บทที่ 446 เพื่อนรู้ใจ
คำพูดของเว่ยเยวียนทำให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
หลินอัน ฮว๋ายชิ่ง ขุนนางบู๊ที่อยู่บนกำแพง ขบวนทหารออกรบ และชาวบ้านตามท้องถนนที่อยู่ด้านล่างกำแพง
สวี่ชีอันหยุดตีกลอง และเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังและกล่าวโดยไม่หันกลับมามองว่า “เว่ยกง ‘ในใต้หล้าไม่มีผู้ใดไม่รู้จักท่าน’ ไม่มีอะไรเทียบได้กับบทกวีอำลา”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เขาก็กล่าวเสียงดังว่า “สู้ให้ข้าน้อยแต่งกวีสักบทเถอะ”
ทั้งสองพูดคุยกันเสียงดังต่อหน้าคนนับพัน
เว่ยเยวียนครุ่นคิดเล็กน้อย โดยคงรอยยิ้มไว้อย่างปกติ “ได้!”
กลุ่มสายตาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันอีกครั้งอย่างทันทีทันใด ปัญญาชนที่อยู่ด้านล่างและขุนนางบุ๋นที่อยู่บนกำแพงต่างก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ จะไม่มีบทกวีมาเพิ่มความสนุกสนานได้อย่างไร มีผู้เชี่ยวชาญด้านกวีแห่งต้าฟ่งอยู่ที่นี่ บรรดาผู้รู้หนังสือก็อยากจะได้กวีชิ้นเอกอีกสักบทหนึ่ง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เหล่าปัญญาชนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และตั้งหน้าตั้งตารอบทกวีของสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันไม่ได้หยุดตีกลอง แต่กลับตีแรงขึ้นเรื่อยๆ เสียงกลองดังตุงตุงก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
อันที่จริงเขามีบทกวีในใจที่อยากมอบให้เว่ยเยวียนอยู่แล้ว
หลังจากกลับมาจากฉู่โจว เขาเคยระบายความในใจกับเว่ยเยวียนครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้แผนการของเว่ยเยวียนสำหรับอ๋องสยบแดนเหนือ และรู้ว่าเขามีความตั้งใจที่จะฟื้นฟูอำนาจทางทหารอีกครั้ง
และเป็นครั้งนั้นเอง ที่สวี่ชีอันเพิ่งตระหนักได้ว่า ขุนนางที่ต่อต้านคนในท้องพระโรงมากมายท่านนี้ ที่จริงแล้ว เขาอยากครอบครองอำนาจทางการทหารอีกครั้งมาโดยตลอด เขาแสดงความปรารถนามุ่งมาดอย่างแรงกล้า แต่กลับร้องขอเท่าใดก็ไม่ได้มา
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามที่ด่านซานไห่ตอนนั้น เว่ยเยวียนก็ถูกลิดรอนอำนาจทางทหาร ถูกกดขี่อยู่ในราชสำนักมากว่ายี่สิบปี
เว่ยกง ยี่สิบปีแล้ว ท่านเคยฝันย้อนกลับไปที่สนามรบ และชี้นำประเทศหรือไม่?
เขาหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับตีกลองเสียงดัง และกล่าวตะโกนว่า “ยามเมามายส่องกระบี่ใต้แสงเทียน ย้อนฝันถึงเสียงแตรก้องระงมค่าย แบ่งปันเนื้อรสเลิศย่างบนไฟ นอกด่านไกล แว่วกู่เซ่อเสนาะหู เดือนสารทผ่าน เรียกพลสู่สนาม”
เว่ยเยวียนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ มองชายหนุ่มที่อยู่บนกำแพงเมืองด้วยความประหลาดใจ
เป็นบทกวีที่ดี!
เหล่าขุนนางบุ๋นดวงตาเป็นประกาย คำพูดนี้หมายความว่า ยามเมามายและส่องกระบี่ใต้แสงเทียน ราวกับได้กลับไปในช่วงเวลาที่เป็นทหารอีกครั้ง
ผสมผสานกับสถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาก็รู้สึกราวกับได้กลับไปเมื่อยี่สิบปีก่อน ทหารที่ถูกเรียกพลสู่สนามรบในปลายฤดูใบไม้ร่วง ชายชุดดำท่านนั้นนำทัพลงสู่สนามรบ
นี่คือคำที่เขียนถึงเว่ยเยวียน
‘ตุงตุงตุง ตุงตุงตุง!’
สวี่ชีอันตีกลองอย่างกระฉับกระเฉง และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ควบอาชาไวว่องดุจเต็กเลา เกาทัณฑ์แผดร้องลั่นดุจสายฟ้า สิ้นสงคราม อุทิศตนฟื้นฟูแผ่นดินเกิด ตราบชีพวาย ให้ชัยนี้ลือขจร!”
ท่านทำงานอย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อราชสำนัก ท่านปกป้องประเทศเพื่อราชวงศ์ แล้วท่านได้อะไรเป็นการตอบแทน?
ราชสำนักปกปิดคุณงามความดีของท่าน และโอ้อวดคุณูปการของอ๋องสยบแดนเหนือ ค่อยๆ โยกย้ายรัศมีของท่านทีละเล็กละน้อยไปยังสัตว์เดรัจฉานตัวนั้น ที่ก่อคดีสังหารหมู่เพื่อประโยชน์ของตนเอง
ขุนนางบุ๋นและเหล่าปัญญาชนโจมตีท่านทั้งด้วยวาจาและปากกา ตีตราว่าท่านเป็นผู้นำพรรคขันที ราวกับลืมไปแล้วว่าใครรบชนะในสงครามด่านซานไห่ และใครคือผู้กอบกู้ความสงบสุขของต้าฟ่งตลอดยี่สิบปี
ท่านได้อะไรเป็นการตอบแทน?
เขาหยุดลง พร้อมกับเสียงกลองที่หายไปอย่างกะทันหัน
เสียงของสวี่ชีอันดังก้อง แต่น้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอยู่ลึกๆ กล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน”
บรรยากาศบนกำแพงเมืองหยุดนิ่งทันที หวางเจินเหวินและเหล่าขุนนางบุ๋นต่างก็มองสวี่ชีอันด้วยความตกตะลึง พลางคิดทบทวนประโยคสุดท้ายของเขา
ความโศกเศร้าที่ไม่สามารถบรรยายได้ปะทุขึ้นในจิตใจ
สิ่งที่สามารถโน้มน้าวและทำให้ปัญญาชนสะเทือนใจได้มากที่สุด ยังคงเป็นบทกวีมาโดยตลอด
ความจริงแล้ว เหล่าขุนนางบุ๋นที่อยู่ที่นี่ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่าเว่ยเยวียนเป็นคนเช่นไร ถึงแม้จะสู้กันหน้าดำหน้าแดง แต่ในใจก็เห็นด้วยกับด้านคุณธรรมของเว่ยเยวียน
เพียงแต่ทัศนคติไม่เหมือนกันเท่านั้น
แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน…
ชั่วเวลานี้ แม้แต่บรรดาขุนนางบุ๋นที่ต่อสู้กับเว่ยเยวียนมาครึ่งชีวิตก็ยังอดที่จะซาบซึ้งไม่ได้
ยายตัวร้ายกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเล็กน้อย ในตอนแรกก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก จนกระทั่งเขาพูดถึงประโยคสุดท้าย ความรู้สึกโศกเศร้าก็พลุ่งพล่านในจิตใจของนางอย่างกะทันหัน
ฮว๋ายชิ่งมองเขาตาไม่กะพริบ ชั้นละอองน้ำบางๆ ปกคลุมอยู่นัยน์ตาของนาง
“ให้ตายสิ บทกวีเศร้าอาดูรอะไรเช่นนี้ ข้าได้ยินแล้วจะหลั่งน้ำตา” เจียงลวี่จงถูใบหน้าและกล่าวพึมพำ
เวลานี้ บรรดาผู้อาวุโสที่เคยเข้าร่วมรบแนวหน้าในสงครามด่านซานไห่ต่างก็น้ำตารื้นที่ขอบตา
“ฮ่าๆๆๆ…”
เว่ยเยวียนกลับหัวเราะขึ้นมา หัวเราะด้วยความเบิกบานอย่างเต็มที่ กระทั่งน้ำหูน้ำตาไหล
‘สวี่ชีอัน เจ้ารู้หรือไม่ ว่าทำไมข้าถึงไม่ยอมรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรม?‘
‘เพราะสำหรับข้า เจ้าคือเพื่อนรู้ใจ!’
…
ภูเขาชิงหยุน สำนักอวิ๋นลู่
จ้าวโส่วยืนอยู่บนยอดเขา ชายเสื้อคลุมนักปราชญ์และเส้นผมปลิวไปตามสายลม สายตาของเขาทอดยาวออกไปไกล มองกองทัพทหารรบแนวหน้า
“สำนักการศึกษาเติบโตเพราะต้าฟ่ง แต่ลัทธิขงจื๊อกลับอ่อนแอเพราะต้าฟ่ง”
ดวงตาและน้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง ในแววตาไม่แสดงความสุขหรือโศกเศร้าแต่อย่างใด
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ท่ามกลางเสียงกลองอันทรงพลังและสง่าผ่าเผย “เว่ยเยวียน ขอให้กรีธาทัพกลับด้วยชัยชนะ”
ทันทีที่สิ้นเสียง พลังการลั่นประกาศิตของลัทธิขงจื๊อก็หายไปในอากาศธาตุ เหลือเพียงความว่างเปล่า
ในวินาทีถัดมา ผลการสะท้อนกลับของวรยุทธ์ก็มาถึง ควันที่ลอยอย่างท่วมท้นอยู่รอบๆ ร่างของจ้าวโส่วก็ทรุดลงดังโครม ที่หว่างคิ้วของเขาแยกออกเป็นร่อง และขยายตัวอย่างรวดเร็วราวกับเปลือกไข่ที่แตก
ลำแสงสว่างจ้าในพระวิหารส่องตรงไปที่ร่างของจ้าวโส่ว จากนั้นร่างที่แตกร้าวก็ค่อยๆ หายเป็นปกติ
“คำพูดที่ยิ่งใหญ่ไม่สามารถพูดได้โดยง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับคนที่อยู่ในขั้นที่เหนือกว่า เว่ยเยวียนเอ๋ยเว่ยเยวียน ข้าช่วยเจ้าได้เพียงเท่านี้ เมื่อสองพันปีก่อนหน้านี้มีปราชญ์ขงจื๊อ ตอนนี้ เผ่ามนุษย์มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่สามารถแบกรับภาระอันหนักอึ้งนี้ได้”
จ้าวโส่วกล่าวแล้วก็โค้งคำนับไปทางพระวิหาร “ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของรองปราชญ์เอก”
ตั้งแต่ศิลาจารึกของรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อแตกออก พลังของพระวิหารก็ฟื้นคืนสู่สภาพเดิม
…
ในค่ายทหารตั้งกองทัพไว้ทั้งหมดเจ็ดหมื่นนาย นอกจากทหารรักษาวังหนึ่งหมื่นนายแล้ว ทหารอีกหกหมื่นนายคือทหารในเขตเมืองหลวง และกำลังทหารที่ดึงมาจากรัฐอื่นๆ
กองกำลังที่เหลืออยู่ในสามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ เซียงโจว อวี้โจว และจิงโจว
กองทัพทหารเจ็ดหมื่นนายในเมืองหลวง ต้องแบ่งออกเป็นสี่เส้นทางบนบก มุ่งหน้าไปยังสามรัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือ และสองหมื่นนายในนั้นไปทางน้ำ มุ่งหน้าไปยังฉู่โจวที่อยู่แดนเหนือ
สวี่เอ้อร์หลางก็เป็นหนึ่งในทหารสองหมื่นนาย
เรื่องการเดินทัพ ความจริงแล้วยิ่งมีคนจำนวนมากเท่าใด ก็ยิ่งวุ่นวายมากเท่านั้น ดังนั้น เมื่อมีการเดินทัพขนาดใหญ่ โดยปกติแล้วต้องทำการแบ่งกองทหาร หลังจากนั้นค่อยรวมพลกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง
กองทัพไร้พรมแดน มองไม่เห็นหัวแถว มองไม่เห็นหางแถว
ขบวนกองทัพทหารออกเดินทางไปตามถนนเส้นหลัก เว่ยเยวียนหันกลับไปมองเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย และนึกถึงบทกวีของเจ้าเด็กหนุ่มอย่างไร้เหตุผล
‘สิ้นสงคราม อุทิศตนฟื้นฟูแผ่นดินเกิด ตราบชีพวาย ให้ชัยนี้ลือขจร แต่อาดูร เกศากลับขาวโพลน…’ เว่ยเยวียนยิ้มและกล่าวกระซิบกับตัวเอง
“ไม่จำเป็นต้องร้องหาความยุติธรรมให้ข้าเลย ซื่อสัตย์ ภักดี เสียสละเพื่อประเทศชาติ ความซื่อสัตย์ของข้าคือพระเจ้าแผ่นดิน ความซื่อสัตย์ของข้าคือราษฎร เจ้าน่าจะเข้าใจข้า”
กองทัพทหารเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ กองทัพเจ็ดหมื่นนายเงียบสงัดไร้เสียง มีเพียงเสียงล้อรถม้าหมุนไปตามทาง เสียงร้องของม้าศึก และเสียงกระทบกันของชุดเกราะ
ในบรรยากาศที่เสียงเหล่านั้นผสมผสานกัน จู่ๆ บรรดาทหารก็ได้ยินเสียงเพลงดังมาจากฟากฟ้า
“ควันไฟลอย ส่งสัญญาณเริ่มสงคราม มองแม่น้ำและภูเขาทางทิศเหนือ สายน้ำมังกรพลิกม้วนสุดสายตา อาชานำพาไกลพันลี้ กระบี่เย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง…หัวใจเสมือนแม่น้ำหวงเหอที่ไหลเวียนไม่เคยแห้งเหือด ต่อสู้มานับยี่สิบปี ใครจะต้านทานได้…”
บางคนหันศีรษะไปทั่วทุกสารทิศด้วยจิตใจเลื่อนลอย บางคนดื่มด่ำอยู่ในเสียงเพลง
“ทิศทางที่กระบี่ยาวชี้ไป ความเกลียดชังกลายเป็นความบ้าคลั่ง กระดูกของพี่น้องผู้มีจิตวิญญาณแห่งความภักดีนับพันถูกฝังอยู่ในต่างแดน…หากต้องตายร้อยครั้งเพื่อตอบแทนครอบครัวและประเทศชาติก็ไม่เสียใจ กลั้นหายใจ ไร้ซึ่งคำพูด มีเพียงเลือดและน้ำตาที่นองหน้า…”
“กีบอาชามุ่งตรงไปทางทิศใต้ มองย้อนกลับไปทางทิศเหนือ ทุ่งหญ้าแห้งตายเหลืองอร่าม ฝุ่นฟุ้งกระจาย ข้าจะปกป้องชายแดนและทวงคืนดินแดนที่สาบสูญ ประเทศที่สง่างามนี้จะได้รับความยินดีจากทั่วทุกมุม”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง