ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 739

บทที่ 739 บทสรุปของการเจรจา

หมายเลขหนึ่ง ‘หากคิดจะให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์นั้นง่ายดาย แต่การรักษาความเสถียรภาพหลังจากนั้นมิใช่เรื่องง่าย’

ฮว๋ายชิ่งแสดงความเห็นของตนผ่านห้องสนทนาส่วนตัว

เจ้าคนเมืองเถื่อนนี่ไม่รับมุกข้าเลยแฮะ จังหวะนี้เจ้าต้องตอบว่า ‘รอแค่ลมบูรพาพัดส่งเท่านั้น’ สิ…สวี่ชีอันบ่นในใจตามความเคยชิน ก่อนจะส่งข้อความลงไป

หมายเลขสาม ‘สิ่งที่พระองค์ตรัสมานั้นมีเหตุผล พระองค์มากล้นด้วยประสบการณ์ ทรงมีข้อชี้แนะหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ’

การบังคับให้หย่งซิ่งสละราชบัลลังก์นั้นเป็นเรื่องง่าย เขาเคยสังหารจักรพรรดิมาแล้วด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการขับหย่งซิ่งออกจากบัลลังก์

สิ่งที่ยากคือการรักษาเสถียรในภาพรวมต่างหาก ทำอย่างไรให้ขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงยอมรับเรื่องนี้ ยอมดำเนินกิจการของราชสำนักต่อไป และยอมรับเขาสวี่ชีอัน

หมายเลขหนึ่ง ‘เราต้องกุมอำนาจขุนนางชั้นสูงเสียก่อน ข้าได้ติอต่อพรรคพวกที่เหลืออยู่ของเว่ยกงเป็นการส่วนตัวแล้ว เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด’

สวี่ชีอันอ่านข้อความนี้แล้ว หวนนึกถึงขั้นตอนการเจรจาที่ฮว๋ายชิ่งสาธยายเมื่อครู่ หัวใจพลันเต้นแรง

มิน่าล่ะพรรคเว่ยถึงได้นิ่งเงียบจนผิดปกติ ทั้งยังมองผลการเจรจาอย่างเฉยเมยอีก ที่แท้ก็คอยส่งข่าว วางแผนก่อกบฏลับหลังมานานแล้วนี่เอง

‘หลิวหง จางสิงอิง เจ้ากรมทหาร จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้องค์หญิงฮว๋ายชิ่งสยบพวกมัน ทำให้พวกมันถวายชีวิตได้ ศาสตร์การควบคุมคนช่างทรงพลังจริงๆ’ สวี่ชีอันส่งข้อความไป

‘อาศัยเพียงลูกน้องของเว่ยกง ไม่เพียงพอจะรักษาเสถียรภาพของท้องพระโรงได้หรอก’

หมายเลขหนึ่ง ‘ถูกต้อง ดังนั้นข้าจึงหวังให้เจ้าโน้มน้าวสมุหราชเลขาธิการหวาง รวบรวมอำนาจของพรรคหวางและพรรคเว่ย จึงจะรักษาเสถียรภาพของท้องพระโรงไว้ได้ ส่วนพรรคที่เหลือจะตัดสินใจเองตามสถานการณ์

‘สวี่หนิงเยี่ยน เจ้าเคยไปพบสมุหราชเลขาธิการหวางบ้างหรือไม่’

หมายเลขสาม ‘เอ่อ พอดีว่าช่วงนี้ข้ามุ่งแต่การบำเพ็ญตน จึงลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท’

บำเพ็ญคู่ก็ถือเป็นการบำเพ็ญตนเช่นกัน…เขาบ่นพึมพำ เมื่อคิดได้ดังนี้ มือหนึ่งก็ถือชิ้นส่วนหนังสือปฐพี อีกมือหนึ่งก็จับเอวคอดกิ่วอวบอัดของมู่หนานจือกระแทกขึ้นลงได้อย่างง่ายดาย

เทพดอกไม้อายุเกือบยี่สิบปี ผู้บานสะพรั่งเอิบอิ่มส่งเสียงครางหวาน พลางซบกับไหล่ของเขาในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น

พลังปราณอบอุ่นเคลื่อนผ่านเส้นลมปราณในกายของนาง ทำให้นางง่วงนอน

นี่คือสาเหตุที่สวี่ชีอันอาบน้ำเย็นตอนหน้าหนาว ก็เพื่อคลายความร้อนให้ทั้งสองฝ่าย

‘บำเพ็ญตนอย่างนั้นหรือ? ตบะของเจ้าถึงระดับคอขวดนานแล้ว ทั้งยังไม่ได้ถอนตะปูตอกวิญญาณ จะบำเพ็ญตนได้อย่างไร…’ ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว รู้สึกว่าสวี่ชีอันกำลังโกหกนาง

หมายเลขสาม ‘ข้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง’

ด้วยความเข้าใจในตัวหวางเจินเหวินของเขา ผนวกกับการตัดสินใจของเขาในสถานการณ์ปัจจุบัน หวางเจินเหวินต้องร่วมมือกับเขาอย่างแน่นอน

ประการแรก หวางเจินเหวินเป็นปัญญาชนจำพวกยอมเสียน้อยไม่ยอมเสียมาก หากมีวิธีหนึ่งที่สามารถช่วยดินแดนและเห็นความหวัง เขาพร้อมที่จะเสี่ยงอยางแน่นอน

ประการที่สอง คุณหนูตระกูลหวางกับเอ้อร์หลางยังหมั้นหมายกันอยู่ การสมคบคิดกับเครือญาตินั้นน่าเชื่อถือกว่าการเป็นพันธมิตรเพียวๆ เป็นไหนๆ

เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากสวี่ชีอันแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ซักไซ้อะไรอีก เช่นเดียวกับสวี่ชีอันที่ไม่ถามนางว่าไปจัดการพวกจิ้งจอกเฒ่าของพรรคเว่ยอย่างไรให้มาร่วมก่อกบฏกับนางได้

นี่คือความไว้วางใจในความสามารถของทั้งสองฝ่าย

หมายเลขหนึ่ง ‘หลังจากนั้นยังมีปัญหาเรื่องกำลังทหารอีก หลังจากลงมือแล้ว ข้าจะยึดประตูวังให้เร็วที่สุดและบังคับให้หย่งซิ่งสละราชสมบัติ เมื่อฝุ่นผงร่วงหล่นหมดแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทหารรักษาวังอีก’

ทหารรักษาวังห้ากองภักดีต่อจักรพรรดิ เชื่อฟังแต่จักรพรรดิเท่านั้น

แม้ว่าฮว๋ายชิ่งจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากสักเพียงใด ก็ไม่อาจยุยงผู้นำกองทัพทหารรักษาวังทั้งหมดให้ก่อกบฏได้ แค่ยุยงกลุ่มเล็กๆ ยังยากที่จะจินตนาการถึง

อย่างไรก็ดี แม้ว่าทหารรักษาวังจะควบคุมยาก แต่หากดึงองครักษ์สิบสองหน่วยพิทักษ์เมืองหลวงมาเป็นพวกได้ก็สบายโข

ตราบใดที่นางยังมีเข็มเทพใต้ทะเลอย่างสวี่ชีอัน ฮว๋ายชิ่งก็มั่นใจว่าจะยึดครองกำแพงพระราชวังได้ในระยะเวลาอันสั้น

หมายเลขสาม ‘ท่าทีของเชื้อพระวงศ์ล่ะ’

หมายเลขหนึ่ง ‘ตอนนี้เชื้อพระวงศ์อยากจะลากหย่งซิ่งลงจากบัลลังก์จนตัวสั่น การให้คนเหล่านั้นยอมรับว่าสายเลือดอวิ๋นโจวเป็นเชื้อสายที่แท้จริง ยังยากกว่าการสังหารคนเหล่านั้นเสียอีก’

หลังจากสรุปรายละเอียดแล้ว ฮว๋ายชิ่งก็กล่าวอย่างเป็นกังวล

‘แม้ว่าราชสำนักจะมั่นคง หลังจากทัพกบฏในอวิ๋นโจวพักการเคลื่อนไหวแล้ว ยงโจวก็ยังจับไม่ได้อยู่ดี หนิงเยี่ยน เจ้าพอจะมีวิธีบ้างหรือไม่’

ฮว๋ายชิ่งภูมิใจในความฉลาด เจ้าแผนการของตนเองอย่างยิ่ง ทว่าเรื่องการไล่ล่าผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์เพียงเรื่องเดียวที่ทำให้นางต้องคิดหนักอยู่นาน นางเคยคิดจะดึงพวกเผ่าพันธุ์กู่ หรือปีศาจทักษิณมาเป็นพวก แต่ถ้าไม่ถูกควบคุม ก็ยุ่งตัวเป็นเกลียว

ยากจะยื่นมือมาช่วยเหลือต้าฟ่งได้

หมายเลขสาม ‘ข้าขอทูลความจริงไม่ปิดบัง พระองค์ ข้าได้ถอนตะปูตอกวิญญาณตัวสุดท้ายออกไป และขึ้นไปถึงขั้นสองแล้ว’

อีกฝ่ายเงียบหายไปนาน ก่อนฮว๋ายชิ่งจะส่งข้อความกลับมา

‘เจ้าทำได้อย่างไร’

นางไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยายความรู้สึกของตนได้ ทั้งยินดี ทั้งพ่ายแพ้ราบคาบ…ความรู้สึกนั้นซับซ้อนปนเป ทว่าสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือนางรู้สึกสุขใจราวกับได้เห็นฟ้าหลังฝน

เฉกเช่นนักเดินทางที่หลงทางอยู่กลางหมอกหนา ในที่สุดก็ฝ่าม่านหมอกนั้นมาได้

หมายเลขสาม ‘ข้าเผยความลับแก่ท่านได้สักเล็กน้อย แต่จำต้องเก็บเป็นความลับนะ’

ฮว๋ายชิ่งตื่นตัวขึ้นมาทันใด

‘ว่ามาสิ’

สาม ‘เป็นหมายเลขแปดที่ช่วยถอนตะปูตอกวิญญาณออก เขาคือตะปูตอกวิญญาณ’

ฮว๋ายชิ่งเบิกตาโพลงอ่านข้อความดังกล่าว กระจกหยกเกือบจะหลุดมือเสียแล้ว

‘หมายเลขแปดคืออาซูหลัวอย่างนั้นหรือ จริงด้วย หมายเลขแปดปลีกวิเวกมาโดยตลอด อาซูหลัวเองก็หวนคืนสู่ตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้เอง หลังจากที่อาซูหลัวกลับคืนสู่แหน่งแล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เลิกปลีกวิเวก ต่อจากนั้นไม่นานก็บอกว่าหมายเลขแปดเลิกปลีกวิเวก ช่วงเวลาประจวบเหมาะพอดี…’ ฮว๋ายชิ่งทั้งดีใจ ทั้งหงุดหงิด

นางประมาทเกินไป จึงไม่ได้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างหมายเลขแปดกับอาซูหลัว

“หากหมายเลขแปดคืออาซูหลัวจริงๆ เขาไม่เพียงแต่ช่วยให้สวี่ชีอันก้าวขึ้นไปสู่ขั้นสอง แต่ตัวเขาเองยังเป็นสมาชิกพรรคฟ้าดิน และเป็นพันธมิตรอีกด้วย เท่ากับว่าจู่ๆ ต้าฟ่งก็มีจอมยุทธ์ผู้เลื่องชื่อด้านพลังต่อสู่ถึงสองคน บุตรในเงามืดของนักบวชเต๋าจินเหลียนคนนี้พลิกสถานการณ์ได้ในคราวเดียว ช่างเก่งกาจนัก…”

ในฐานะที่เป็นจอมวางแผน นางคิดว่าแม้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนจะไม่ได้โอ้อวด แต่เขาคือผู้เดินหมากอันดับหนึ่งของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้เดินหมากที่แท้จริง สิ่งที่งดงามที่สุดหาใช่การงัดทักษะขั้นสูงมาใช้ในระยะเวลาสั้นๆ ทว่าคือการวางหมากด้วยความสุขุม ไม่หวั่นไหว

ฮว๋ายชิ่งมีรายชื่อของบุคคลด้านนี้อยู่ในใจหลายชื่อ รายชื่ออันดับแรกย่อมตกเป็นท่านโหราจารย์อย่างไม่ต้องสงสัย ปั้งเหยี่ยนและทั่นฮวา ตกเป็นของเว่ยเยวียนและสวี่ผิงเฟิง

ตอนนี้มีเพียงมาอีกสองคน คนแรกแม้จะตายไปกว่าห้าร้อยปีแล้ว ก็ยังทำให้ท่านโหราจารย์ทุกข์ทรมานได้ อยู่ในอันดับหนึ่งเช่นเดียวกับท่านโหราจารย์ นักบวชเต๋าจินเหลียนถูกวางไว้ในระดับเดียวกับสวี่ผิงเฟิง

จากนั้นสวี่ชีอันจึงอธิบายถึงการฝึกหนึ่งลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นไตรวิสุทธิเทพ ซึ่งเป็นโดยการใช้ร่างแยกเป็น ‘พิกัด’ ขัดขวางการโจมตีด้วยวรยุทธ์ ‘อนิจจังทั้งสี่’ ของสำนักพุทธ

ฮว๋ายชิ่งเลิกสงสัย ไม่สิ ยังมีข้อสงสัยอีกหนึ่งข้อ

‘เหตุใดหนิงเยี่ยนถึงต้องบอกเรื่องนี้กับนางตามลำพัง’

แต่กลับปกปิดสมาชิกพรรคฟ้าดินคนอื่นๆ

เพราะมีเพียงเจ้าที่ยังไม่ทำเรื่องน่าอับอายต่อหน้าธารกำนัล ดังนั้นจะบอกหรือไม่บอกเจ้า ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร…สวี่ชีอันส่งข้อความอธิบาย

‘เรื่องนี้จำเป็นต้องขอได้รับการอนุญาตจากอาซูหลัว ข้าลำบากใจที่จะเปิดเผยความลับของคนใกล้ตัว แต่กับพระองค์ กระหม่อมจงรักภักดีไม่เสื่อมคลาย ย่อมกราบทูลสิ้นทุกสิ่งที่กระหม่อมทราบ’

ที่ตำหนังฮว๋ายชิ่ง ในห้องทรงพระอักษรยามบ่าย ฮว๋ายชิ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ ใช้มือต่างพู่กันเขียนข้อความส่งไป ‘ข้าเกือบหลงเชื่อเสียแล้ว…’

นางไม่ได้ส่งข้อความนั้นไป แต่ใช้ปลายนิ้วมือลบทิ้ง แล้วเขียนใหม่

‘เป็นเพราะพวกเขาต่างเย้ยหยันอาซูหลัวในกลุ่มกันยกใหญ่นั่นล่ะ…’

พอคิดๆ ดูแล้ว ก็ลบทิ้งอีกครั้ง

จนในที่สุดก็ส่งข้อความตามปกติ

‘ข้ารู้แล้ว’

สาม ‘พระองค์ คำถามสุดท้าย…’

สำนักโหราจารย์

สวี่ชีอันลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำ สองมือกระชับเอวคอดของมู่หนานจือ นางยกขาเกี่ยวเอวกำยำไว้แน่น สองแขนคล้องคลองของเขา พลางซบหน้าลงกับบ่าของสวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว

สีผิวของทั้งสอง คนหนึ่งขาวใส คนหนึ่งผิวแทน ให้ความรู้สึกขัดแย้งอย่างรุนแรง

เขาวางมู่หนานจือลงเป็นเตียงนอนอย่างแผ่วเบา ถอนด้ามจับที่สอดใส่ในกายนางออก

เทพดอกไม้ส่งเสียง ‘อืม’ ในขณะหลับลึก คิ้วเรียวชวนมองขมวดเข้าหากันเล็กน้อย

ผู้หญิงคนนี้อึดยิ่งกว่ายาโด๊ปขนานใดเสียอีก…สวี่ชีอันห่มผ้าให้นางอย่างไม่อิดออด แล้วหยิบกำไลที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสวมที่ข้อมือเย็นเฉียบยิ่งกว่าหิมะ

แล้วเทพดอกไม้ก็กลายสภาพจากยาโด๊ปที่แรงที่สุดในปฐพี เป็นป้าแก่ที่เห็นแล้วใจเย็นเหมือนน้ำ

จากนั้นสวี่ชีอันจึงหยิบดาบไท่ผิงออกมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วสั่งการ

“คอยดูแลนายหญิงของเจ้าเอาไว้ให้ดี อย่าให้ใครเข้ามาได้ เข้าใจหรือไม่”

ดาบไท่ผิงสั่น ‘อืดๆ’ เป็นการบอกว่า ‘เข้าใจแล้ว’

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง