บทที่ 345 สืบเสาะการติดตามพระมเหสี
ตั้งแต่สมัยโบราณ เมืองต่างๆ มักมีท่าเรือหนุนหลังและเศรษฐกิจ โดยทั่วไปมีความเจริญรุ่งเรือง ดังเช่นเขตอำเภอหวงโหยวที่มีขนาดไม่ใหญ่นักทว่ากลับมีถนนที่กว้างขวางและทอดยาว ผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ราวกับทอผ้า เรียกได้ว่าครื้นเครงทีเดียว
สวี่ชีอันยืนอยู่บนท่าเรือ สายตามองไปรอบๆ เห็นคนหาบของและแรงงานอัตราจ้างต่ำผ่านไปมาพร้อมกับเหงื่อไคลที่รินไหล
เมื่อกวาดตามองก็ค่อยๆ เดินเข้าไปแล้วตรึงหัวหน้าคนงานที่กำลังนั่งดื่มชาอยู่ในเรือนพักร้อนพร้อมกับสมุดบัญชีในมือ ก่อนที่เขาจะใช้มือข้างหนึ่งจับดาบแล้วก้มมองลงไปที่หัวหน้าคนงานผู้นั้น
หัวหน้าคนงานมองไปที่สวี่ชีอันอย่างแน่วแน่ ด้วยฆ้องเงินและฆ้องทองแดงที่ปักอยู่บนหน้าอกของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทางด้านหลัง แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักหัวหน้าของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่ชื่อเสียงของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่แม้แต่คนทั่วไปในท้องตลาดต่างก็รู้จักกันสนั่นหวั่นไหว
‘นะ นี่คือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในตำนานงั้นหรือ?’ ขณะที่สงสัย หัวหน้าก็ยืนขึ้น ก่อนจะผงกหัวและคำนับ “เหล่าใต้เท้า ส่วยใช่หรือไม่ขอรับ?”
ในระหว่างที่พูด เขาก็หยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของตนเองแล้วยื่นมันด้วยมือทั้งสองข้าง
สวี่ชีอันไม่ชายตามองพลางพูดอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าเป็นหัวหน้าคนงานรึ”
หัวหน้ายังคงพยักหน้าและคำนับต่อไป “ใช่ขอรับ”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ มองไปยังคนหาบของที่ชุลมุนและถามว่า “ช่วงนี้มีผู้ลี้ภัยจากทางเหนือมาหรือไม่?”
“ผู้ลี้ภัย?”
หัวหน้าคิดครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ไม่มีนะขอรับ แต่ข้าน้อยก็พอได้ยินมาว่ามีสงครามเกิดขึ้นทางตอนเหนือและเผ่าอนารยชนกำลังลุกฮือออกปล้นสะดมไปทุกหนทุกแห่ง โชคดีที่อ๋องสยบแดนเหนือปกป้องไว้ได้ ไม่เช่นนั้นฉู่โจวคงสูญสลายไปนานแล้ว”
“เจ้าชื่นชมอ๋องสยบแดนเหนือมากเลยสินะ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไร้อารมณ์
“แน่นอนขอรับ อ๋องสยบแดนเหนือเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามต้าฟ่งและเขาก็เป็นยอดฝีมือคนแรกของต้าฟ่งด้วย เป็นเพราะเขาทางตอนเหนือถึงสามารถมั่นคงได้” หัวหน้าคนงานแสดงท่าทางชื่นชม
อ๋องสยบแดนเหนือกลายเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามตั้งแต่เมื่อไร เทพเจ้าแห่งสงครามของต้าฟ่งเห็นได้ชัดว่าคือเว่ยกง…สวี่ชีอันจากไปพร้อมกับเหล่าพลฆ้องเงินและฆ้องทองแดง
ในเรือนพักร้อน หัวหน้าคนงานมองตามหลังพวกเขาที่จากไปพลางสงสัยว่า “ให้เงินแต่ไม่ต้องการเงิน? สมองมีปัญหาหรือยังไงกัน”
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงภายในเมือง สวี่ชีอันก็นั่งอยู่ในภัตตาคารบ้าง นั่งในหอคณิกาบ้าง แม้กระทั่งใช้ความคิดริเริ่มในการพูดคุยกับขอทาน เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ติดตามมาด้วยกันต่างตระหนักได้ว่าสวี่ชีอันมีจุดประสงค์อื่นสำหรับการเดินทางครั้งนี้
การร่ำหอคณิกาฟังบทเพลงเป็นเพียงการเสแสร้งเท่านั้น
“ใต้เท้าสวี่ ท่านกำลังสืบเสาะอะไรอยู่หรือ?” ฆ้องเงินนายหนึ่งเอ่ยถาม
“ตรวจสอบผู้ลี้ภัย”
สวี่ชีอันยืนอยู่ข้างถนนพลางใช้มือข้างหนึ่งกดไปที่ดาบแล้วขมวดคิ้ว “มีบางอย่างแปลกนัก ไม่รู้ว่าพวกเจ้าจะสังเกตเห็นหรือไม่”
ฆ้องเงินผู้มีประสบการณ์โชกโชนนายหนึ่ง หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า
“ไม่มีผู้ลี้ภัย? ไม่มีอะไรน่าแปลกนะขอรับ พวกเราเพิ่งมาถึงเจียงโจวและเรายังอยู่ห่างจากฉู่โจวอย่างน้อยสิบวัน ทั้งยังเป็นเส้นทางน้ำ ถ้าไปในทางบกคงปาไปครึ่งเดือน ผู้ลี้ภัยคงไม่สามารถหลบหนีจากฉู่โจวมายังที่นี่ได้ทันหรอก”
สวี่ชีอันส่ายหัว เหลือบมองเขาและพึมพำ “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพวกเรามาสอบสวนคดีอะไร”
ฆ้องเงินทั้งสี่ตกใจและเข้าใจในทันทีว่าสวี่ชีอันหมายถึงอะไร
พฤติกรรมคล้ายกับการสังหารเลือดสามพันลี้มักจะเกิดขึ้นในสนามรบขนาดใหญ่ที่ยืดเยื้อและมีการหนุนกำลังทหารจำนวนมาก ถ้าเกิดสงครามขนาดนี้ขึ้นจะทำให้เหยื่อกระจัดกระจายไปทุกที่ แม้ว่าเจียงโจวจะอยู่ห่างไกลจากฉู่โจวแต่ก็อาจมีผู้ลี้ภัยที่โชคดีที่หลบหนีได้สำเร็จ
แต่นี่ไม่มีเลย…
คดีนี้ซับซ้อนกว่าที่ข้าคิดเสียอีก…หัวใจของสวี่ชีอันด่ำดิ่งลง ทั้งอารมณ์ก็ตกอยู่ในสภาพเงียบขรึมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทันทีที่เขาเหลือบมองเพื่อนพ้องรอบตัวและเห็นท่าทางกังวลของพวกเขา จึงส่งเสียง ‘อา’ ด้วยน้ำเสียงกร่างอย่างเหนือชัย พร้อมกับพูดช้าๆ
“ค่อยน่าสนใจขึ้นมาหน่อย คดีแบบนี้แหละที่ข้าอยากจะทำ หากง่ายเกินไปก็คงจะน่าเบื่อ”
ใต้เท้าสวี่มีประสบการณ์มากมาย ถึงแม้ว่าระยะการทำงานจะค่อนข้างสั้น แต่เขาก็เคยประสบมรสุมอันยิ่งใหญ่ที่ชั่วชีวิตก็ไม่มีใครสามารถสัมผัสได้มาแล้ว…เมื่อกองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนึกถึงคดีสำคัญที่สวี่อวิ๋นหลัวได้ประสบมา พวกเขาก็รู้สึกใจชื้นและมั่นคงมากขึ้น
ก่อนรับประทานอาหารกลางวันสวี่ชีอันได้กลับไปที่เรือทางการ พร้อมกับกล่องอาหารและหยกหวงโหยวเล็กน้อย
เขาวางหยกหวงโหยวไว้ในห้อง จากนั้นจึงถือกล่องอาหารพร้อมกับเดินขึ้นไปที่ชั้นสามมาจนถึงห้องมุมแล้วเคาะประตู
“ใคร?”
ภายในห้องหญิงคร่ำครึหงุดหงิดเล็กน้อยแต่เสียงที่เอ่ยออกมากลับเหนื่อยอ่อน
“ข้าเอง”
สวี่ชีอันหัวเราะ
ครั้นได้ยินเสียงของเขา ภายในห้องไร้การเคลื่อนไหวทั้งประตูก็ไม่ได้ถูกเปิดออก ราวกับจงใจที่จะเมินเฉย
“ฟู่เหวินเผย เจ้าเปิดประตูเดี๋ยวนี้นะ ข้ารู้ว่าตอนอยู่ที่บ้าน เจ้าเชี่ยวชาญในการยั่วยวนผู้ชายและเปิดประตูอ้ารับอยู่แล้ว”
สวี่ชีอันพูดจาอย่างน่ารังเกียจ
‘ปัง…’
ประตูเปิดออกพร้อมกับหญิงคร่ำครึในชุดหญิงรับใช้สีน้ำเงิน คิ้วของนางตั้งกิ่วพลางพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง