บทที่ 333 คำถาม
ลั่วอวี้เหิงชะงักไป นัยน์ตางดงามสาดประกายวาบ นางมองไปยังฉู่หยวนเจิ่นแล้วเม้มปากก่อนเอ่ยว่า “สวี่ชีอันแทรกแซงศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์และเอาชนะเจ้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้อย่างนั้นหรือ”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าแล้วยิ้มขมขื่น “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงได้ลงมือเช่นนั้น”
ความจริงแล้วเขาก็พอจะเดาได้บ้าง นี่อาจเป็นเพราะถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนยุยงอย่างลับๆ ก็ได้ ส่วนเหตุผลก็ทำเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้สมาชิกของพรรคฟ้าดินต้องเสี่ยงชีวิต ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้บอกการคาดเดานี้กับลั่วอวี้เหิง
“บอกข้ามาให้ละเอียด เขาเอาชนะเจ้าได้อย่างไร” ลั่วอวี้เหิงปรายตามองเขา จากนั้นก็หันความสนใจไปที่แปลงดอกไม้หลากสีสัน
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกว่าราชครูดูสวยละลานตาขึ้นมาทันใด ราวกับบุปผาที่เบ่งบานอยู่ในสวน ไม่ดูหนักอึ้งเหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป
“ความจริงเขาเอาชนะข้ากับหลี่เมี่ยวเจินเพราะยืมกำลังมาจากภายนอก ตัวของเขามีหนังสือจากลัทธิขงจื๊ออยู่เล่มหนึ่ง มันบันทึกวิชาเวทเอาไว้มากมาย แต่ถึงอย่างนั้น ดาบและอาวุธเวทมนตร์ก็ถือเป็นของภายนอกเช่นกัน แพ้แล้วก็คือแพ้” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างยอมรับ
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยพึมพำ “อาศัยแค่หนังสือเวทมนตร์ของลัทธิขงจื๊ออย่างเดียวไม่มีทางเอาชนะเจ้าและหลี่เมี่ยวเจินได้หรอก มิใช่หรือ”
น้ำเสียงของนางหนักแน่นมาก
เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของฉู่หยวนเจิ่นก็พลันแปลกพิกล เขามองดูใบหน้างามล่มบ้านล่มเมืองของลั่วอวี้เหิงแล้วเอ่ยเสียงต่ำ “เรื่องนี้ ต้องขอให้ท่านราชครูชี้แนะด้วยขอรับ…”
หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง เขาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่เข้าใจและแฝงความไม่อยากเชื่อ “สวี่ชีอันฝึกวิชาพลังเทพวชิระจนสำเร็จ หากข้าไม่ดึงดาบก็ไม่อาจทำลายการป้องกันของเขาได้เลย แต่ท่านราชครูขอรับ เขาฝึกวิชาพลังเทพวชิระมาเดือนกว่าเอง เหตุใดถึงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้หรือ”
สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่แค่คำว่า ‘พรสวรรค์จากฟ้า’ ก็สามารถอธิบายได้แล้ว ฉู่หยวนเจิ่นครุ่นคิดดูก็เห็นว่าอรหันต์ตู้เอ้อร์เรียกสวี่ชีอันว่าพุทธบุตร บางทีนี่อาจจะมีอีกความหมายหนึ่งก็ได้
เช่น การกลับชาติมาเกิดของภิกษุระดับสูงของสำนักพุทธ
ลั่วอวี้เหิงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ช่วงหลายวันนี้มีแมวตัวหนึ่งมาหาข้าและเอ่ยขอยาชิงตัน บอกว่ามันสามารถช่วยชะลอศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้”
‘แมวตัวหนึ่ง…ปีศาจแมว? ไม่สิ เผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาในเขตพระราชฐานไม่ได้ ยิ่งไม่อาจเข้ามาในอารามรัตนะได้ด้วย…มันอาจจะใช้ร่างของแมวเพื่อเข้ามาในอารามรัตนะเพื่อพูดคุยกับราชครูเรื่องศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ก็ได้ หรืออีกฝ่ายอาจเป็นสหายเก่าของราชครู หรือไม่ก็คนในลัทธิเต๋า…’
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นคนฉลาดและเชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ เขาจึงมุ่งเป้าไปที่บุคคลผู้น่าสงสัยคนหนึ่งได้ นั่นก็คือนักบวชเต๋าจินเหลียน
และเมื่อคิดต่อจากตรงนี้ สาเหตุที่สวี่ชีอันเข้ามาแทรกแซงในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ก็พอจะอธิบายได้แล้ว เขาถูกนักบวชเต๋าจินเหลียนยุยงมานั่นเอง
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สรรพคุณของยาชิงตันเป็นอย่างดี เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคิดถึงคำพูดที่สวี่ชีอันกล่าวอย่างภาคภูมิในระหว่างการต่อสู้ว่า ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินเป็นผู้ช่วยหลอมร่างกายให้พอดี…
ทันใดนั้นทุกอย่างก็แจ่มชัด นักบวชเต๋าจินเหลียนและราชครูบรรลุข้อตกลงบางอย่างร่วมกัน คนแรกช่วยยืดเวลาของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ส่วนคนหลังก็ต้องจ่ายสิ่งตอบแทนที่มีค่าพอกันให้
และสิ่งตอบแทนย่อมไม่ใช่แค่ยาชิงตัน ยาชิงตันเอาไปให้สวี่ชีอันแล้ว ส่วนนักบวชเต๋าจินเหลียนมีแผนอีกอย่าง
ดังนั้น สาเหตุที่ร่างทองของสวี่ชีอันก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ ก็เป็นเพราะเขาใช้ยาชิงตันนั่นเอง
‘แต่ตอนที่ได้ยินว่าสวี่ชีอันเอาชนะข้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้ ความตกตะลึงของราชครูกลับมิใช่เรื่องเสแสร้ง…อืม เช่นนั้นก็แสดงว่านางไม่ได้เชื่อมั่นในข้อตกลงนี้สักเท่าใด…’ ฉู่หยวนเจิ่นโค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า
“ก่อนที่หลี่เมี่ยวเจินจะทะลวงระดับร่างทอง นางจะไม่ท้าทายศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์อีก ท่านราชครูวางใจได้ขอรับ”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้รั้งอยู่นาน เขาเอ่ยลาแล้วก็จากไป
ไม่นานหลังจากที่เขาจากไป แมวสีส้มตัวหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนกำแพง ดวงตาสีอำพันจ้องมองไปที่ลั่วอวี้เหิง
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะทำได้ถึงขั้นนี้จริงๆ” ลั่วอวี้เหิงถอนหายใจแผ่ว
“แสดงว่าสิ่งที่ข้าคาดเดานั้นเป็นความจริง ในร่างกายของเขาซ่อนความลับบางอย่างไว้” แมวส้มเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“วันนั้นที่เขาหนีออกมาจากสุสานได้ เขาพูดกับข้าว่า ที่เขาสามารถเอาชนะศพโบราณได้ก็เป็นเพราะท่านโหราจารย์ทิ้งบางอย่างไว้ในร่างของเขา ฮ่าๆ เพราะเขาคิดว่าข้าเป็นเพียงนักพรตเต๋านิกายปฐพีธรรมดาๆ ข้าก็เลยแสร้งทำเป็นเชื่อวาจาไร้สาระนั่น วันนั้นข้าบังเอิญได้เห็นร่างทองของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มันก็ยิ่งทำให้ข้าสงสัยมากเข้าไปอีก ดังนั้นจึงผลักเรือไปตามน้ำ ยุให้เขาแสดงฝีมือออกมาเพราะอยากเห็นว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นไหน ไม่คิดเลยว่าเขาจะเรียกขอยาชิงตัน และดูดซับฤทธิ์ยาได้อย่างไร้อุปสรรค จากนั้นก็ฝึกฝนวิชาพลังเทพวชิระจนสำเร็จ”
คลื่นในดวงตาของลั่วอวี้เหิงสั่นไหว นางมองไปที่แมวส้มด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าคาดเดาว่าอย่างไร”
แมวสีส้มครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “จากการสังเกตของข้าและจากวิธีการที่ท่านโหราจารย์ชอบใช้ ข้าสงสัยว่าความลับในตัวเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ เจ้าคิดว่าการที่ท่านโหราจารย์เลือกเขาให้เข้าร่วมการประลองพิธีต้าวฮวดไม่ใช่เรื่องแปลกหรือ เหมือนตั้งใจจะให้เขาเข้าสู่เขตแดนแห่งพุทธแล้วฝึกฝนวิชาพลังเทพวชิระให้ได้”
“ก็มิถือว่าแปลก แต่เมื่อรวมกับสิ่งที่เจ้าพูดเข้าด้วยกัน มันก็เป็นเรื่องที่แปลกมากทีเดียว ทั้งยังไม่ใช่เรื่องธรรมดาๆ เสียด้วย” ลั่วอวี้เหิงมองผิวน้ำอันสงบนิ่ง จากนั้นนัยน์ตาก็เบิกกว้าง แววตาเริ่มฟุ้งซ่าน นางตกอยู่ในภวังค์ความคิดพลางกล่าวว่า “สำนักพุทธก็ยื่นมือมาแทรกแซงหรือ”
แมวส้มหัวเราะ “หมากของท่านโหราจารย์ พุทธบุตร และโชคชะตาแปลกประหลาดคุ้มกาย ศิษย์น้องเอ๋ย ตอนนี้หากเจ้าไม่ตัดสินใจ ต่อไปคนเขาอาจจะไม่ยอมบำเพ็ญคู่กับเจ้าก็ได้นะ”
ลั่วอวี้เหิงเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่แมวสีส้มด้วยท่าทางทรงเสน่ห์
“ท่านเหมือนจะมีความสุขมากนะ” นางกล่าว
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ยิ่งตัวของสวี่ชีอันมีความลับมากเท่าใด ก็หมายความว่าเขามิใช่คนธรรมดา การสังหารมารในอนาคตก็จะยิ่งมีโอกาสชนะมากขึ้นอย่างไรเล่า” แมวสีส้มเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
ลั่วอวี้เหิงยกยิ้มมุมปากแล้วแค่นหัวเราะออกมา “ของขวัญที่อยู่ในตัวเขาเหล่านั้น ล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ศิษย์พี่ ท่านมองโลกในแง่ดีเร็วเกินไปนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของแมวส้มก็แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “บนตัวเขาเต็มไปด้วยเรื่องชวนสับสน เมื่อเขาต้องชำระบัญชีในอนาคต ก็หวังว่าเขาจะผ่านไปได้อย่างปลอดภัยนะ พอถึงตอนนั้น ในฐานะที่ศิษย์น้องเป็นคู่เต๋า เจ้าต้องช่วยเขาด้วยล่ะ”
“ข้าย่อม…” ลั่วอวี้เหิงเอ่ยโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็ฟื้นคืนสติแล้วกล่าวอย่างโมโห “ไสหัวไปซะ”
…
พระราชวัง
ขันทีเฒ่าวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องบรรทมของจักรพรรดิ ก่อนร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น “ฝ่าบาท ฝ่าบาท ข่าวดีพ่ะย่ะค่ะ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้นทันที เขาไม่ได้โทษขันทีชราเรื่องการเสียกิริยา แต่ก็ไม่ได้เผยความยินดีใดๆ ออกมา เขากลับถอนหายใจแทน “ฉู่หยวนเจิ่นชนะพ่ะย่ะค่ะ…”
ชนะแล้วอย่างไร ก็แค่เอาชนะแทนราชครูสามกระบวนท่า แต่ความต่างของระดับสองและระดับหนึ่งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่สามกระบวนท่าจะสามารถเติมเต็มได้เลย
“ไม่ใช่สิๆ” ขันทีชรากล่าวอย่างตื่นเต้น “ฝ่าบาท ศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ยังไม่ทันได้ต่อสู้กันพ่ะย่ะค่ะ เพราะถูกฆ้องเงินสวี่หยุดไว้เสียก่อน “
นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ลงเล็กน้อย เขาตกใจกับข่าวที่ได้รับกะทันหันนี้จนต้องโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น พูดมาตามตรง”
ขันทีชรารายงานข่าวที่ได้จากทหารรักษาพระองค์ไปตามความจริง
ตั้งแต่การปรากฏตัวของสวี่ชีอัน บทกวีอันน่าอับอายของสวี่ชีอัน สวี่ชีอันทำข้อตกลงกับหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่อหน้าฝูงชน ตลอดจนกระบวนการต่อสู้ และอื่นๆ
ขันทีเฒ่ายิ้มอย่างประจบสอพลอ “เมื่อเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาทก็มิต้องทรงกังวลเรื่องราชครูแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ เฮ้อ ฆ้องเงินสวี่ช่างเก่งกาจเสียจริง ทำให้รู้สึกเบาใจอย่างบอกไม่ถูกเลยเชียว”
เหมือนกับการประลองในพิธีต้าวฮวดก่อนหน้านี้ และเหมือนกับคดีสำคัญต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก ขอเพียงมีฆ้องเงินสวี่อยู่ก็สามารถจัดการได้อย่างสวยงาม
เมื่อพูดจบ ขันทีชราก็พบว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งนิ่งงันไปแล้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ฝ่าบาท?”
นัยน์ตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งสั่นไหวเล็กน้อยก่อนกลับมามีชีวิตชีวาดังเดิม เขาหลุดออกจากภวังค์ความคิดแล้วเอ่ยขึ้นคล้ายพูดกับขันทีเฒ่า แต่ก็เหมือนพึมพำกับตัวเอง “ข้าจำได้ว่าอ๋องสยบแดนเหนือในสมัยนั้นยังไม่ดีเท่าเขาเลย…”
ขันทีเฒ่าก้มศีรษะทันที ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
…
อีกด้านหนึ่ง เหล่าฆ้องทองคำที่กำลังสับสนอยู่ในใจล้วนกลับมาที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกันแล้ว เจียงลวี่จงครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปพบเว่ยกงด้วยกันเถิด แล้วบอกเรื่องนี้ให้เขารู้เสีย”
หนานกงเชี่ยนโหรวยิ้มเยาะ “จะเลียแข้งเลียขาแทนสวี่ชีอันเช่นนั้นหรือ”
หยางเยี่ยนผู้มีสีหน้าราวกับประติมากรรมแกะสลักตลอดปีเอ่ยพูดเสียงเรียบ “ไปคุยด้วยสักหน่อยไม่เป็นอะไรหรอก”
มีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับสายการฝึกยุทธ์เท่านั้o ที่จะทำให้ชายไร้สีหน้าผู้นี้รู้สึกสนใจขึ้นมาได้ สำหรับหยางเยี่ยนแล้ว หากโลกอันหนาวเหน็บมีเส้นทางท่าเรืออันอบอุ่นอยู่หนึ่งแห่ง ที่นั่นไม่มีทางเป็นขุมนรกที่ชายหนุ่มอย่างเขาจะมุ่งหน้าไปอย่างแน่นอน ทว่าเป็น ‘เส้นทางการฝึกยุทธ์’ เท่านั้นที่เขาจะไปหา
ฆ้องทองคำแปดคนเข้าสู่หอเฮ่าชี่
ในห้องน้ำชา เว่ยเยวียนถือหนังสือหนึ่งม้วน พร้อมกับน้ำชาและขนมสำหรับอ่านเล่นท่ามกลางแสงแดดยามเช้าอันสดใส
“พวกเจ้ากลับมาแล้ว”
เว่ยเยวียนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขาเอ่ยต่อ “ขอข้าเดาก่อนว่าใครจะชนะ อืม หลี่เมี่ยวเจินเพิ่งขึ้นระดับสี่ใหม่ๆ รากฐานยังไม่มั่นคง การฝึกตนของฉู่หยวนเจิ่นคือกระบี่เฉียง ทั้งคู่น่าจะฝีมือพอๆ กัน แต่ข้าได้ยินสวี่ชีอันบอกว่า ฉู่หยวนเจิ่นสร้างเคล็ดวิชาจิตดาบขึ้นมาเอง ยอดเขาเขียวสามฉื่อซ่อนอยู่ในคมฝัก หลายปีมิเคยชักออก แต่หากเขาชักดาบออกมาละก็…”
พอฟังเว่ยเยวียนพูดพึมพำกับตัวเองแบบนี้แล้ว เขาก็ดูราวกับเป็นเสนาธิการผู้วางกลยุทธ์ที่กำลังวิเคราะห์บทสรุปของศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ แต่หยางเยี่ยนคิดอยากจะพูดแทรกหลายครั้งแล้วบอกกับท่านพ่อบุญธรรมของตนว่า
‘ท่านอย่าเดาส่งเดชเลย เรื่องไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดแม้แต่นิด’
ทว่าก็ถูกพวกฆ้องทองคำอย่างเจียงลวี่จงใช้สายตาและมือเท้าหยุดยั้งเอาไว้
“ดังนั้นข้าคิดว่า…” เว่ยเยวียนสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ ของพวกเขาและเห็นสีหน้าของหยางเยี่ยนดูลำบากใจ เขาจึงขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“มีเรื่องใดหรือ”
หยางเยี่ยนพยักหน้าทันที เขาเอ่ยเสียงขรึม “ท่านพ่อบุญธรรม สวี่ชีอันเป็นผู้ชนะในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ขอรับ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ หยางเยี่ยนก็ราวกับโล่งอก เขาไม่ต้องมองดูท่านพ่อบุญธรรมด้วยความกระอักกระอ่วนอีกแล้ว
“???”
เว่ยเยวียนตกตะลึง เขานิ่งงันไปด้วยใบหน้าไร้อารมณ์แล้วกล่าวความตกใจ “เจ้าว่าอะไรนะ”
“ยามเหม่าเช้านี้ สวี่ชีอันเข้าไปแทรกแซงในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ขอรับ เขาคนเดียวเอาชนะศิษย์ผู้โดดเด่นของลัทธิเต๋าทั้งสองคนได้ แล้วทำข้อตกลงกับพวกเขาว่าหากจะเปิดศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ ก็ให้เอาชนะร่างทองของเขาเสียก่อน…” หนานกงเชี่ยนโหรวรู้ว่าหยางเยี่ยนไม่ชอบกล่าวคำพูดยาวๆ จึงเป็นผู้เล่ากระบวนการต่อสู้ให้กับเว่ยเยวียนฟังแทน
“แม้ว่าจะใช้เวทมนตร์จากลัทธิขงจื๊อมาเอาชนะฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าร่างทองของสวี่หนิงเยี่ยนแข็งแกร่งไม่แพ้กายเนื้อของผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่เลยขอรับ” เจียงลวี่จงกล่าวอย่างทอดถอนใจ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง