวกเขารับผิดชอบอำเภอและหมู่บ้านรอบๆ เมืองหลัก
สาม ไต้ซือเหิงหย่วนจะไปสืบข่าวดูจากคนในยุทธภพที่อยู่ในเมืองและชาวบ้านในตลาด
“หมายเลขห้าเป็นคนจากซินเจียงตอนใต้ ใบหน้ามีเอกลักษณ์ชัดเจน หน้าตาน่ารักงดงาม แค่เห็นก็น่าจะรู้ได้” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
หน้าตาน่ารักงดงาม…สวี่ชีอันหยิบก้อนเงินหนึ่งก้อนออกมาจากถุงหอมแล้วยื่นให้กับไต้ซือเหิงหย่วน “เมื่อสืบข่าวดูจากคน วิธีที่ดีที่สุดคือใช้เงิน รองลงมาคือใช้หมัด ไต้ซือเหิงหย่วนสามารถพิจารณาทั้งสองวิธีได้”
เหิงหย่วนรับเงินมาแล้วพยักหน้า
…
เซียงโจวมีแปดเมืองและสิบหกอำเภอที่อยู่ใต้เขตอำนาจของตน ซึ่งเซียงโจวเป็นเมืองหลักและมีประชากรมากกว่าห้าแสนคน แม้ว่าจะเทียบไม่ได้กับเมืองหลวง แต่ก็ถือเป็นเมืองชั้นหนึ่ง
เมื่อฟ้าสาง สวี่ชีอันก็พาจงหลีเข้ามาในเมือง บนถนนนอกจากจะมีร้านค้าแผงลอยและช่างฝีมือที่ตื่นมาทำงานตั้งแต่เช้าแล้ว ชาวบ้านทั่วไปล้วนยังไม่ลงจากเตียงทั้งนั้น
ในทางกลับกัน สถานบันเทิงอย่างหอนางโลมและหอคณิกาก็เริ่มเปิดประตูกันแต่เช้า
ลูกค้าเดินหาวออกมา พวกเขาตัวสั่นเทาท่ามกลางลมหนาวยามเช้าตรู่แล้วพากันแยกย้ายไปตามทางของตน
ไม่รู้ว่าหอคณิกาของเมืองเซียงโจวจะเป็นอย่างไรหากเทียบกับในเมืองหลวง ดนตรีจะไพเราะหรือไม่ แล้วหญิงสาวจะนุ่มนวลอิ่มเอิบหรือไม่…สวี่ชีอันถามถึงทิศทางของที่ว่าการเมืองกับคนที่เดินผ่านไปมา และหักใจโยนเรื่องหอนางโลมกับหอคณิกาเอาไว้ข้างหลัง
เมื่อเข้ามาในที่ว่าการเมืองแล้ว เขาก็ใช้ป้ายห้อยเอวฐานะฆ้องเงินไปขอพบกับข้าหลวงของเซียงโจว
ข้าหลวงผู้นี้มีแซ่หลี่ เป็นชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยคนหนึ่ง เขาออกมาต้อนรับขับสู้สวี่ชีอันอย่างเกรงใจ
สวี่ชีอันดื่มชาและพูดว่า “ข้ากำลังตามหาหญิงสาวที่มาจากซินเจียงตอนใต้คนหนึ่ง นางอายุน้อย ใบหน้าราวกับบุปผา รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นแยกแยะง่าย หวังว่าข้าหลวงหลี่จะส่งคนไปตามหาให้ด้วย หากได้เบาะแสแล้วให้ติดประกาศที่ประตูเมือง หลังจากข้าเห็นแล้วจะไปหาเอง”
ข้าหลวงหลี่พยักหน้า “ใต้เท้าสวี่โปรดวางใจ ข้าจะต้องจัดการให้อย่างแน่นอน”
สวี่ชีอันจิบชาด้วยความพอใจแล้วเอ่ยถามต่อ “ช่วงนี้บริเวณเมืองเซียงโจวมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่นว่า มีสัตว์ประหลาดกำลังต่อสู้กันอยู่ใกล้ๆ”
ข้าหลวงหลี่ครุ่นคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่มีนะขอรับ”
หลังจากสวี่ชีอันจากไป ข้าหลวงหลี่ก็เรียกคนประกาศแล้วเล่าให้เขาฟัง
“นี่มิใช่การงมเข็มในมหาสมุทรหรอกหรือขอรับ ถึงจะบอกว่าหน้าตาของคนจากซินเจียงตอนใต้มีเอกลักษณ์ชัดเจน แต่เมืองเซียงโจวใหญ่ขนาดนี้ จะไปหาเจออย่างไรกันล่ะขอรับ”
คนประกาศได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเป็นงานลำบาก ลงแรงไปก็ได้ผลงานไม่คุ้มเสีย จึงคิดจะหลีกเลี่ยง
ข้าหลวงสวี่โบกมือ “ฆ้องเงินจากเมืองหลวงสั่งมา ปฏิเสธได้เสียที่ไหน เจ้าก็ทำๆ ไปเถอะ”
พูดจบ จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วมุ่น “ฆ้องเงินนามสวี่ชีอัน…ข้าว่าแล้วว่าชื่อนี้คุ้นหู เจ้าไปหยิบประกาศที่ราชสำนักส่งมาเมื่อวานมาหน่อยซิ”
เมื่อวานนี้ที่ว่าการเมืองได้รับประกาศที่ราชสำนักส่งมาให้หนึ่งฉบับ ในประกาศบอกว่าสำนักโหราจารย์ได้รับชัยชนะจากการประลองกับสำนักพุทธแดนประจิม และสั่งให้ทุกเมืองและทุกมณฑลป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไปให้รู้กันโดยทั่ว
หลังจากคนนำประกาศถูกส่งมาให้แล้ว ข้าหลวงหลี่ก็เพ่งตาอ่านดู เขาจดจ้องไปยังข้อความบรรทัดหนึ่งอยู่นาน ‘ฆ้องเงินสวี่ชีอันเป็นตัวแทนของสำนักโหราจารย์เข้าประลอง’
‘เทพผู้ยิ่งใหญ่มาที่นี่จริงๆ’…ข้าหลวงหลี่มองไปยังประกาศแล้วเอ่ยเสียงขรึม “เรื่องนี้เจ้ารีบไปจัดการทันทีเลยนะ จะต้องทุ่มทั้งกายและใจทำให้เต็มที่ด้วย”
เขาชี้ไปยังประกาศนั้น “ฆ้องเงินที่เพิ่งจากไปคนเมื่อกี้ ก็คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในประกาศนี่เอง”
“ดังนั้น สั่งการไปว่าต้องทำงานเต็มกำลัง” คนประกาศพยักหน้าซ้ำๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง