เพราะเหตุใดจึงหวาดกลัวความตายทางสังคม[1]อย่างนั้นหรือ ที่แห่งนี้เกี่ยวพันกับกฎของเมืองชั้นใน เมืองชั้นในต่างจากเมืองชั้นนอกโดยอย่างหลังไม่มีการห้ามออกนอกเคหสถานยามราตรี
เพราะอย่างแรกผู้ที่อยู่อาศัยล้วนเป็นผู้รากมากดี เพื่อความปลอดภัยของเหล่าขุนนางชั้นสูงที่เรืองอำนาจ หลังตีกลองยามพลบค่ำก็จะไม่มีผู้คนอยู่บนถนนอีก
เป็นที่ทราบกันดีว่าสำนักสังคีตเปิดทำการในยามราตรี
นี่หมายความว่าการไปสำนักสังคีตไม่เพียงเพื่อสืบข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องค้างแรมที่นั่นด้วย
นี่จึงเป็นเหตุผลที่สวี่ผิงจื้อคัดค้านสวี่ชีอันในการไปสำนักสังคีต เดิมก็เป็นชายหนุ่มอายุน้อยวัยกำหนัดค้างแรมที่สำนักสังคีต เมื่อโดนหญิงสาวยั่วเย้า ใครเล่าจะทนไหว
ดังนั้น ผู้ใดไปเยือนสำนักสังคีต ผู้นั้นย่อมต้องไปเที่ยวโสเภณี
ชายหนุ่มทั้งสามที่อยู่ระหว่างประชุมล้วนสร้างภาพลักษณ์
สวี่ฉือจิ้วสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม
สวี่ชีอันผู้ไม่ไปเยือนหอคณิกา
สวี่ผิงจื้อผู้รักภรรยาห่วงใยครอบครัว
ในใจทั้งสามล้วนประจักษ์แจ้งอยู่เรื่องหนึ่ง แม้ทุกเรื่องล้วนมีมูลเหตุ เที่ยวโสเภณีก็คือเที่ยวโสเภณีอยู่ดี มิอาจเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้
แม้ภพก่อนข้าจะไม่เคยเที่ยวโสเภณี ทว่าข้าจินตนาการได้ถึงความลำบากใจที่ตนเที่ยวโสเภณีแล้วถูกลุงตำรวจโทรศัพท์แจ้งพ่อแม่…ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อเลยจริงๆ…สวี่ชีอันนั่งหลังตรง สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง
ในหัวนึกเรื่องสนุกเกี่ยวกับหอนางโลมขึ้นได้ บางครั้งยามที่ฟังเพลงที่หอคณิกา หัวหน้ามือปราบหวังจะจุดประเด็นสนทนา ขุนนางในราชสำนักบางคนไปหลับนอนกับหญิงสาวที่สำนักสังคีต ผลสุดท้ายยามที่ประชุมชาก็พบลูกชายของตน
สถานการณ์เช่นนั้นน่าอึดอัดใจมาก
วันต่อมาก็ได้แพร่สะพัดไปยังแวดวงขุนนางในเมืองหลวง อ้างเป็นเรื่องตลกจนแม้แต่หัวหน้ามือปราบหวังยังได้ยินเรื่องนี้มาจากนายอำเภอจู
สำหรับยุคนี้ที่ให้ความสำคัญต่อสามแบบอย่าง ห้าคุณธรรม[2]และชื่อเสียงแล้ว การเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นย่อมมิอาจทนสู้หน้าได้
สวี่ชีอันจ้องมองอารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลาง ในหัวปรากฏภาพนั้นอย่างไม่รู้ตัว
สวี่ซินเหนียน ‘โอ๊ะ ท่านพ่อ ท่านก็มาด้วยหรือ วันนี้แม่นางผู้นี้จะอยู่กับข้า วันพรุ่งจะคืนให้ท่าน’
อารองสวี่ ‘ไสหัวไป ใครเป็นพ่อเจ้ากัน ข้าไปนอนก่อนล่ะ’
สวี่ชีอัน ‘พวกเจ้าทั้งหมดถอยไป ข้าจะเผด็จศึกคนเดียว’
แค่คิดก็สั่นไปหมดแล้ว…สวี่ชีอันกระแอมกระไอ “ปล่อยเรื่องของสำนักสังคีตไปก่อน พวกเราสืบข้อมูลต่อไป อย่างไรเสียสำนักสังคีตใช่ว่าจะต้องไป พวกเราก็ไม่แน่ใจว่าจะสืบข้อมูลที่มีประโยชน์จากคณิกาฝูเซียงได้จริงหรือไม่”
“วันมะรืนนั่งรวบรวมข้อมูลใหม่ หากไม่มีอะไรเพิ่มเติม พวกเราค่อยหารือเรื่องไปสำนักสังคีตอีกครั้ง”
เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ ท่าทีของสวี่เอ้อร์หลางกับอารองสวี่ดีขึ้นในทันใด แล้วพยักหน้าซ้ำไปซ้ำมา
สวี่ชีอันคิดในใจ ยังคงเป็นข้าที่เสียสละ คืนพรุ่งนี้ไปสำนักสังคีตสักรอบดีกว่า
…
เที่ยงของวันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันขอลากลับไปยังจวนสกุลสวี่ จวนสกุลสวี่ที่เคยครึกครื้นในวันวานวังเวงลงไปมาก
พาสาวใช้และแม่บ้านไปครึ่งหนึ่ง แล้วเหลือนายจางยามเฝ้าประตูกับคนใช้ไม่กี่คนคอยจัดการ อารองสวี่และสวี่เอ้อร์หลางอยู่ข้างนอกยังไม่ได้กลับมา
สวี่ชีอันเข้าไปลานชั้นในอย่างชำนาญทาง ผลักห้องของสวี่เอ้อร์หลางออก รื้อข้าวของก็พบชุดคลุมปัญญาชนสีฟ้าอ่อน เนื้อผ้าล้ำค่า ปักด้วยลายเมฆสีเดียวกัน
เขาถอดชุดมือปราบออกและเปลี่ยนเป็นชุดที่ภูมิฐานที่สุดของเจ้าน้องชาย หยกที่นับว่าเนื้อดีห้อยอยู่บนสายรัดเอว
สวี่ชีอันยืนอยู่หน้าคันฉ่อง มองรูปลักษณ์ของตนในตอนนี้
ก็พอใช้ได้…เปลือกนอกของข้ากำยำสมชายมากเกินไป มิอาจสวมออกมาให้งดงามในแบบหนุ่มน้อยได้…หากเป็นความงามสมัยรุ่งโรจน์ของข้าในอดีตชาติ ก็คงอยู่ในชุดนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ…อย่างไรเสียเปลือกนอกนี้ก็ขาดความรู้สึกร่วมนั้น…สวี่ชีอันลูบรอยยับบนหน้าอกให้เรียบ แล้วจากไปอย่างพึงพอใจ
โครงสร้างของเมืองหลวงต้าฟ่งสามารถสรุปรวบรัดได้ด้วยคำว่า ‘ตุ๊กตาแม่ลูกดก’[3] แบ่งออกเป็นเขตพระราชวัง เมืองหลวง เมืองชั้นใน และเมืองชั้นนอก
เมื่อเทียบกับเมืองชั้นนอกที่ผู้คนปะปนไปด้วยคนดีและคนเลวมากมาย สวี่ชีอันเข้าใจว่าเมืองชั้นในเป็นย่านศูนย์กลางทางธุรกิจของภพก่อน ผู้ที่อาศัยอยู่ในนี้ได้ล้วนเป็นคนรวย
ในยุคนี้ผู้ที่จะอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในได้ล้วนเป็นผู้ที่มีตำแหน่งและฐานะ
สิ่งที่น่ากล่าวถึงก็คือ อาสะใภ้คิดจะขายบ้านในเมืองชั้นนอกและย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองชั้นในมาโดยตลอด
น่าเสียดายที่มีหลานชายอสูรกลืนทอง[4] ทำให้อาสะใภ้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโหยหาในเมืองชั้นใน แต่ไร้วาสนาที่จะอาศัยอยู่ในนั้น
จากจวนสกุลสวี่ไปถึงทางเข้าประตูเมืองของเมืองชั้นใน หากเดินด้วยเท้า ด้วยระดับก้าวของสวี่ชีอันตอนนี้ก็ต้องใช้เวลาสามสี่ชั่วโมง
เขาจ้างรถม้าและไปถึงทางเข้าประตูเมืองของเมืองชั้นในที่ใกล้ที่สุดในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ควักหนังสือหลักฐานที่เตรียมไว้ล่วงหน้าออกมา แล้วผ่านด่านไปอย่างราบรื่น
ทหารรักษาเมืองตรวจสอบรถม้าอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นสวี่ชีอันไม่ได้ถือสัมภาระขนาดใหญ่ติดตัว ใบหน้าจึงยากจะปกปิดความผิดหวัง
เพราะนี่หมายถึงสวี่ชีอันไม่ได้เข้ามาในเมืองเพื่อทำการค้า จึงมิอาจเก็บภาษีประตูเมืองได้
…
ถนนในเมืองชั้นในกว้างขวาง ทางขวางตัดสลับทางตรง บ้านเรือนอันงดงามที่โอบล้อมด้วยต้นไม้เขียวขจีสร้างอยู่บนถนนสายหลัก ลานบ้านนานารูปแบบกระจายอยู่บนถนนที่ไม่ใช่สายหลัก
ไม่ว่าจะเป็นการก่อสร้างเมืองหรือเสื้อผ้าการแต่งกายของคนเดินเท้า รวมถึงจำนวนรถม้าบนถนน ล้วนชนะเมืองชั้นนอกอย่างขาดลอย
“เมื่อมีเวลาว่างจะต้องพาน้องหลิงเยวี่ยมาเที่ยวในเมืองชั้นในให้ได้ ความเจริญแตกต่างกับเมืองชั้นนอกจนมิอาจเปรียบเทียบกันได้” สวี่ชีอันเลิกม่านรถขึ้น ทอดมองภาพความเจริญ ในหัวปรากฏใบหน้างามเลิศเพริศพริ้งของสวี่หลิงเยวี่ย
เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปสำนักสังคีตในทันที มันยังเร็วเกินไป เหล่าพ่อค้าอาหารทะเลไม่ทำงานตอนกลางวัน
หลังจากจ่ายเงินค่าเช่ารถม้า สวี่ชีอันก็เตร็ดเตร่ไปบนถนนอย่างไร้จุดหมาย
ไม่นานนักสวี่ชีอันก็มาถึงตลาดแห่งหนึ่ง เขาเงยหน้ามองซุ้มประตูที่ทางเข้าถนน ถนนหย่งคัง!
ความกว้างขวางของถนนสายนี้เป็นสิ่งที่สวี่ชีอันไม่เคยพบมาก่อน มันกว้างสองร้อยเมตร ก่อด้วยแผ่นหินสีดำแต่ละชิ้นเป็นพื้นราบทอดยาวไปจนสุดสายตา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง