ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 52

สรุปบท บทที่ 52 ครอบครัวต้องเป็นระเบียบ: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

สรุปเนื้อหา บทที่ 52 ครอบครัวต้องเป็นระเบียบ – ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง โดย Internet

บท บทที่ 52 ครอบครัวต้องเป็นระเบียบ ของ ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

ชั้นหนึ่งเป็นสถานที่ที่หออิ่งเหมยใช้รับรองแขก ประตูฉากกั้นที่หันไปทางลานเปิดออก ม่านผ้าแพรบางเบาที่ลู่ตกลงใช้ปิดกั้นลมหนาว

แขกหลายสิบคนนั่งอยู่ในห้องสุรา ดื่มสุรา หัวเราะพูดคุย ชื่นชมดอกบ๊วย

กระถางเผาถ่านทั้งสี่มุมในห้องสุรากำลังลุกไหม้อย่างคุโชน ขับลมหนาวในฤดูหนาว

สาวใช้คนหนึ่งพาสวี่ชีอันเข้ามา ทุกคนต่างหันมามองชายหนุ่มรูปร่างสูงที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนของปัญญาชนผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ในหัวสวี่ชีอันนึกถึงกฎของการประชุมชาที่หัวหน้ามือปราบหวังเคยสาธยายไว้ พยายามทำให้รอยยิ้มของตนสุภาพมากที่สุด แล้วแสดงความเคารพให้ทุกคน

“ข้าน้อยหยางหลิงบัณฑิตซิ่วไฉจากอำเภอฉางเล่อ คารวะพี่ชายทุกท่าน”

บรรดาผู้คนในที่นี้มีทั้งพวกเศรษฐีที่สวมเสื้อแพรและนักเรียนจากราชวิทยาลัยหลวง สถานะไม่สูงไม่ต่ำ

บางคนก็ละสายตาออกอย่างไม่ใส่ใจ บางคนก็มองพินิจพิเคราะห์ บางคนก็ส่งรอยยิ้มกลับมา

ดูท่าว่าในระหว่างการตรวจสอบข้าราชสำนัก ขุนนางของต้าฟ่งล้วนซื่อสัตย์ประพฤติตัวเรียบร้อยมากขึ้น…หากเป็นในอดีต ด้วยระดับของแม่นางฝูเซียง ที่แห่งนี้ต้องถูกเหมาที่นั่งเป็นแน่…สวี่ชีอันเข้าที่นั่งอย่างไม่หวาดหวั่น สายตาเกาะติดร่างของหญิงคณิกาที่ทำหน้าที่เป็น ‘สีจิว’

ผิวพรรณผุดผ่อง นัยน์ตาทอสีสันงดงาม เนื้อกายหอมหวน มีเสน่ห์เป็นธรรมชาติ

หญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามนัก…สวี่ชีอันที่เคยผ่านความงามมานับไม่ถ้วนก็ตกตะลึงในความงามเช่นกัน

หากมองเพียงใบหน้า คณิกาผู้นี้อยู่ในระดับเดียวกับอาสะใภ้ สวี่หลิงเยวี่ย และฉู่ไฉ่เวย ลักษณะความงามต่างกัน ต่างก็มีเอกลักษณ์ของตน

เป็นประเภทสาวงามที่สวยหยาดเยิ้มทำให้บุรุษตะลึงในความงามและเหลียวมองได้แน่นอนยามเดินไปตามท้องถนน

ทว่าด้านอุปนิสัย คณิกาผู้นี้มีความงามหยาดเยิ้มและความสุภาพเรียบร้อยของสุภาพสตรี ด้านการแต่งกาย นางมีชุดกระโปรงผ้าพริ้วบางที่สตรีในยุคนี้ไม่กล้าสวมใส่

เผยลาดไหล่นวลออกครึ่งหนึ่ง ลำคอเรียวระหง หุ้มชั้นในด้วยชั้นผ้าใย เผยให้เห็นร่องอกอยู่เลือนราง

มีคูน้ำย่อมต้องมีไฟ[1] นางคู่ควรที่จะได้เป็นคณิกา

แม่นางฝูเซียงรับหน้าที่เป็น ‘สีจิว’ เรียกอีกอย่างว่าผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินจะรับผิดชอบคอยดำเนินการละเล่นในวงสุรา คอยแบกรับบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร ตามปกติจะให้โสเภณีชั้นสูงหรือคณิกาเป็นคนทำหน้าที่นี้ หญิงสาวทั่วไปจะทำไม่ได้เพราะต้องมีความรู้ทางวรรณกรรมค่อนข้างสูง

โดยรอบนี้กำลังผลัดกันพูดกลอนคู่ โดยกลอนคู่ก็คือประโยคคู่หนึ่ง ด้านซ้ายของสวี่ชีอันคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนและหยกแขวนเสียงดังก๊องแก๊ง

เวียนถึงตาเขาพอดี ชายวัยกลางคนผู้นี้ยกจอกบ่นพึมพำอยู่นาน แล้วเอ่ยขึ้น “สุราอันเย็นเยือกหนึ่งหยด สองหยด สามหยด”

หญิงคณิกายกธงเล็กที่อยู่ข้างมือ แสดงความเห็นต่อกลอนคู่ครึ่งท่อนแรกอยู่พักหนึ่ง (สรรเสริญเยินยอ)

รอยยิ้มบนใบหน้าของชายวัยกลางคนฉีกกว้าง สุขใจมากทีเดียว

นี่จึงเป็นเหตุผลที่โสเภณีชั้นสูงผู้ทำหน้าที่สีจิวต้องรู้รายละเอียดวรรณกรรมอย่างลึกซึ้ง หากไม่มีทักษะ โสเภณีตามปกติถึงอยากประจบก็มิอาจประจบประแจงได้

หลังจากแสดงความเห็น หญิงคณิการูปโฉมงามเลิศล้ำ นัยน์ตาใสคู่สวยตกอยู่บนร่างสวี่ชีอัน

ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็มองตามเช่นกัน

ประโยคคู่หนึ่งข้าไม่ถนัดเอาเสียเลย…ลำพังเพียงความประณีตบรรจงก็ยากมากแล้ว…สวี่ชีอันไม่แสดงออกทางสีหน้า แล้วแอบกังวลอยู่ในใจ

สายตาของเขาทอดมองไปยังต้นบ๊วยในลานและปรากฏเป็นแรงบันดาลใจขึ้น จงใจยกจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วทำท่าทางอาจหาญไปตามธรรมชาติพร้อมกล่าวเสียงดัง

“ดอกติงเซียงร้อยดอกพันดอกหมื่นดอก”

“วิเศษมาก!” นัยน์ตาของทุกคนที่นั่งอยู่เป็นประกาย ทันใดนั้นยามที่มองไปทางสวี่ชีอัน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า

เป็นอันยอมรับว่าเขามีคุณสมบัติที่จะแข่งเพื่อชิงคณิกา ยกให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีระดับเดียวกัน

คณิกาฝูเซียงหัวเราะ แล้วประเมินกลอนคู่ท่อนหลังของสวี่ชีอันตามกฎอยู่พักหนึ่ง (สรรเสริญเยินยอ)

รอยยิ้มบนใบหน้าช่างดูเป็นมืออาชีพ…ทันทีที่ประเมินเสร็จก็ไม่มองข้าอีกเลย…ท่านั่งแข็งทื่อเล็กน้อย ดื่มสุราได้เพียงยามที่เชิญชวนดื่มเท่านั้น…สวี่ชีอันสังเกตภาษากายของหญิงคณิกาผู้นี้อย่างสงบเยือกเย็น

เมื่อรวมเอาความรู้ด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมที่ร่ำเรียนมา สรุปออกมาได้ว่า ระดับของพวกเราไม่เข้าตาหญิงคณิกาผู้นี้เลย

กำลังอดกลั้นอารมณ์และอยู่เป็นเพื่อนมาตลอด

บัดนี้สาวใช้ได้พาคนผู้หนึ่งเข้ามา ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวผ่อง แววตาเย็นเยือก ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ใบหน้าประณีตงดงาม ช่างเป็นบุรุษละม้ายคล้ายสตรี

ทุกคนในห้องชำเลืองมอง แม้แต่คณิกาฝูเซียงก็ยังเผยสีหน้าประหลาดใจ ชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้นางพบไม่บ่อยนัก

หลังจากชายหนุ่มที่แต่งกายเช่นปัญญาชนเข้ามาในห้องก็กวาดสายตามองตามใจชอบ แล้วตะลึงงันไปเสียดื้อๆ ชะงักอยู่กับที่

หัวตาของสวี่ชีอันกระตุกอยู่นาน ก่อนจะกลั้นใจเอ่ย “บังเอิญจริง”

มุมปากของชายหนุ่มรูปงามกระตุกขึ้น แล้วกลั้นใจเอ่ยเช่นกัน “บังเอิญเสียจริง…”

“ท่านทั้งสองรู้จักกันสินะ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนข้างกายสวี่ชีอันเอ่ยอย่างประหลาดใจ

มิใช่แค่รู้จัก เขาคือน้องชายของข้าเอง…สวี่ชีอันข่มความอัปยศและความอึดอัดใจมหาศาลเอาไว้ แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “คงมีวาสนาต่อกัน คิดๆ ดูแล้วพี่สวี่ยังจำหยางคนนี้ได้ พวกเราเคยพบกันที่อำเภอฉางเล่อ”

เขาจงใจแจ้งสกุลของตนให้ทราบเพื่อเตือนสวี่ซินเหนียนให้เขาใช้นามแฝง

นี่เป็นการต้านการสอดแนมขั้นพื้นฐานที่สุด

สวี่ซินเหนียนขาดการตระหนักเช่นนี้ไป ทว่าเขาปราดเปรื่องจึงเข้าใจความหมายของญาติผู้พี่ทันที แล้วแสดงคารวะต่อทุกคน “ข้าน้อยสวี่ผิงอัน นักเรียนจากอำเภอฉางเล่อ”

เมื่อพูดจบก็เข้าไปนั่งตามคำชี้แนะของสาวใช้

นี่เจ้าผสมชื่อของข้ากับอารองเข้าด้วยกันหรือ…สวี่ชีอันอาศัยการดื่มสุราอำพรางข้อบกพร่องอยู่ในใจ

การละเล่นในวงสุราดำเนินต่อ ผ่านไปชั่วครู่สาวใช้ก็พาเข้ามาอีกสองคน ด้านซ้ายเป็นอัจฉริยบุรุษ รูปงาม สวมชุดคลุมยาวหนาสีฟ้า เอวห้อยหยกแขวน มัดผมด้วยปิ่นหยกสีเขียวมันขลับ

คนด้านขวารูปร่างกำยำล่ำสัน รูปหน้าเหลี่ยม ใบหน้ามองไม่มีเบื่อ แต่งตัวเป็นเศรษฐี กลิ่นอายความกล้าหาญที่ปรากฏอยู่บนร่างช่างต่างกับพวกพ่อค้าหรือนักเรียนราวฟ้ากับเหว

“ใบสนใบไผ่ทุกใบเขียวขจีสิ้น…วิเศษ วิเศษไปเลย ข้าเทียบไม่ติดเลยจริงๆ”

“พี่จ้าวช่างมีปัญญาเลิศล้ำ สมกับที่เป็นผู้ที่ร่ำเรียนมาจากราชวิทยาลัยหลวง”

เมื่อเวียนกลับมาเล่น ไม่นึกว่าทุกคนจะรับมือได้

คุณชายจ้าวยิ้มจางๆ ด้วยสีหน้าโอหัง

นัยน์ตาของแม่นางฝูเซียงสว่างพร่างพราย จ้องมองคุณชายจ้าวอย่างช้าๆ

ตัดสินได้จากสีหน้าและการกระทำเล็กๆ ของนาง คณิกาประทับใจในชายสกุลจ้าวผู้นี้และชื่นชมความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก…สวี่ชีอันคิ้วขมวด หันกลับไปมองสวี่ซินเหนียน

อย่างหลังดูเหมือนว่าความเศร้าหมองจะปรากฏบนหว่างคิ้วของสองพี่น้องเข้าพอดี

ตามความหมายเดิมของสวี่ซินเหนียน พี่ใหญ่ที่ชำนาญด้านบทกวีควรจะเป็นเหมือนปลาได้น้ำในสำนักสังคีต

ใครจะเชื่อว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนาน เล่นออกกำปั้น ผลัดกันต่อประโยคคู่ไปแล้วรอบหนึ่งก็ยังไร้วี่แวว

อันที่จริงการประชุมชาในสำนักสังคีต บทกวีเป็นสิ่งคู่กันมาโดยตลอด เกือบ 200 ปีมานี้บทกวีอันเลิศล้ำมีไม่มาก ปัญญาชนไม่ชำนาญการเขียนกวีแต่งบทเพลง

ยามประชุมชาย่อมหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ถนัด

อีกทั้งแขกที่นั่งอยู่ในค่ำคืนนี้คุณสมบัติไม่เท่ากัน เพียงแค่ประโยคคู่หนึ่งก็ยากเล็กน้อยแล้ว แม่นางฝูเซียงเป็นหญิงงามจิตใจดี ตั้งใจไม่เอ่ยถึงบทกวีโดยเฉพาะ แขกจะได้ไม่ละอายใจที่เสียศักดิ์ศรี

บัดนี้คณิกาฝูเซียงหยัดกายอันอ่อนช้อยขึ้น ย่อตัวแสดงคารวะ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน “ข้าเริ่มเพลีย ขอตัวออกไปก่อน ท่านที่เหลือค่อยๆ ดื่มกันไปเถิดเจ้าค่ะ”

ประชุมชารอบนี้สิ้นสุดลงแล้ว

ต่อจากนี้หากหญิงคณิกาต้องตาต้องใจใครสักคน ก็จะให้สาวใช้รั้งไว้และพาเข้าไปในห้อง

หากไม่ต้องตาต้องใจสาวใช้จะส่งแขก จากนั้นก็จะเปิดประชุมชารอบถัดไป

ทุกคนต่างเฝ้ารอและรอคอยอย่างกระสับกระส่าย เวลาล่วงเลยไปชั่วครู่ หลังจากครึ่งก้านธูป (เท่ากับ 15 นาที) สาวใช้ก็เดินมาพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน

“แม่นางของข้าเชิญคุณชายจ้าวเข้าไปดื่มชาในห้องเจ้าค่ะ”

เหล่าแขกทั้งหลายส่ายหน้าอย่างเสียดายพร้อมทอดถอนใจ มีคนยิ้มแสดงความยินดีกับคุณชายจ้าวด้วยเช่นกัน

คุณชายจ้าวยิ้มด้วยท่าทางของผู้ชนะ

บัดนี้ชายหนุ่มทั้งสามแห่งบ้านสกุลสวี่ต่างก็นั่งไม่ติดแล้ว

…………………………………………………………

[1] มีคูน้ำย่อมต้องมีไฟ คำว่า ‘คูน้ำ’ เป็นคำแสลง หมายถึง ร่องอกของผู้หญิง สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า ผู้หญิงที่มีร่องอกมักจะได้รับความนิยม

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง