ณ หอดูดาว แท่นแปดทิศ
ท่านโหราจารย์ในชุดขาว มีผมขาว หนวดขาว กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะ ในมือถือจอกสุรา มองไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองหลวงอย่างเงียบๆ
ทางด้านซ้ายมีโต๊ะอยู่ตัวหนึ่ง บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส ฉู่ไฉ่เวยผู้มีใบหน้ารูปไข่ตาโต องคาพยพบนใบหน้างดงามประณีต แลดูอ่อนหวานลึกลับกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น
นางกินไปพลางพูดเจื้อยแจ้วไปพลาง “ท่านอาจารย์ เมื่อใดข้าจะได้ก้าวสู่ขั้นหกแล้วเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุล่ะเจ้าคะ”
ท่านโหราจารย์ตอบพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าไม่สนใจเรื่องกินและยอมฝึกฝนอย่างสงบจิตสงบใจได้เมื่อใด ก็ถึงเวลานั้นเอง”
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างลำบากใจ “เช่นนั้นชาตินี้คงเป็นไปไม่ได้แล้วเจ้าค่ะ”
นางกลืนอาหารลงไปแล้วพูดจ้อต่อ “จริงสิเจ้าคะ เงินปลอมนั่นถูกเผาได้ง่ายดายยิ่ง ทั้งพอโยนลงน้ำก็ระเบิด ไม่อาจเก็บรักษาเอาไว้ได้เลย เช่นนี้ก็รายงานต่อองค์จักรพรรดิได้ไม่ง่ายเลยหนาเจ้าคะ”
ท่านโหราจารย์เอ่ยเสียงเบา “จักรพรรดิเฒ่ากินอิ่มจนว่างงาน ให้เขากลิ้งกลับเข้าท้องแม่ไปก็ใช้ได้แล้ว”
ฉู่ไฉ่เวยแลบลิ้นน้อยๆ ออกมา “ศิษย์ไม่กล้าพูดคำนี้หรอกเจ้าค่ะ ท่านไปรายงานเองเถิด”
ท่านโหราจารย์ยิ้มอย่างใจดี
“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่สี่ใกล้จะเป็นบ้าแล้ว ท่านไม่สนใจหน่อยหรือเจ้าคะ ไม่มีเรื่องอะไรก็เที่ยววิ่งออกไปนอกเมือง ป่าวประกาศว่าประตูแห่งความลับของการเล่นแร่แปรธาตุได้เปิดให้เขาแล้ว”
“…”
“อาจารย์ ข้าว่ามือปราบผู้น้อยสวี่ชีอันคนนี้ไม่เลวเลย พวกเราไม่อาจรับเขาไว้ในสำนักโหราจารย์ได้เลยหรือ อ้อ ท่านไม่รู้ว่าเขาคือใครสิหนา เขาก็คือคนที่ไขคดีเงินภาษี…”
“…”
“ท่านอาจารย์ การปลูกถ่ายคือสิ่งใดหรือ”
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ “ไฉ่เวย”
“ท่านอาจารย์กล่าวมาเถิด”
“ของกินก็หยุดปากเจ้าไม่ได้หรือ”
“อ้อ”
ไม่กี่วินาทีต่อมา…
“ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านมองไปทางนั้นอยู่เรื่อยเลยเจ้าคะ”
“ไฉ่เวย อาจารย์รู้สึกเสียใจอยู่สักหน่อยน่ะ”
“ท่านอาจารย์กล่าวมาเถิด”
“เหตุใดอาจารย์ถึงไม่รู้วิชาปิดเสียงของลัทธิขงจื๊อนะ”
“ฮิๆ…” สีหน้าของฉู่ไฉ่เวยเพิ่งจะฉายแววได้ใจ จู่ๆ ก็พบว่าอาหารบนโต๊ะเน่าเสียในพริบตาและแผ่กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ออกมา
นางเบะปากทำท่าจะร้องไห้ ปวดใจจนหายใจไม่ออก “ท่านอาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ท่านรีบเปลี่ยนให้มันเป็นเหมือนเดิมเร็วๆ เถิด”
ท่านโหราจารย์ยังคงทอดมองไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วเอ่ยพร้อมหัวเราะ “อาจารย์กำลังสอนบทเรียนให้เจ้าอย่างหนึ่งนะ ในขอบเขตของวิชาเล่นแร่แปรธาตุ ของที่เปลี่ยนแปลงแล้วส่วนใหญ่ไม่อาจทำให้คืนสู่สภาพเดิมได้”
ฉู่ไฉ่เวยปาดน้ำตา แล้วร้องไห้กระซิกวิ่งจากไป “ข้าจะไม่มาหาคนแก่นิสัยเสียผู้นี้อีกแล้ว”
…
ที่ศาลาข้างป่าไผ่ เจ้าสำนักจ้าวโส่วเอ่ยเสียงเบา “ห้ามมิให้เข้าใกล้ที่แห่งนี้ในระยะสามสิบจั้ง (1 จั้ง ประมาณ 2.5 เมตร)”
ขณะที่เอ่ย เขาก็โบกแขนเสื้อ ปราณใสขยายออกมาแล้วครอบคลุมศาลาเป็นรัศมีสามสิบจั้ง
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จ เขาก็หันกายไปมองปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่สามท่านที่ถูกเรียกมาประชุม
หลี่มู่ไป๋มือถือถ้วยชา สีหน้าเคร่งขรึม “ข้าสอบถามแล้ว เวลานั้นไม่มีนักเรียนคนใดเข้าใกล้ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก และไม่มีทางรู้ว่าใครเข้ามา”
“ลายมือบนแผ่นศิลาไม่ใช่ของนักเรียนคนใดในสำนักแน่ ผู้ที่สามารถเขียนตัวอักษรน่าเกลียดเช่นนี้ออกมาได้ ข้าไม่คิดว่าจะเป็นคนที่สำนักของพวกเราสั่งสอนหรอกนะ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ หลี่มู่ไป๋ก็รู้สึกผิดนิดหน่อย ถ้าหากไม่ใช่นักเรียนของสำนัก เช่นนั้นผู้ที่อยู่ในสำนักวันนั้น นอกจากศิษย์ราคาถูกคนนั้นแล้วยังจะมีใครอีก
‘ตุบ ตุบ…’
ตอนนี้เอง จางเซิ่นก็เคาะโต๊ะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เก็บความเยาะเย้ยดูถูกทั้งหมดลงไป แล้วเอ่ยคัดค้านเพื่อนรักของตนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ลายมือสามารถปลอมแปลงได้ ลายมือน่าเกลียดก็ยิ่งทำได้เช่นกัน”
เฉินไท่เอ่ยถามทันใด “แล้วสาเหตุที่ปลอมลายมือคืออะไรเล่า จารึกตั้งอยู่ตรงนั้นมาหลายสิบปีแล้ว ศิษย์อาจารย์ในสำนักต่างก็เคยลองกันแล้ว ทุกผู้ล้วนแต่ยินดีจะเป็นวีรบุรุษ ไม่มีเหตุผลให้ต้องปลอมลายมือเลย อีกอย่าง ตอนนั้นพี่น้องสวี่ฉือจิ้วและสวี่หนิงเยี่ยนก็มาเยี่ยมชมภูเขาพอดี”
เมื่อปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามจบการสนทนา ก็ไม่ได้พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน
หลี่มู่ไป๋ดื่มน้ำชาในถ้วยแล้วทอดถอนใจออกมา “ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร…”
“ละอายใจนัก หลายปีมานี้ข้าละทิ้งความคิดที่จะเป็นขุนนางไปแล้ว ในใจเพียงคิดอยากมีชื่อเสียงเลื่องลือไปร้อยปี ทิ้งชื่อของตนจารึกไว้ในประวัติศาสตร์”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง