ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 503

บทที่ 503 เทพเซียน

เสียงคำรามของเฉินสยงดังก้องอยู่ในหู ผสานกับการข่มขู่ที่น่าสะพรึงกลัว ทำให้กงซุนซิ่วตัวสั่นไปทั้งร่าง ริมฝีปากสั่นเทาจนพูดไม่ออก แต่จิตใจของนางกลับคล่องตัวผิดปกติ ความคิดผันผวนอย่างรวดเร็ว ถ้าเดาไม่ผิด ‘เขา’ ที่ซากศพร่างนี้พูดถึงน่าจะเป็นชายชุดดำท่านนั้น หรือบุคคลซึ่งเกี่ยวข้องกับชายชุดดำ อย่างเช่น บรรพบุรุษ หรือท่านอาจารย์ผู้อาวุโส…

ในบรรดาคนบนโลกนี้ มีเพียง ‘เขา’ เท่านั้นที่มีข้อตกลงกับซากศพแห้ง ตัวตนของซากศพร่างนี้ และชายชุดดำท่านนั้นคืออะไรกันแน่ จะต้องมีความลับอันยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน

‘ดูจากท่าทางของซากศพนี้ ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับของบางสิ่งบางอย่าง เขาคิดว่าชายชุดดำนำของมาให้ข้ารึ? แต่ แต่ข้าไม่มี…หากบอกความจริงกับเขาอย่างตรงไปตรงมา จะถูกคิดว่าเป็น ‘คำพูดเพ้อเจ้อ’ อันไร้ประโยชน์ และถูกฆ่าตายด้วยประการฉะนี้หรือไม่?’

‘มันจะฆ่าพวกเราทุกคน เนื่องจากความโกรธและเดือดดาลหรือไม่…’

กงซุนซิ่วคิดมากในทันใด และครุ่นคิดว่าจะจัดการกับซากศพ และเอาชีวิตรอดจากหายนะครั้งนี้อย่างไร

กงซุนเซี่ยงหมิงและทหารที่เหลือไม่รู้ว่ามีความผันผวนเกิดขึ้นในนั้น เห็นเพียงคำพูดประโยคเดียวของหลานสาวช่วยชีวิตทุกคนไว้ ทำให้ซากศพที่น่าสะพรึงกลัวนี้แสดงอารมณ์ขุ่นหมองออกมาอย่างชัดเจน

พวกเขาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาเช่นนี้ จะมีปริศนาอะไรอยู่ในนั้น

กงซุนเซี่ยงหมิงหน้าซีดเผือด เขาหอบพักหายใจสองสามวินาที ก่อนจะคิดอะไรขึ้นได้อย่างกะทันหัน พลางหันไปมองนักพรตเฒ่าชิงกู่ และทหารจำนวนหนึ่งที่ข้ามทะเลสาบมาเมื่อตอนเที่ยง

ดูเหมือนซิวเอ๋อร์ หรือยอดฝีมือลึกลับที่บังเอิญพบในทะเลสาบท่านนั้นจะเป็นคนกล่าวประโยคนี้…

กงซุนเซี่ยงหมิงเห็นนักพรตเฒ่าชิงกู่และทหารจำนวนหนึ่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เขาก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองคิดไม่ผิด

และในเวลานี้ กงซุนซิ่วก็ตัดสินใจแล้ว นางวางแผนจะเปิดเผยอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่าสิ่งนี้จะเน้นให้เห็นถึงความ ‘เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ’ ของตนเอง และทำให้ซากศพผิดหวัง แต่ภายใต้ความไม่ชัดเจนว่าซากศพมีวิธีที่จะแยกแยะคำโกหกหรือไม่ ความซื่อสัตย์จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็ยังมีพื้นที่สำหรับทางหนีทีไล่

นอกจากนี้ นางยังเชื่อสุดหัวใจว่า เมื่อชายชุดดำท่านนั้นกล่าวเพียงประโยคนี้ โดยไม่ได้อธิบายสิ่งอื่น แน่นอนว่าเขาย่อมมั่นใจว่าประโยคนี้จะมีแรงผูกมัดกับซากศพเป็นพิเศษ

“ผะ ผู้อาวุโส…” ริมฝีปากของกงซุนซิ่วไม่ค่อยกระฉับกระเฉง และกล่าวตะกุกตะกักว่า “ยอดฝีมือท่านหนึ่งที่ศิษย์น้องบังเอิญพบตอนข้ามทะเลสาบวันนี้เป็นผู้กล่าวประโยคนี้ เขารู้ว่าข้าต้องสำรวจสุสานหลัก จึงพูดว่า หากพบวิกฤตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในหลุมฝังศพ…ให้กล่าวประโยคสั้นๆ นี้รอบหนึ่ง” หลังจากนั้นก็มองซากศพอย่างระมัดระวัง สังเกตการตอบสนองของมัน

หลังจากซากศพแห้งได้ยิน ใบหน้าซีดเซียวก็แสดงความผิดหวังออกมาราวกับมนุษย์

“ก็จริง เขาจากไปไม่ถึงหนึ่งปี แม้จะต้องคืนข้า…ก็คงไม่เร็วเช่นนั้น เป็นข้าเองที่หวังเกินตัว” มันชะงักครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยความนิ่งเฉยอีกว่า

“เขาให้เจ้าถ่ายทอดประโยคนี้ให้ข้า เพื่อเตือนข้าว่าอย่าพยายามฉกฉวยแก่นโลหิตและเปิดผนึก! วันนั้นเขาปิดผนึกข้าไว้ที่นี่ ทั้งยังเคยให้คำมั่นกับข้าว่าหากไม่ทนรับความเหงาที่นี่ตลอดไป ก็ตายซะ! เฮ้อ ข้าเลือกที่จะเอาตัวรอดไปวันๆ เอง”

ซากศพที่น่าสะพรึงกลัวและประหลาดร่างนี้ถูกปิดผนึกงั้นรึ? และคนที่ปิดผนึกมัน ก็คือชายชุดดำที่พบกันโดยบังเอิญในทะเลสาบ ไม่ใช่บรรพบุรุษ ไม่ใช่อาจารย์ผู้อาวุโส แต่เป็นชายชุดดำท่านนั้น…

แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไม่ถึงหนึ่งปีไม่ใช่รึ? ช้าก่อน…กงซุนซิ่วนึกถึงการพังทลายและการล่มสลาย ณ ที่แห่งนี้ และสภาพการเดินทางตลอดทั้งทาง จู่ๆ นางก็รู้ตื่นตัวขึ้นมา

ในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่มีการเกิดแผ่นดินไหวที่เมืองยงโจว แต่สุสานหลักแห่งนี้กลับพังทลายอย่างรุนแรง ประกอบกับสิ่งที่ซากศพกล่าวเมื่อสักครู่ กงซุนซิ่วก็เกิดการคาดเดาในใจ

ปีที่แล้ว ในช่วงเวลาที่ไม่มีใครรู้ ชายชุดดำท่านนั้นเคยมาที่วังสุสานใต้ดิน และต่อสู้กับซากศพแห้งอย่างสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของวังสุสานใต้ดิน

โอ้พระเจ้า…กงซุนซิ่วถอนหายใจยาว ความปั่นป่วนพลุ่งพล่านอยู่ในจิตใจของนาง

‘แล้ว แล้วบุคคลนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้านใดกันแน่ น่ากลัวเช่นนี้เลยรึ’

ทหารที่อยู่บนเรือในตอนเที่ยงต่างก็อ้าปากค้างด้วยความหวาดผวา ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าบุคคลที่ชายหนุ่มพวกนั้นพบตอนเที่ยงน่ากลัวอย่างไร

มิน่าเล่า มิน่าเล่าเขาถึงคาดเดาสภาพอากาศล่วงหน้าได้ นั่นเป็นเพียงความสามารถเล็กน้อยที่คาดไม่ถึงของเขา

ถึงแม้นักพรตเฒ่าชิงกู่จะทั้งตกตะลึง ทั้งประหลาดใจ เขาก็เดาได้ว่าชายชุดดำท่านนั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเทพเซียนเช่นนี้

เขาประเมินต่ำเกินไป

“พวกเจ้ายังโชคดี ข้าจะไม่ฆ่าใคร”

“เจ้ามาแล้วสินะ”

ซากศพแห้งดูเหมือนจะเน่าเปื่อยแล้ว น้ำเสียงแหบแห้งไม่น่าฟัง แต่กลับชอบที่จะหัวเราะเยาะ จนทำให้คนที่ได้ยินต่างก็หวาดผวา

มาแล้ว? ใครมา…

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้าน และหันกลับไปมองอย่างพร้อมเพรียงกัน แสงสว่างพุ่งลุกโชน สะท้อนร่างที่พร่ามัว ซึ่งปกคลุมไปด้วยโคลนทั้งร่าง พร้อมกับดาบในมือของเขา

“ผ่านมายงโจวพอดี ข้าเลยมาหาเจ้า” ร่างที่ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ทันทีที่เขาเปิดปากพูด กงซุนซิ่วก็จำเสียงของเขาได้ทันที และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านพี่สวี…”

ทหารจำนวนหนึ่งที่โชคดีพอที่ได้พบยอดฝีมือลึกลับสวีเชียนเมื่อตอนเที่ยง ต่างก็แสดงความปีติยินดี การมาถึงของบุคคลสำคัญเช่นนี้ หมายความว่าพวกเขาย่อมปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชีวิตอีกต่อไป

เขาคือยอดฝีมือลึกลับที่ที่ซิ่วเอ๋อร์กล่าวถึง ยอดฝีมือที่ปิดผนึกซากศพ…

กงซุนเซี่ยงหมิงรู้สึกกระจ่างแจ้ง ร่างของสวี่ชีอันหายไปอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางซากศพแห้ง กงซุนซิ่ว และคนอื่นๆ น้ำเสียงของเขามีความกระสับกระส่ายเล็กน้อย ทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกอารมณ์ไม่ดี

“ออกไปรอข้าข้างนอกเร็วเข้า”

กงซุนซิ่วและคนอื่นๆ ทั้งกลิ้งทั้งคลานเพื่ออพยพออกไปข้างนอก ราวกับได้รับการนิรโทษกรรม สูญเสียความตั้งใจในการล่าสมบัติไปนานแล้ว

ซากศพแห้งไม่ได้ขัดขวางเขา หลังจากรอให้ทุกคนออกไปแล้ว เขาก็มองสวี่ชีอัน และกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า

“เมื่อสักครู่คือวิธีการของเทพเจ้ากู่”

“ถ้าจะพูดให้ถูกคือ วิธีการของเผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้”

สวี่ชีอันแก้คำพูด ก่อนจะกวักมือเรียกคบไฟที่อยู่แทบเท้าขึ้นมา ชูขึ้นสูง เพื่อมอบแสงสว่างให้กับซากศพแห้งที่มีสภาพแห้งเฉาและน่ากลัว

“ข้ามาหาเจ้าครั้งนี้ อยากขอร้องให้เจ้าช่วย อืม รับของบางอย่างจากตัวเจ้า”

เขานั่งขัดสมาธิบนพื้น ชูคบไฟขึ้น และกล่าวว่า “ยืมเล็บ พิษร้าย และกลิ่นอายศพของเจ้ามาใช้”

ซากศพแห้งกล่าวว่า “เจ้าต้องการอาวุธเวทมนตร์งั้นรึ?”

สวี่ชีอันพยักหน้า

ซากศพแห้งในชุดคลุมสีเหลืองที่ขาดรุ่งริ่งไม่ได้ตอบสนอง แต่จ้องเขาตาเขม็งในทันใด แสงสว่างฉายชัดในดวงตาทมิฬ “เจ้าถูกปิดผนึกแล้ว”

สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตาดีจริงๆ”

สมแล้วที่เป็นร่างของยอดฝีมือขั้นหนึ่งเป็นอย่างน้อย ด้วยบุคลิกภาพเช่นนี้ กวาดตามองเพียงแวบเดียวก็เห็นปัญหาเกี่ยวกับสภาพร่างกายของข้า

ดวงตาของซากศพแห้งสั่นไหวเล็กน้อย

สวี่ชีอันยิ้มอย่างเมินเฉยและกล่าวว่า “ข้าพยายามเลียนแบบนายท่านของเจ้า ดังนั้น ข้าจึงสังหารจักรพรรดิและประกาศตนขึ้นเป็นจักรพรรดิ แต่ข้าบังเอิญถูกโหรขั้นหนึ่งและท่านโหราจารย์ลอบฆ่า ตอนนี้ฐานการฝึกฝนของข้าจึงถูกปิดผนึก”

ในขณะที่พูด สวี่ชีอันก็ปลดเสื้อคลุมออก เผยให้เห็นตะปูที่ฝังอยู่บนร่างของตนเอง

“เจ้า?”

สีหน้าของซากศพแห้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย “แล้วสัตว์ประหลาดในร่างของเจ้าเล่า? ทำไมเขาไม่ออกมาพบข้า”

สิ่งที่ซากศพแห้งให้ความสนใจอย่างแท้จริงคือเทพเสินซู ไม่ใช่ฐานะผู้ถูกอาศัยอย่างสวี่ชีอัน แต่หลังจากมองตะปูเหล่านี้แล้ว เขาก็ตระหนักได้ถึงความผิดปกติในทันใด

‘เด็กคนนี้จะต้านทานผนึกร้ายแรงเหล่านี้ด้วยความสามารถของตนเองได้อย่างไร?’

“เขาหลับสนิทแล้ว หลังจากฆ่าจักรพรรดิวันนั้น ข้าก็ร่วมมือกับเขาต่อสู้กับโหรขั้นหนึ่ง แต่พ่ายแพ้ ข้าถูกปิดผนึก เขาก็จมสู่ห้วงนิทรา จริงสิ…”

สวี่ชีอันยิ้มตาหยีและกล่าวว่า “ข้าเลื่อนสู่ขั้นสามเป็นร่างอมตะแล้ว”

“ร่างอมตะ มิน่าล่ะ…”

มิน่าเขาได้รับการปิดผนึกเช่นนี้ แต่กลับยังกระโดดโลดเต้นอยู่ได้

สีหน้าของซากศพแห้งสับสนเล็กน้อย ตอนแรก ฐานการบำเพ็ญของเด็กคนนี้ตื้นเขินมาก เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่ง

นี่ผ่านไปนานเท่าใด?

เขาก้าวเข้าสู่ขั้นสาม เข้าสู่ดินแดนแห่งร่างอมตะแล้ว

เขาพิจารณาสถานะของตนเองในตอนนี้อยู่ครู่หนึ่ง พลังส่วนใหญ่ถูกปิดผนึกหมดแล้ว โดยพื้นฐานเขาไม่มีทางต่อสู้กับทหารขั้นสามได้อย่างแน่นอน ถึงแม้เด็กคนนี้จะถูกปิดผนึกเช่นกัน แต่สัตว์ประหลาดที่หลับใหลอยู่ในร่างกายนั้น ถ้าตื่นขึ้นมา…

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง