ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 75

สำนักสังคีต หออิ่งเหมย

สวี่ชีอันเอนกายพิงตั่งอย่างเกียจคร้าน เครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพาดอยู่บนพนักพิง

ภายในห้องกว้างขวาง นางรำหกคนกำลังร่ายรำ เอวคอดกิ่วส่ายไหวอยู่ใต้กระโปรงโปร่งบาง

สาวใช้คนหนึ่งกำลังนวดหลังให้สวี่ชีอัน ส่วนขาของเขาก็วางอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้อีกคนให้นางบีบนวด

นางคณิกาสวมชุดกระโปรงยาวหรูหราสลับซับซ้อนก้มหน้าเล็กน้อย จดจ่อตั้งใจอยู่กับการดีดกู่ฉิน

บางคราวก็เงยหน้ามองสวี่ชีอันที่กำลังเพลิดเพลินในความสุขจนลืมบ้านเกิด

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงกู่ฉินค่อยๆ แผ่วเบา เหล่านางรำถอยออกจากห้อง ฝูเซียงลุกขึ้นอย่างงามสง่า ล้างมือในอ่างทองแดงแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ “ที่แท้คุณชายหยางก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่เอง”

“ทำให้เจ้าผิดหวังหรือ” สวี่ชีอันก้มหน้าเล่นนิ้วมือน้อยแล้วเอ่ยกลับอย่างเรียบเรื่อย

นางคณิกายกกระโปรงขึ้นตั่งไปนั่งบนร่างของเขา สองมือกดอยู่ที่อกแกร่งแล้วแย้มยิ้มหยาดเยิ้ม “ข้าพึงใจเจ้าค่ะ…”

สาเหตุที่สวี่ชีอันเปลี่ยนมายังสำนักสังคีต หลักๆ ก็เพราะอยู่ใกล้ ไม่ใช่เพราะว่ากินอาหารฟังดนตรีที่หอคณิกาต้องเสียเงิน แต่ที่นี่ฝูเซียงไม่คิดเงินเขาหรอกนะ

หมายเลขหกรู้เนื้อหาที่ข้าคุยกับหมายเลขเก้าได้อย่างไร ชิ้นส่วนของหมายเลขสามถูกผนึก ดังนั้นจึงไม่อาจรับข้อความจากเจ้าของชิ้นส่วนคนอื่นๆ ได้ แต่เจ้าของคนอื่นๆ สามารถมองเห็นข้าได้อย่างนั้นหรือ หนังสือปฐพีนี่เป็นเวอร์ชันโบราณของแอป QQ แน่เลย… รู้อยู่แล้วว่าหลังหยดเลือดเป็นเจ้าของ ข้าจะสามารถเพิ่มเพื่อนทีละคนได้…เวลานั้นตกใจนิดหน่อย คิดเพียงแต่จะโยนเผือกร้อนหัวนี้ออกไปเท่านั้น…พรรคฟ้าดินกับนิกายปฐพีคล้ายจะมีที่มา…สำนักแตกแยกหรือ

ความคิดของสวี่ชีอันถูกขัด เขาขมวดคิ้วมองนางคณิกาที่นัยน์ตาซ่อนแฝงรอยเย้ายั่ว

นางมีดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์

“เจ้าอย่าได้ซุกซน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่พอใจ

ครู่ต่อมา เหล่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็ได้ยินเสียง

“พวกเราไปกันก่อนเถิด คาดว่าคงจะถึงยามเย็นนู่น”

ร้านกุ้ยเยว่ ห้องรับรองคู่หงส์เคียงประสาน

ชายสวมชุดจิ้นจวง[1]สีดำผู้หนึ่งมือกุมดาบนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะกลม

ชายชุดดำของมีรอยแผลเป็นยาวสองนิ้วที่แก้ม ดวงตาสามเหลี่ยม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายดุร้ายวาบผ่านเป็นครั้งคราว

ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้าหัวรั้น ราวกับหากพูดไม่เข้าหูก็จะชักดาบมาฟันคน ปราณพิฆาตนั้นล้ำลึก

เขาเป็นนักโทษประหารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นประเภทที่นามของเขาถูกร่างโดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน และวันประหารคือหลังฤดูสารทปีหน้า

วันนี้จู่ๆ ก็ถูกฆ้องทองคำคนหนึ่งฉุดขึ้นมาจากคุกประหาร ฆ้องทองคำผู้นั้นบอกเขาว่าขอเพียงเขาทำภารกิจหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถปล่อยเขากลับสู่ยุทธภพและหาคนมาแทนที่เขาในฐานะนักโทษประหารได้

คำกล่าวนี้มีความน่าเชื่อถือสูงมาก รายชื่อที่จักรพรรดิเคยร่างนั้น ปกติจะหมายถึงต้องตายอย่างไร้เงื่อนไข ไม่อาจได้รับการอภัยโทษ การหาคนมาแทนที่จึงเป็นการดำเนินการอย่างถูกต้อง

การแลกเปลี่ยนประเภท ‘ใช้ผลงานมาไถ่ถอน’ เช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่แล้ว ตอนที่เขายังไม่ถูกจับกุมก็เคยได้ยินผู้อาวุโสในยุทธภพพูดถึงกัน

ภารกิจของเขาง่ายมาก แค่ต้องทำการแลกเปลี่ยนของอย่างหนึ่ง

แต่ชายชุดดำรู้ว่าจะต้องมีอันตรายใหญ่หลวงแฝงเร้นไว้แน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดจะต้องใช้นักโทษประหารมาทำการแลกเปลี่ยนง่ายๆ เช่นนี้ด้วย

เหตุผลที่ชายชุดดำรับภารกิจนี้มาก็คือ หนึ่ง ตายไปเฉยๆ ไม่สู้มีโอกาสสักเล็กน้อย สอง ร้านกุ้ยเยว่ในเมืองชั้นในของที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด

คนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในสถานที่แบบนี้

ตอนนี้เอง เขาก็ได้ยินเสียง ‘ก๊อก ก๊อก’ สองครั้งดังมาจากประตูห้องรับรอง

“ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ เข้ามาสิ!” ชายชุดดำเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง

ประตูห้องรับรองถูกผลักออก ชายผู้แต่งกายแบบชาวยุทธ์ก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในหมวก เผยให้เห็นใบหน้าซีกล่างตรงคางมีไรหนวดสีเขียวอ่อนๆ ที่ดูเหมือนเพิ่งโกน

ทั้งสองฝ่ายมองพิจารณากันและกันอย่างระแวดระวัง

เฮอะ แต่งตัวแบบนี้เข้ามาในเมืองชั้นในไม่ได้แน่…แปดส่วน[2]คงแอบเปลี่ยนหลังเข้ามาในร้านกุ้ยเยว่…ในเสื้อคลุมก็อาจมีอาวุธซ่อนอยู่…ชายชุดดำครุ่นคิดกึ่งดูแคลนกึ่งระแวดระวัง พลางได้ยินเสียงแหบพร่าของชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ยถามว่า

“ของล่ะ”

ชายชุดดำจ้องมองเขาอย่างนิ่งสงบแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนว่าข้าจะเคยบอกว่ากระจกบานนี้ใช้เงินไปห้าร้อยตำลึงทอง”

กระจกบ้าอะไรต้องใช้ตั้งห้าร้อยตำลึงทอง…เขาเสริมหนึ่งประโยคอยู่ในใจ

ชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ย ‘อืม’ แล้วเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อก่อนหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา บนตั๋วเงินใบแรกเขียนไว้ว่ามีราคาหนึ่งร้อยตำลึง

แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องส่งตั๋วเงินเหล่านี้ขึ้นไป แต่เงินทองก็ยังสั่นคลอนจิตใจคน ชายชุดดำดวงตาเป็นประกายอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตาติดตรึงอยู่บนปึกตั๋วเงินหนาๆ จนไม่อาจละสายตาออกมาได้

“กระจก!” ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงแหบแห้ง

ชายชุดดำมองพินิจบานกระจกอย่างละเอียดแล้ววางกระจกที่มองไม่เห็นความวิเศษพิสดารอะไรไว้บนโต๊ะ

ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจนเผยให้เห็นดวงตาคมกริบดุจมีด จดจ้องมองกระจกบนโต๊ะครู่หนึ่ง

“ดีมาก การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น เมื่อออกจากประตูบานนี้ ถือว่าพวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”

เขาหยิบกระจกขึ้นมา นักโทษประหารชุดดำยื่นมือไปยังตั๋วเงินด้วยดวงตาเป็นประกาย

ทันใดนั้น นักโทษประหารชุดดำก็มองเห็นเสื้อคลุมทางด้านซ้ายของชาวยุทธ์ขยับไหวเล็กน้อย…ไม่ได้การแล้ว! นัยน์ตาของเขาหดเกร็งรุนแรงราวกับถูกแสงจ้าส่องเข้ามา เขากลิ้งตลบไปด้านข้างอย่างไม่คิดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น

ภารกิจนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ ด้วย…โชคดีที่ข้าระวังอยู่ตลอด…นี่คือยอดฝีมือ ข้าไม่อาจใช้แข็งชนแข็งได้ ต้องทำลายหน้าต่างแล้วออกไปตรงๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าก่อเรื่องฆ่าคนในย่านใจกลางเมืองของเมืองชั้นใน…ความคิดผุดวาบขึ้นมาในหัวของนักโทษประหารชุดดำ

แต่ตอนนี้เอง เขาก็มองเห็นว่าที่ตำแหน่งเดิมที่ตนเคยนั่งอยู่มีร่างหนึ่งนั่งตัวตรง สวมชุดจิ้นจวงสีดำ สองมือกุมดาบ ลำคอถูกมีดคมปาดจนเรียบ มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผลที่ลำคอ

‘หือ?’

นักโทษประหารชุดดำมีคำถามเป็นชุดลอยขึ้นมาในใจ จากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็ตกสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด

ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเก็บตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ ยิ้มเยาะเบาๆ แล้วหันกายเดินออกจากห้องรับรองไป

ชาวยุทธ์ออกจากร้านกุ้ยเยว่ เขาขึ้นขี่ม้าเร็วแบบตอนที่มาโดยรักษาความเร็วไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เชื่องช้า แล้วจึงออกจากเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก จากนั้นก็ฟาดแส้เร่งม้าเมื่ออยู่บนทางหลวง ฝีเท้าม้าทำให้เกิดฝุ่นควันพวยพุ่ง

เขาควบทะยานมาได้หนึ่งชั่วยามกว่า ด้านหน้าจึงปรากฏโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีโต๊ะเก่าตั้งอยู่สามตัว

คนขายชาเป็นชายชราผมหงอกขาว ช่วงนี้ไม่มีลูกค้า ชายชราจึงนั่งดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะเสียเอง

ชายชาวยุทธ์ดึงบังเหียนม้า ม้าพันธุ์ดีส่งเสียงร้องยาวแล้วยกขาหน้าขึ้น ก่อนหยุดลงหลังจากควบม้าอย่างรวดเร็ว

ชายชาวยุทธ์ผูกเชือกม้าไว้บนเสาไม้ข้างทาง เขามองซ้ายมองขวาแล้วเดินไปยังโรงน้ำชา

เขาหยิบกระจกหยกบานเล็กออกมาแล้วมอบให้ด้วยสองมืออย่างเคารพนอบน้อม “ท่านหัวหน้า สำเร็จลุล่วงขอรับ”

ชายชราผมหงอกขาวรับกระจกหยกมาแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพาศัตรูกลับมาด้วยหนึ่งคน”

ชายชาวยุทธ์ตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็เห็นชายชราโบกมือผลักเขากระเด็น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง