ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 43

“จนถึงขณะนี้ ปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่ก็รับช่วงต่อตำแหน่งหัวหน้าสำนักราชเลขาธิการ เขาไม่ได้ยึดมั่นในแนวคิดของเหล่าผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ อีกต่อไป ทุ่มเทให้กับคำสั่งของเหรินจงอย่างแน่วแน่ ต่อต้านการละเมิดกฎ เขาแก้ปัญหาให้เหรินจงได้ ในที่สุดความขัดแย้งในประเทศที่วุ่นวายก็สิ้นสุดลง เหรินจงเกลียดสำนักอวิ๋นลู่เพราะเรื่องนี้ เขาตระหนักได้ว่าการมีอยู่ของสำนักอวิ๋นลู่ไม่เอื้อต่อการปกครองของอำนาจจักรพรรดิ และในเวลานี้เฉิงฮุ่ยก็เสนอให้ก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง และฝึกฝนบุคคลที่มีความสามารถโดยราชสำนักเอง และความเสื่อมถอยของลัทธิขงจื๊อก็เริ่มขึ้นด้วยเช่นกัน”

นี่คือที่มาของความขัดแย้งเกี่ยวกับลัทธิขงจื๊อดั้งเดิมระหว่างสำนักอวิ๋นลู่กับราชวิทยาลัยหลวง

ราชวิทยาลัยหลวงเป็นราชวิทยาลัยแห่งชาติ ส่วนสำนักอวิ๋นลู่เป็นเอกชน เอกชนจะแซงหน้ารัฐได้อย่างไร…สวี่ชีอันกระจ่างแจ้งในทันที

หลังจากสวี่ซินเหนียนพูดจบ เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงเชิงทดสอบ “พี่ใหญ่คิดเห็นอย่างไร…อืม ข้าหมายถึงเรื่องความขัดแย้งในประเทศ ไม่เกี่ยวกับเรื่องวิชาการ”

คิดว่าหากเกี่ยวข้องกับเรื่องวิชาการ ชาวนาอย่างพี่ใหญ่จะตอบไม่ได้เหรอ? สวี่ชีอันประชดประชันในใจ และยิ้ม “ภายนอกคือความขัดแย้งในประเทศ แต่แท้จริงแล้วคือความขัดแย้งเรื่องอำนาจ ปัญญาชนอยากใช้ความทะเยอทะยาน จำเป็นต้องถือครองอำนาจไว้ในมือ และปริมาณอำนาจในประเทศก็ต้องคงที่ ยิ่งเจ้าถือครองอำนาจไว้ในมือมากเท่าใด คนอื่นก็จะสูญเสียอำนาจไป ระดับสูงสุดของการชิงดีชิงเด่นคือการทำให้จักรพรรดิเป็นเพียงหุ่นเชิด และกลายเป็นจักรพรรดิที่ไร้มงกุฎ”

เดิมทีสวี่ซินเหนียนทดสอบไปอย่างนั้น แต่เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปยกใหญ่

สวี่ชีอันหรี่ตามองเขา “ทำไม ข้าพูดผิดหรือ”

‘ถูกต้องมาก แต่คำพูดนี้ไม่อาจพูดส่งเดชได้…’ สวี่ซินเหนียนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เจ้าพูดต่อเถอะ”

สวี่ชีอันพยักหน้า “ไม่ว่า ‘กลยุทธ์ปราบมังกร’ ของลัทธิขงจื๊อจะทรงพลังเพียงใด สุดท้ายแล้วจักรพรรดิก็ยังมีอำนาจมากกว่า ไม่ว่าจะเรียนวรรณกรรมหรือศิลปะการต่อสู้ก็ต้องอุทิศตนให้กับจักรพรรดิ ประโยคนี้สื่อความหมายทุกอย่างแล้ว ตั้งแต่สมัยโบราณไม่ว่าจะเป็นคนโลภหรือมีคุณธรรม ตราบใดที่เป็นขุนนางทรงอำนาจ ก็ไม่มีจุดจบที่ดีหรอก”

การผูกขาดการเมืองและกิจการของราชสำนักก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น สุดท้ายแล้วก็จะถูกชำระบัญชี เพราะขุนนางก็คือขุนนางตลอดไป ตอนสวี่ชีอันอ่านประวัติศาสตร์ในชาติก่อน จักรพรรดิที่ไร้มงกุฎมีเยอะมาก และคนไหนมีจุดจบที่ดีบ้าง

ไม่นับเฉาอาหมาน[1] ยุคสงครามที่อำนาจจักรพรรดิล่มสลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

สวี่ซินเหนียนถามอย่างเร่งรีบ “มีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง”

สิ่งที่พี่ใหญ่พูดกับเขาไม่มีสอนในสำนักศึกษา

“ไร้ทางแก้!” สวี่ชีอันส่ายหน้า และถอนหายใจ “ท้องพระโรงก็เหมือนสนามรบ การชิงดีชิงเด่นสุขใจเพียงชั่วครู่ แต่ฌาปนกิจทั้งครอบครัว[2]”

สิ่งที่เขาพูดนั้นแปลก แต่ในดวงตาราวกับมีประวัติศาสตร์นับพันปีไหลวนอยู่ เมื่อเห็นดวงตาคู่นี้ สวี่ซินเหนียนก็ชะงักไป

“แต่พี่ใหญ่ยังมีอีกความคิดหนึ่ง” สวี่ชีอันเปลี่ยนเรื่อง

“เชิญพี่ใหญ่พูด”

“ความสำเร็จในอดีตของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉียนเป็นตัวอย่างที่มีชีวิต เมื่อเจ้าสามารถสร้างผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติได้ เจ้าก็จะเปลี่ยนจากปัญญาชนที่ต้องพึ่งพาอำนาจจักรพรรดิ เป็นผู้แข็งแกร่งที่สามารถอยู่บนฐานอำนาจทัดเทียมกับอำนาจของจักรพรรดิ”

ดวงตาของสวี่ซินเหนียนเปล่งประกาย ใบหน้าของเขาดูมีความสุข เมื่อฟังสวี่ชีอันพูดอย่างสบายๆ “เอ้อร์หลางเฉลียวฉลาดเกินผู้อื่น เป็นคนหนุ่มที่ควรค่าแก่การสั่งสอน”

“…” สวี่เอ้อร์หลางเพิ่งจะตอบสนอง ‘เห็นชัดๆ ว่าข้ากำลังทดสอบเขา…’

สวี่ชีอันไม่ได้พูดต่อ และไตร่ตรองคำถามหนึ่งในใจ แม้ว่าสำนักอวิ๋นลู่จะถูกตัดออกจากอนาคตการเป็นข้าราชการ แต่ก็ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถือครองระบบการฝึกของลัทธิขงจื๊อ

สิ่งที่ถูกตัดออกเป็นเพียงอาชีพเท่านั้น

แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะไม่ได้อธิบายว่าเป็นอาชีพราชการของสำนักเริ่มอ่อนแอลง หรือเป็นระบบลัทธิขงจื๊อทั้งระบบที่เริ่มอ่อนแอกันแน่ แต่สวี่ชีอันก็รู้สึกว่าเป็นอย่างหลัง

เพราะอยู่ด้วยกันข้างๆ น้ำตก สวี่เอ้อร์หลางจึงพูดว่า “สองร้อยปีที่ผ่านมา ลัทธิขงจื๊อขั้นสูงสุดมีเพียงสามระดับเท่านั้น”

เป็นเพราะหลังจากสามระดับ ระบบลัทธิขงจื๊อต้องยอมเข้าเป็นราชการเหรอ? หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ เช่นความมั่นคงของลัทธิขงจื๊อกันแน่?

“เช่นนั้นจารึกนี้หมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้” เขาถาม

สวี่ซินเหนียนจ้องไปที่ตัวอักษรจีนบนแผ่นจารึกด้วยนัยน์ตาซับซ้อนและถอนหายใจ “นี่คือภาคต่อของความขัดแย้งเรื่องลัทธิขงจื๊อดั้งเดิม หรือจะพูดว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อพิพาทนี้ด้วยก็ได้ รองปราชญ์เอกเฉินท่านนั้นช่างน่าทึ่ง หลังจากที่เขาก่อตั้งราชวิทยาลัยหลวง เขารู้ว่าหากเขาต้องการเหนือกว่าสำนักอวิ๋นลู่ เขาต้องมีระบบการศึกษาของตัวเอง ไม่เช่นนั้นนักเรียนของราชวิทยาลัยหลวง ก็ยังคงเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ ดังนั้นเขาจึงอุทิศตนเพื่อการศึกษาพระคัมภีร์ รวบรวมใหม่เข้ากับความคิดของตัวเอง ใช้เวลาถึงสิบสามปี ในที่สุดก็สร้างระบบการศึกษาที่ศิษย์เก่งยิ่งกว่าอาจารย์ขึ้นมาได้”

“รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์[3]หรือ” สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นมาในใจ

สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า จากการสนทนาเมื่อสักครู่นี้ เขาเริ่มยินดีจะอธิบายปัญหาทางวิชาการให้กับญาติผู้พี่ที่หยาบกระด้างของเขาฟัง จึงกล่าวว่า

“รองปราชญ์เอกเฉิงคิดว่า ทุกสิ่งในโลกล้วนปฏิบัติตามกฎ กฎนี้เรียกว่า ‘หลักการ’ หลักการคือสิ่งจำเป็นที่สุดในโลก และถูกต้องที่สุด ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับ ‘หลักการ’ ถึงจะเติบโตได้อย่างเฟื่องฟู แต่ด้วยความปั่นป่วนสรรพสิ่งในโลก ผู้คนจะสูญเสียความเป็นตัวตน และสูญเสียหลักการไป”

“ดังนั้นจึงต้องรักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์เช่นนั้นหรือ” สวี่ชีอันกล่าว

รักษาหลักการของสวรรค์ทำลายความปรารถนาของมนุษย์เป็นโครงร่างแนวความคิดของราชวิทยาลัยหลวง ส่วนทำงานอย่างไร สวี่ชีอันกำลังรอคำอธิบายของสวี่ซินเหนียน

สวี่ซินเหนียนพูดต่อ “รองปราชญ์เอกเฉิงตั้งกฎเกณฑ์สำหนักปราชญ์ขึ้นมา หากปัญญาชนปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เหล่านี้ พวกเขาก็จะไม่ทำผิด ทำสิ่งที่ถูกต้อง และสอดคล้องกับ ‘หลักการของสวรรค์’ กฎชุดนี้ยกระดับความจงรักภักดี ความกตัญญู วินัยและความชอบธรรมต่อหลักการของสวรรค์ให้สูงยิ่งขึ้น”

สวี่ซินเหนียนหัวเราะเยาะ “หากจักรพรรดิต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ต้องตาย หากพ่อต้องการให้ลูกตาย ลูกก็ต้องตาย ยึดมั่นในศีลธรรมและยอมตายเพื่อความยุติธรรม”

สวี่ชีอันฟังอย่างเงียบเชียบ และจู่ๆ ก็ถามว่า “เช่นนั้นฉือจิ้ว เจ้าคิดว่า นี่ถูกหรือผิด”

สวี่ซินเหนียนตกตะลึง เขาเหม่อมองญาติผู้พี่และอ้าปากจะพูด แต่มีพลังลึกลับติดอยู่ในลำคอของเขา ทำให้เขาพูดไม่ออก

สวี่ชีอันเข้าใจ พลังนี้เรียกว่า ‘การกักขังทางความคิด’

“ดังนั้น ถึงมีจารึกนี้หรือ” สวี่ชีอันหันไปมองจารึก

“อืม” สวี่เอ้อร์หลางพยักหน้า “ความขัดแย้งระหว่างสำนักอวิ๋นลู่กับราชวิทยาลัยหลวง เป็นความขัดแย้งด้านวิชาการและความคิด แต่จารึกนี้ตั้งตระหง่านอยู่ที่ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกมาสองร้อยปีแล้ว ที่ผ่านมามันไม่เคยล้ม หากมันไม่ล้มในสักวันหนึ่ง สำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่อาจเอาชนะราชวิทยาลัยหลวงได้ เจ้าสำนักนั่งนิ่งที่สำนักมาสิบกว่าปี เพื่อศึกษาพระคัมภีร์ เขาพยายามลบล้างสิ่งที่บันทึกไว้บนจารึก และพยายามสร้างแนวคิดที่เป็นผู้ใหญ่และถูกต้องมากยิ่งขึ้น แต่เขาก็ล้มเหลว ผู้อำนวยการนั่งนิ่งที่สำนักมาสิบกว่าปี เพื่อศึกษาพระคัมภีร์ เขาพยายามลบล้างสิ่งที่บันทึกไว้บนจารึก และพยายามสร้างแนวคิดที่เป็นผู้ใหญ่และถูกต้องมากขึ้น แต่เขาล้มเหลว”

“เพราะมันแสดงถึงความจริงและความถูกต้อง” สวี่ชีอันกล่าว

“ใช่” สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ “ไม่เพียงแค่เจ้าสำนักเท่านั้น อันที่จริงปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่กับอาจารย์หลายรุ่นในสำนักต่างตั้งตัวต่อต้านจารึกนี้ แต่ไม่มีใครทำได้สำเร็จ ความคิดของรองปราชญ์เอก คนธรรมดาจะหักล้างได้อย่างไร เจ้าสำนักยืนอยู่ตรงนั้น แต่เป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้วที่เขาไม่เคยจรดพู่กันหมึกลงบนนั้นเลย” สวี่ซินเหนียนชี้ไปที่โต๊ะข้างๆ แผ่นหินที่ว่างเปล่า และพูดว่า

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง