บทที่ 470 เด็ดหัวผู้นำจากกองทัพนับหมื่น เร็ว! (1)
เสียงคำรามดังก้องฟ้าจนทำให้ทหารคุ้มกันบนกำแพงเมืองพากันตื่นตะลึง
เหล่าทหารและทหารอาสาผู้ถือไม้ซุงและหน้าไม้อยู่บนกำแพงเมืองพากันโยนอาวุธในมือทิ้งไป แล้วพุ่งไฟหาเชิงเทินโดยไม่สนสิ่งใด
‘ฆ้องเงินสวี่จะทะลวงทัพข้าศึก?’
ทหารศัตรูกว่าเจ็ดหมื่นนายยกพลมาอย่างน่าเกรงขาม ต่อให้สังหารสามวันสามคืนก็ยังไม่หมด ถึงแม้ว่าเหล่าทหารจะมองว่าฆ้องเงินสวี่เป็นดั่งเทพเจ้าก็ตาม
แต่พวกเขาแตกต่างจากคนทั่วไปในท้องตลาด พวกเขามีประสบการณ์ในสนามรบมานานและรู้ขีดจำกัดของมนุษย์ดี คนธรรมดาจะไปขวางกั้นคนกว่าเจ็ดหมื่นด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
ต่อให้ยืนนิ่งๆ แล้วยอมให้ฆ่าก็ยังทำให้มืออ่อนล้าไร้กำลัง แล้วนับประสาอะไรกับศัตรูที่เป็นกองทหารชั้นยอดเล่า
“อย่ายื่นหัวออกไป พวกเจ้าอยากตายหรือ!”
เมื่อแม่ทัพผู้หนึ่งเห็นเช่นนี้ก็คำรามลั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว เขาตะโกนออกมาว่า “ป้องกันเมือง! นี่คือภารกิจของพวกเจ้า ยิงปืนใหญ่ซะ ไสหัวมายิงปืนใหญ่เดี๋ยวนี้ อย่ามัวนิ่ง ฆ้องเงินสวี่ทะลวงทัพศัตรูก็เพื่อลดแรงกดดันให้กับพวกเจ้า ต่อให้พวกเจ้าตายก็ต้องป้องกันเมืองให้ได้”
“ขอรับ!”
เสียงตอบรับดังกระหึ่มสะเทือนพสุธามหาสมุทร
เหล่าทหารล้วนแต่กัดฟันขอบตาแดงก่ำ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ไอรีนโนเวล ขอบคุนจ้า
ได้ติดตามฆ้องเงินสวี่มาปกป้องดินแดน ถึงตายก็ไม่เสียใจ
สมัยโบราณมีโอรสสวรรค์คุ้มกันด่านเข้าอาณาจักร ตอนนี้มีสวี่ชีอันทะลวงทัพข้าศึกอยู่คนเดียว ล้วนแต่เป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่สมควรบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
ขวัญกำลังทหารผนึกแน่นในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน
…
‘ตู้ม!’
ร่างสีทองสว่างเปล่งปลั่งโผล่พรวดขึ้นมาแล้วกระแทกกับพื้นด้านล่างกำแพงเมืองด้วยท่าทางหยาบกระด้างไม่สนใจใคร พื้นดินสั่นสะเทือน คลื่นกระแทกจากการระเบิดทำให้กองทัพศัตรูภายในรัศมีสิบเมตรล้วนกลายเป็นชิ้นเนื้อ
ทั้งชุดเกราะที่แตกเสียหายและมีดดาบที่หักโค่น พวกมันล้วนแต่ถูกกระแทกจนลอยคว้างกลางอากาศ
มือซ้ายของสวี่ชีอันกดพวกมันเอาไว้ พลังปราณเข้าครอบงำเศษเกราะและมีดดาบพวกนั้น เมื่อเหลือบมองไปที่ทหารข้าศึกที่กวัดแกว่งดาบอยู่ข้างหน้า เขาก็โบกสะบัดแขนเสื้อเต็มแรง
ชุดเกราะ มีดเหล็ก หอกยาว และชิ้นส่วนอื่นๆ ถูกยิงออกไปทั่วทุกทิศทาง
ทหารที่พุ่งจู่โจมเข้ามาด้านหน้าบ้างก็หัวระเบิดทันใด บ้างก็ถูกตัดแขนขาจนเรียบ บ้างก็เกิดรูใหญ่ขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาบนทรวงอก…สาเหตุการตายล้วนแตกต่าง
แต่เพียงเท่านี้ไม่อาจทำให้ทหารข้าศึกหวาดกลัวได้ พวกเขายังคงบุกฆ่าฟันเข้ามาโดยไม่สนแม้แต่ตัวเอง
สวี่ชีอันเริ่มกวัดแกว่งประกายดาบของตนเข้าฟาดฟันทหารข้าศึกที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทางราวกับหั่นแตงหั่นผัก จนกระทั่งไม่มีใครสามารถเข้ามาใกล้ตัวได้เลย
ไม่นานเขาก็เปลี่ยนวิธีการ เขาเก็บงำพลังปราณเอาไว้ ก่อนจะนำร่างพลังเทพวชิระมาใช้ผสานกับทักษะของจอมยุทธ์และคมดาบของดาบไท่ผิง จากนั้นจึงเข้าตะลุมบอนกับศัตรู
เมื่อติดอยู่ในวงล้อมศัตรูและมองไปทางใดล้วนมีแต่ศัตรูเช่นนี้ หากสามารถประหยัดพลังปราณได้สักนิดก็ยิ่งดี ถึงอย่างไรขั้นสี่ก็ยังเป็นมนุษย์ และมนุษย์ก็มีขีดจำกัด
เมื่อเข้าทะลวงทัพศัตรูด้วยการอาศัยกำลังคนเพียงคนเดียวเพื่อสังหารทหารข้าศึกหลายหมื่นคน สิ่งแรกที่จำเป็นต้องใส่ใจไม่ใช่ความแข็งแกร่งของศัตรู แต่เป็นกำลังกาย
เว่ยเยวียนเคยบ่นให้เขาฟังว่าในยุทธการด่านซานไห่เมื่อปีนั้น ความจริงแล้วจอมยุทธ์ขั้นสูงส่วนใหญ่ล้วนแต่ตกตายเพราะหมดกำลัง
เมื่อวิธีการต่อสู้เปลี่ยนไป ในชั่วอึดใจก็พลันมีคมดาบเหล็กกล้านับพันเล่มฟาดฟันเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง สัญญาณเตือนอันตรายของจอมยุทธ์ทำให้สวี่ชีอันมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของทหารข้าศึกทุกนาย แต่เขากลับไม่อาจหลบหลีกได้เลย
นี่คือสนามรบที่แท้จริง เป็นสนามรบที่มีดดาบโกลาหลจนพอจะฆ่ายอดฝีมือได้
‘ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ…’ สวี่ชีอันทั้งจ้วงทั้งแทง ทั้งฟาดทั้งฟัน เด็ดเอาชีวิตของทหารศัตรูไปด้วยคนแล้วคนเล่า
‘เคร้ง!’
ทหารข้าศึกคนหนึ่งกระโดดผลุงขึ้นมา ดาบเหล็กกล้าฟันตรงมาเน้นๆ ยังศีรษะของสวี่ชีอันจนดาบเหล็กที่ตีขึ้นอย่างประณีตคดงอทันที สวี่ชีอันจึงกวัดแกว่งดาบไท่ผิงกลับแล้วฟันที่เอวของทหารข้าศึกคนนั้นได้
เขาไม่ได้หันหลังกลับ แต่พุ่งเข้าไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยอาศัยร่างกายของจอมยุทธ์เป็นตัวรับหอกดาบที่แทงเข้ามา
ตายไปสองสามร้อยคน พวกทหารข้าศึกก็ยังไม่กลัวตาย ข้างหน้าล้มข้างหลังพุ่งเข้าใส่
ตายไปอีกห้าหกร้อยคน ทหารข้าศึกล้วนตาแดงก่ำ มันกลับเป็นการกระตุ้นความดุร้ายยิ่งกว่าเดิม
ตายไปเจ็ดแปดร้อยคน ก็เริ่มมีคนเริ่มรบแบบกองโจรโดยการปลดหน้าไม้ที่เอวแล้วยิงออกไป แทนที่จะเป็นการจับมีดดาบฟาดฟันแล้ว
“หลีกไป!”
หัวหน้าหน่วยปืนใหญ่พลันฉุนเฉียวขึ้นมาทันใด เขาใช้มือหนึ่งผลักทหารปืนใหญ่ออก จากนั้นก็ใช้เท้าเตะกระบอกปืน จนทำให้ปืนใหญ่หนักหลายร้อนจินหันหัวไปอีกทาง
หัวหน้าหน่วยผู้นี้ใส่กระสุนปืนด้วยตัวเอง จากนั้นจึงจัดทิศทางแล้วจุดชนวน
ปืนใหญ่มีลายอักขระบิดเบี้ยวส่องสว่างวาบตั้งแต่ตัวปืนไปจนถึงปากกระบอกปืน จากนั้นก็เกิดเสียง ‘ตู้ม’ ปืนใหญ่ทั้งลำถอยมาข้างหลังตามแรงยิง
กระสุนปืนถูกยิงออกไป ฉีกทึ้งร่างกายของทหารมากมาย
สวี่ชีอันรับรู้ถึงอันตรายนี้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้หลบ มือของเขากวัดแกว่งดาบไท่ผิงไปยังกระสุนปืนใหญ่
เสียงระเบิดดังสะเทือนแก้วหูจนทำให้ทหารที่ล้อมรอบสวี่ชีอันถูกคลื่นพลังอันน่าสะพรึงนี้ฉีกทึ้งร่างกายเป็นเสี่ยงๆ
ท่ามกลางฝุ่นตลบ ฆ้องเงินแห่งต้าฟ่งในชุดสีครามที่อาบย้อมไปด้วยเลือดยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน นอกจากรอยไหม้ที่ชายเสื้อผ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้รับบาดเจ็บที่ใดอีก
เขากุมดาบเดินไปข้างหน้า ทหารข้าศึกข้างหน้าเผยสีหน้าหวาดผวาออกมา กลัวเสียจนไม่กล้าพุ่งเข้าใส่
พวกเขาพากันหลบเพื่อเปิดทางให้ ไม่กล้าเข้าไปขวางหน้าเขา
สวี่ชีอันสะบัดรอยเลือดบนคมดาบออกแล้วหัวเราะเยาะ “พวกขี้ขลาดจากคังกั๋วเหยียนกั๋ว พวกเจ้าไม่มีสักคนที่เป็นลูกผู้ชายเลยหรือ”
บนกำแพงเมือง แม่ทัพจากต้าฟ่งเลือดลมพลุ่งพล่าน พวกเขาต่างก็ตะโกนดังลั่น คำรามเสียจนใบหน้าแดงก่ำไปถึงใบหู เส้นเลือดเขียวต่างปูดโปนขึ้นมา
ทันใดนั้นจิตวิญญาณแห่งทหารก็พุ่งพรวด พวกเขาพากันโยนซุงไม้เต็มแรง พร้อมทั้งยิงหน้าไม้ป้องกันเมือง ธนู และปืนใหญ่กันให้ควั่ก เมื่อเทียบกับเมื่อวาน วันนี้พวกเขามีสวี่ชีอันมาบุกทะลวงทัพข้าศึกด้วยตัวคนเดียว ทำให้แรงกดดันของเหล่าทหารลดลงไปได้มากทีเดียว จนถึงตอนนี้ จำนวนบาดเจ็บล้มตายนั้นถือว่าน้อยยิ่งนัก
ณ ที่ไกลๆ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียที่นั่งมองการต่อสู้อยู่บนหลังม้าก็ขมวดคิ้วแน่น ใต้กำแพงเมืองมีร่างกายที่ไร้เทียมทานพุ่งทะลวงทัพศัตรูอยู่คนเดียว บนกำแพงเมืองก็มีทั้งปืนใหญ่และหน้าไม้ป้องกันเมืองคอยช่วยเหลือ ในเวลายังไม่ถึงหนึ่งเค่อ ฝ่ายของตนกลับมีผู้บาดเจ็บล้มตายมากเกินกว่าที่เขาคาดไว้เสียแล้ว
‘การบุกเมืองเดิมก็เป็นเรื่องลำบากประเภทใช้สิบชีวิตเพื่อแลกหนึ่งชีวิตอยู่แล้ว ยิ่งมีเจ้าเด็กนี่ออกมาไล่สังหารอีก ต่อให้บาดเจ็บล้มตายหนักหนาสาหัสอย่างไรก็ช่างเถอะ แต่นี่พวกทหารดันถูกฆ่าตายจนจิตใจถูกโจมตีอย่างหนักไปเสียแล้ว’
‘ไม่รู้ว่าไพ่ลับของเขายังมีอีกมากเท่าใด…’ หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียมองไปรอบตัวแล้วตะโกนลั่น “เหล่าทหารหาญแห่งคังกั๋วและเหยียนกั๋ว ใครจะเป็นผู้ตัดหัวเจ้าสัตว์ร้ายผู้นี้?”
“หน่วยบุกทะลวงที่สองขอออกไปสังหารศัตรูขอรับ!”
ท่ามกลางหน่วยทหารราบทั้งหลาย มีแม่ทัพผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมา
แม่ทัพผู้นี้สวมชุดเกราะหนักสีแดงดำ ในมือถือดาบโม่เตาหนักแปดสิบจินเล่มหนึ่ง แม่ทัพของคังกั๋วล้วนแต่ชอบใช้อาวุธเช่นนี้กันทั้งนั้น
หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียเอ่ยถาม “เจ้ามีนามว่าอะไร”
“อาหลี่ไป๋ขอรับ”
แม่ทัพผู้นั้นตะโกนบอก
“ดี เตรียมนำกองพลสองหน่วยออกรบ แล้วตัดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นกลับมาให้ข้า” หนู่เอ่อร์เฮ่อเจียตะโกนบอก
อาหลี่ไป๋ผู้เป็นแม่ทัพหัวหน้าหน่วยกระทุ้งท้องม้าออกมา เขาหันหัวม้าแล้วมองดูทหารที่อยู่ด้านหลังก่อนตะโกนขึ้น
“พวกเจ้าเป็นพวกตาขาวหรือไม่”
ทหารจากคังกั๋วที่ได้เห็นความโหดเหี้ยมของสวี่ชีอันกับตา ย่อมไม่อาจเลี่ยงความหวาดกลัวในใจ แต่เมื่อได้ยินคำถามนั้น ในใจก็เกิดไฟโทสะลุกโชนขึ้นมา
คนที่มีประสบการณ์ในสนามรบล้วนไม่ขาดความกระหายเลือดอยู่แล้ว
อาหลี่ไป๋ถือดาบโม่เตาแล้วตะโกนต่อ
“แม่ทัพใหญ่สิ้นบนกำแพงเมือง หากพวกเจ้าไม่บุกยึดเมืองนี้ เมื่อกลับไปย่อมมีแต่ต้องตายสถานเดียว แต่หากทำลายเมืองและสังหารจอมยุทธ์ต้าฟ่งขั้นสี่จอมเย่อหยิ่งผู้นั้นได้ เมื่อกลับไปย่อมได้เลื่อนขั้น”
ความกระตือรือร้นของพลทหารพุ่งพรวดขึ้นมาทันที
อาหลี่ไป๋ยังคงไม่พอใจ เขาตะโกนลั่น “แม่ทัพใหญ่ตายด้วยน้ำมือของเจ้าสัตว์ร้ายนั่น ความอัปยศอดสูครั้งใหญ่นี้ต้องล้างด้วยเลือด มิอาจไม่แก้แค้น”
ทหารสองพันคนร้องตะโกนขึ้นมาราวกับจะพลิกภูเขาทั้งลูก
“ความอัปยศนี้ มิอาจไม่แก้แค้น”
เมื่อเห็นดังนั้น อาหลี่ไป๋ก็ไม่พูดสิ่งใดอีก เขากระทุ้งม้าแล้วพุ่งไปข้างหน้า!
ทหารสองพันนายตามไปข้างหลัง เสียงร้องตะโกนสะเทือนเลื่อนลั่น การใช้ความแค้นมาผูกมัดกำลังทหารนั้น จะทำให้ได้ขวัญกำลังใจประเภทที่ไม่กลัวความตายใดๆ ทั้งสิ้น
บนกำแพงเมือง จางไคไท่และพวกแม่ทัพนายกองต่างพากันหน้าเปลี่ยนสี จนเกิดความกังวลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ข้าต้องไปช่วยเขา จะให้เขากันข้าศึกอยู่คนเดียวไม่ได้” จางไคไท่ปืนขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองอย่างง่ายดาย
ความกังวลของเขานั้นมีเหตุผล
ระดับขั้นทหารในกองทัพของสำนักพ่อมดนั้นไม่แตกต่างจากของต้าฟ่งนัก สิบคนต่อหนึ่งกลุ่ม และหัวหน้ากลุ่มต้องอยู่ในขั้นหลอมจิต สิบกลุ่มต่อหนึ่งกอง และผู้บังคับบัญชาการจะต้องอยู่ในขั้นหลอมปราณ สิบกองหนึ่งหน่วย ส่วนแม่ทัพหัวหน้าหน่วยนั้นจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหน่วยและจำนวนกำลังพล
ส่วนหน่วยปืนใหญ่เช่นนี้ เนื่องจากไม่จำเป็นต้องให้ทหารออกหน้า ระดับขั้นของหัวหน้าหน่วยจึงมักจะอยู่แค่ขั้นหลอมวิญญาณและสิ้นสุดที่ขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดงเท่านั้น
หัวหน้าหน่วยทหารม้าและแม่ทัพระดับสูงของหน่วยทหารราบต่างหากที่จะเน้นเรื่องระดับขั้นการฝึกตน เนื่องจากเป็นหน่วยที่ทหารต้องเข้าร่วมรบและเสียสละชีวิตตนได้ง่ายที่สุด
โดยที่ทหารราบนั้นต้องเจอกับอันตรายมากกว่าใคร
ดังนั้น แม้ว่าอาหลี่ไป๋จะเป็นหัวหน้าหน่วย แต่ระดับการฝึกตนกลับอยู่ที่ขั้นห้าสลายแรงอย่างแท้จริง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง