ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 305

สรุปบท บทที่ 305 แปลกประหลาด (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปตอน บทที่ 305 แปลกประหลาด (1) – จากเรื่อง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

ตอน บทที่ 305 แปลกประหลาด (1) ของนิยายกำลังภายในเรื่องดัง ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดยนักเขียน Internet เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง

บทที่ 305 แปลกประหลาด (1)

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เฉียนโหย่วก็รู้สึกตัวทันที เขากระแอมไออยู่หลายครั้ง สร้างความสนใจให้แก่เหล่าพี่น้อง ก่อนกล่าว

“หัวหน้า พี่น้องทั้งหลาย ข้าเรียกกำลังเสริมมาให้พวกเจ้าแล้ว ทุกคนไม่ต้องกังวล ไม่นานเราก็จะได้ออกจากที่นี่”

ทุกคนดีใจมากเมื่อได้ยิน กล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “เป็นตระกูลกงซุนของยุทธภพเมืองเซียงโจวหรือ หรือว่าหอหลงเสินของริมฝั่งแม่น้ำดำ”

“หากเป็นสองตระกูลนี้ล่ะก็ ครั้งนี้พวกเรารอดแล้ว”

“ใช่แล้ว หัวหน้าของตระกูลกงซุนอยู่ระดับห้า มียอดฝีมืออยู่ใต้อำนาจหลายนาย เป็นมือดีที่มีความสามารถวิชามนต์ดำ หอหลงเสินแข็งแกร่งกว่า ทว่าพลังทั้งสองนี้ท่าจะไม่ดี เกรงว่าสิ่งของในสุสานจะไม่มีส่วนของพวกเรา แถมยังต้องให้ค่าจ้างอย่างมหาศาลอีก”

“สับสนแล้วใช่หรือไม่ ชีวิตแทบจะไม่มีอยู่แล้ว มีเงินทองไปจะมีประโยชน์อะไร เพียงแค่สามารถช่วยพวกเราออกไป ทุกอย่างจะเรียบร้อยดี”

หัวหน้าที่ป่วยพ่นลมหายใจที่ขุ่นมัว พยักหน้าพลางกล่าว “เฉียนโหย่ว เจ้าทำดีมากแล้ว”

เฉียนโหย่วเงียบเป็นเวลานาน กล่าวด้วยท่าทางแปลกๆ “ข้า ผู้ช่วยที่ข้าหามาไม่ใช่จากตระกูลกงซุน และก็ไม่ใช่จากหอหลงเสิน”

“อะไรนะ”

ทุกคนต่างรู้สึกผิดหวังอยู่พักหนึ่ง แววตาที่ตื่นเต้นพลางมลายหายไป

กองกำลังยุทธภพที่ใกล้กับเมืองเซียงโจว ตระกูลกงซุนและหอหลงเสินต่างเป็นผู้นำที่สมชื่อ และมีความเกี่ยวข้องอย่างการใกล้ชิดกับราชสำนักเมืองเซียงโจว อย่างมากพวกเขาต่างก็มีความสัมพันธ์กับมือดีของยุทธภพ

หากในเมืองเซียงโจวยังมีใครที่สามารถช่วยพวกเขาได้ จะต้องเป็นสองกองกำลังนี้เท่านั้น

แสงสว่างแห่งความหวังในดวงตาของหัวหน้าที่ป่วยดับลงทันใด

รองหัวหน้าที่สวมชุดขาวกล่าวถาม “ไม่ใช่จากหอหลงเสินหรือตระกูลกงซุน เช่นนั้นผู้ช่วยที่เจ้าเชิญมาอยู่ระดับใด ตำแหน่ง และการฝึกตนคืออันใด หรือว่าอยู่สังกัดใด”

รองหัวหน้าคือกงหยางซู่ เป็นโหรท่านหนึ่ง อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว นอกจากสำนักโหราจารย์แล้ว โหรผู้ฝึกตนบนยุทธภพนั้นหายากและล้ำค่า

โหรสามารถทำนายโชคชะตา เชี่ยวชาญด้านศาสตร์คานอี่ว์[1] เป็นโจรปล้นสุสานโดยกำเนิด ดังนั้น กงหยางซู่จึงเป็นที่รักของกลุ่มโฮ่วถู่ แม้จะเป็นรองหัวหน้า แต่ทุกคนในกลุ่มต่างเชื่อวาจาของเขา

ทันทีที่กงหยางซู่เอ่ยปาก ทุกคนก็เงียบทันที และมองไปที่เฉียนโหย่ว

“พูดไปมันก็เป็นเรื่องบังเอิญ ผู้ช่วยเหล่านั้นข้าบังเอิญพบเจอระหว่างทาง แต่ดูเหมือนพวกเขาก็กำลังตามหาคนอยู่เหมือนกัน…” ผู้นำหางเสือเฉียนโหย่วมองไปยังสาวน้อยชาวซินเจียงตอนใต้ กล่าวอย่างทอดถอนใจ

“แม่นางลี่น่า พวกเขามาตามหาท่าน”

จากนั้นทุกคนก็มองมาที่สาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้ ลี่น่าที่พยายามจะจัดการกับปิ่งอยู่เงยหน้าขึ้น มุมปากเต็มไปด้วยเศษปิ่ง ท่าทางสับสนอย่างมาก

“เป็นครั้งแรกที่ข้ามาต้าฟ่ง ครอบครัวไม่ได้ตามมาด้วย” ลี่น่าส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีสหาย

เฉียนโหย่วอธิบาย “ผู้ที่ข้าเจอคือนักรบเขตกระดูกเหล็กผิวทองแดงอันดับหก ท่าทางหล่อเหลายิ่งนัก ด้านหลังมีหญิงสาวสยายผมอยู่คนหนึ่ง…”

เขายังไม่ทันได้กล่าวจบ ลี่น่าก็รีบส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

“แต่พวกเขากำลังตามหาท่านอยู่จริงๆ นะ แถมยังถามข้าอีกว่าผู้ที่อยู่ในสุสานมีแม่นางที่มาจากซินเจียงตอนใต้หรือไม่ ข้าคิดดูแล้ว ช่วงเวลาในเมืองเซียงโจว ก็มีเพียงท่านที่เป็นสาวซินเจียงตอนใต้”

หัวหน้าที่ป่วยขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่าลี่น่าจะปิดบังและแก้ตัวกับเรื่องนี้ อย่างแรก แม่นางท่านนี้เป็นคนใสซื่อ ไม่ได้เป็นคนเจ้าเล่ห์

อย่างที่สอง ทุกคนต่างอยู่สถานการณ์ที่สิ้นหวัง และตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ใครกันที่ไม่อยากรีบออกไปจากที่นี่ การปิดบังเรื่องนี้ก็ไม่มีประโยชน์อันใดในเวลานี้

สุดท้าย หากยายหนูนี่มีสหายที่เป็นนักรบระดับหกอยู่ที่ต้าฟ่ง เหตุใดต้องลำบากทนหิวอยู่สามวันสามคืนเล่า หากตนเองไม่เชิญให้นางกินข้าวสักหนึ้งมื้อ นางก็เตรียมตัวจะปล้นแล้ว

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หัวหน้าที่ป่วยกล่าวอย่างไตร่ตรอง “เจ้าบอกว่ามีหลายคนไม่ใช่หรือ อธิบายลักษณะคนอื่นๆ อย่างละเอียดหน่อย”

เฉียนโหย่วพยักหน้า พลางกล่าว “นอกจากบุรุษหนึ่งสตรีหนึ่งแล้ว ยังมีภิกษุที่ท่าทางดุดัน รูปร่างกำยำท่านหนึ่ง นักกระบี่สวมชุดยาวสีเขียวท่านหนึ่ง กระบี่ของเขาบินได้ ช่างเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

“กระบี่บินที่บินได้หรือ” หัวหน้าที่ป่วยถึงกับตกตะลึง เขาไม่เคยได้ยินว่ามีนักกระบี่ที่กระบี่บินสามารถบินได้มาก่อน

“เจ้ารู้จักหรือไม่” กงหยางซู่มองลี่น่า

สาวน้อยซินเจียงตอนใต้ส่ายหน้า “ไม่รู้จัก”

ไม่รู้จักจริงๆ หรือ นี่ นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน จอมยุทธกับเหล่าสหายของเขากำลังตามหาแม่นางลี่น่านี่…เฉียนโหย่วที่สงสัย กล่าวต่อ

“ยังมีนักบวชท่านหนึ่ง ข้าได้ยินคนอื่นๆ เรียกเขาว่านักบวชเต๋าจินเหลียน”

“นักบวชเต๋าจินเหลียน?!”

ทันใดนั้นลี่น่าก็กรีดร้อง หางคิ้วเชิดขึ้นด้วยความดีใจ กล่าวติดต่อกัน “รู้จัก รู้จัก นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นผู้อาวุโสที่ข้าเชื่อใจคนหนึ่งเลย…ฮือฮือ นักบวชเต๋าจินเหลียนมาตามหาข้า นักบวชเต๋าจินเหลียนช่างเป็นคนดียิ่งนัก”

รู้จักจริงๆ ด้วยหรือนี่…ทุกคนราวกับยกภูเขาออกจากอก

เช่นนั้นแล้ว เป็นความจริงที่ลี่น่ารู้จักคือนักบวชเต๋าจินเหลียนท่านนั้น ส่วนคนอื่นๆเป็นผู้ช่วยที่นักบวชหามา

คนหัวโล้นที่กำยำน่าจะเป็นเหิงหย่วนจอมยุทธ์ภิกษุ นั่นก็คือหมายเลขหก…นักกระบี่สวมสุดยาวสีเขียวที่ถือกระบี่บินได้ก็คือหมายเลขสี่ เอ่อ การต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ใกล้เข้ามาแล้ว ตอนนี้เขาก็คงอยู่ในเมืองหลวง…นักรบระดับหกผู้หล่อเหลาเป็นผู้ใดกัน พรรคฟ้าดินของพวกเรามีบุคคลนี้ด้วยหรือ สมองที่ไม่ฉลาดของลี่น่าขยับหมุนอย่างรวดเร็ว นำเอาคำว่า ‘สหาย’ ที่เฉียนโหย่วกล่าวเข้าสู่การนั่งฌาน

แต่ก็นึกไม่ออกว่า ‘บุรุษหนึ่งสตรีหนึ่ง’ เป็นผู้ใด

“แม่นางลี่น่า”

สมาชิกในกลุ่มท่านหนึ่งดูตื่นเต้น มองนางด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย “สหายเหล่านั้นของท่าน การฝึกตนเป็นเช่นใดหรือ”

ลี่น่าเป็นคนใสซื่อ เมื่อมีคำถามก็ต้องตอบ “นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นยอดฝีมือของนิกายปฐพี เกี่ยวกับอยู่ระดับใดข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ต้องแข็งแกร่งกว่าข้ามากอยู่แล้ว”

ในใจของทุกคนปรากฏภาพพลังที่ใช้มือฉีกร่างผีดิบ และต่อสู้กับสัตว์ประหลาดกินคน อีกทั้งนักบวชเต๋าจินเหลียนท่านนั้นยังแข็งแกร่งกว่านาง หัวใจเกิดความร้อนรุ่ม เต็มไปด้วยความหวังอยู่พักหนึ่ง

“ภิกษุหัวโล้นเป็นจอมยุทธ์ภิกษุของสำนักพุทธ การฝึกตนยอดเยี่ยมยิ่งนัก”

ลี่น่าไม่ค่อยรู้เรื่องเหิงหย่วนมากนัก จึงข้าม และกล่าวต่อ “หากเป็นนักกระบี่ชุดเขียว เขาชื่อฉู่หยวนเจิ่น เป็นหนึ่งในบุคคลหลักของการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ เป็นตัวแทนนักปราชญ์หญิงประลองยุทธ์ระหว่างนิกายมนุษย์กับนิกายสวรรค์”

“อะไรนะ!”

ทุกคนอุทานออกมา หัวหน้าที่ป่วยก็ตกใจจนพูดไม่ออกเช่นกัน

เมืองเซียงโจวไม่ไกลจากเมืองหลวง ระยะทางแค่ขี่ม้าสามสี่วันเท่านั้นเอง ความขัดแย้งระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ได้แผ่ขยายไปทั่วเมืองหลวงมาช้านาน รวมทั้งรอบเมืองต่างๆ

หัวหน้าที่ป่วยชักอาวุธออกมา หยืนหยัดจะสู้รบพร้อมกับทุกคน

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คนของกลุ่มโฮ่วถู่ได้เสียชีวิตไปทีละคน และทำให้ผู้ที่มีชีวิตรอดเข้าใจนิสัยของสัตว์ประหลาดเป็นอย่างดี

สัตว์ชั่วร้ายนั้นไม่กล้าที่จะต่อสู้กับแม่นางลี่น่า มักจะซ่อนตัวอยู่ในความมืดและรอโอกาสที่จะโจมตีพวกเขา

เมื่อลงมือโจมตี ก็จะจากไปทันที

ลี่น่าค่อยๆ ถอยหลัง คว้าและแย่งคบเพลิงจากมือเฉียนโหย่วอย่างฉับไว ใบหน้าที่ทั้งสวยและน่ารักเต็มไปด้วยความจริงจัง วินาทีที่นางถือคบเพลิงและตั้งใจฟัง ทันใดนั้นก็ขว้างมันออกไป

ในแสงไฟที่วูบไหว ทุกคนเห็นสัตว์ประหลาดจำพวกกิ่งก่าที่ขนาดมหึมาตัวหนึ่งเกาะอยู่บนกำแพง ดวงตายาวสีเทาสองดวงแข็งทื่อ ราวกับไม่ไวต่อแสงมากนัก

เฉียนโหย่วได้เห็นรูปร่างหน้าตาของสัตว์ประหลาดเป็นครั้งแรก มันยาวไม่ถึงหนึ่งจั้ง[3] หางยาวเท่ากับลำตัว ทั้งตัวปกคลุมไปด้วยผิวหนังหนาๆ

ช่วงเวลาที่แสงไฟกระทบสัตว์ประหลาด ลี่น่าหลังจากรับประทานอาหารได้แสดงให้เห็นในการระเบิดอันทรงพลัง นางงอเข่า ยิงออกไปหนึ่งนัดทันที ร่างนั้นหายไปก่อนที่จะได้ยินเสียงพื้นปูกระเบื้องสีเขียวที่อยู่ใต้เท้าที่ปริแตกดังออกมา

สัตว์ประหลาดที่เกาะบนผนังสังเกตเห็นความผิดปกติ ร่างกายสั่นไหว และเลือนหายไป

ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้ลี่น่าที่มีประสบการณ์ล่าสัตว์อย่างช่ำชอง ไล่ล่าอย่างไม่ยอมแพ้ หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ต่อสู้กันอยู่ในความมืด ไม่นาน เสียงการต่อสู้ ‘ปัง ปัง’ และเสียงคำรามของสัตว์ประหลาด รวมทั้งเสียงดุดันของลี่น่าก็ดังเล็ดลอดออกมา

ในที่สุด ทุกอย่างก็สงบลง

“แม่นาง แม่นางลี่น่า”

หัวหน้าที่ป่วยพยายามไม่ให้เสียงของตนเองสั่น

ในความเงียบงัน เสียงคร่ำครวญของลี่น่าก็ลอดออกมา “เจ็บจังเลย”

จากนั้น นางก็เดินออกมาจากความมืด ในมือหิ้วซากศพของสัตว์ประหลาดไว้

เสียงโห่ร้องระเบิดดังลั่น สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่หลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ พลางตะโกนเสียงดังเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจออกมา

อันตรายที่ทำให้พวกเขายากลำบากมาหลายวัน ในที่สุดก็คลี่คลายลงเสียที

ลี่น่าโยนซากศพของสัตว์ชั่วร้ายลงตรงหน้าทุกคน กล่าวอย่างเบิกบานใจ “มันกินได้หรือไม่”

ไม่กล้ากิน ไม่กล้ากิน…ทุกคนในกลุ่มโฮ่วถู่ต่างส่ายหน้าติดต่อกัน

“แม่นางลี่น่า สัตว์นี้กำเนิดในสุสาน กินเนื้อที่เน่าเสียที่มีพิษเพื่อเติบโตและดูดซับสิ่งสกปรก สำหรับข้าแล้วถือว่าเป็นสัตว์มีพิษ” โหรกงหยางซู่กล่าวตักเตือน

…………………………………………..

[1] เป็นชื่อเรียกแรกดั้งเดิมของศาสตร์เฟิงสุ่ย และเปลี่ยนมาเรียกเป็น “เฟิงสุ่ย 風水” หรือ “ฮวงจุ้ย” ในสมัยราชวงศ์ชิง

[2] ความสูง เป็นฟุต

[3] การวัดความสูงของจีน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง