ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 793

บทที่ 793 เยี่ยมเยียนสำนักพ่อมด

วินาทีต่อมาเขาก็ขจัดอารมณ์หยุมหยิมออกไป ข้อมูลที่เว่ยเยวียนให้เขาแวบเข้ามาในสมอง

มารดาผู้ให้กำเนิดมีนามว่าจีไป๋ฉิง น้องสาวของเจ้าเมืองเฉียนหลง วิทยายุทธ์บำเพ็ญคู่แบ่งเป็นหลอมปราณขั้นแปดและสังเวยปราณขั้นเจ็ด หลังกลับจากเมืองหลวงมาที่เมืองเฉียนหลงเมื่อยี่สิบเอ็ดปีก่อนก็ถูกคุมตัวมาโดยตลอด ไม่ให้ออกจากที่พักสักย่างก้าว

เขาสูดหายใจลึกก้าวเข้าไปในลาน แล้วเคาะประตูที่ปิดแน่นเบาๆ

ในห้องเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะมีเสียงนุ่มนวลของสตรีที่ข่มความตื่นเต้นผสมความประหม่าเล็กน้อยดังออกมา

“ขะ เข้ามา…”

หลายวันมาแล้วที่ไม่มีใครมาเยี่ยมเยียนที่แห่งนี้ นางจึงเดาออกว่าใคร

สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปก็มองเห็นกำแพงที่แขวนด้วยภาพวาดหมึกเป็นอย่างแรก ชั้นวางสูงตั้งอยู่สองข้างม้วนภาพ บนชั้นจัดวางด้วยไม้กระถางเขียวชอุ่มตลอดปีสองกระถาง

ด้านซ้ายเป็นฉากกั้นสี่บานพับ ด้านหลังฉากกั้นเป็นอ่างอาบน้ำ

ม่านลูกปัดห้อยอยู่ด้านขวา หลังม่านมีโต๊ะกลมและเตียง สตรีที่อยู่ในชุดกระโปรงสีอ่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม ไม้จันทน์พริ้วไหวลอยล่อง

ใบหน้าของนางอวบอิ่ม มีใบหน้ารูปไข่ที่งามทุกอิริยาบถ คิ้วตาแสนประณีต ทว่าเกาะตัวด้วยความเศร้าเบาบาง ริมฝีปากอวบอิ่ม ผมถูกรวบขึ้นสูง

แม้นางจะอายุมาก แต่ความงามไม่เสื่อมคลาย สาวงามคุณภาพสูงที่หาได้ยากในช่วงวัยแรกรุ่น

หากข้าสืบทอดใบหน้าของนาง ก็คงไม่ต้องแก้ไขพันธุกรรมด้วยยาคืนชีพ…ขณะที่สวี่ชีอันมองสำรวจนางผ่านม่านลูกปัด หญิงหลังม่านก็กำลังมองเขาเช่นกัน ดวงตาวาวใส คล้ายกับมีหยาดน้ำตาประกายแสง แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

“หนิงเยี่ยนหรือ”

เสียงเรียกหนิงเยี่ยนนี้ช่างเป็นธรรมชาติและเข้ากันอย่างหาที่สุดไม่ได้ คล้ายกับแอบฝึกซ้อมนับครั้งไม่ถ้วน

…สวี่ชีอันเตรียมใจสักพักก็ยังมิอาจออกเสียงคำว่า ‘แม่’ ออกไปได้ แล้วทำเสียง ‘อืม’ โดยไม่แสดงอารมณ์อะไร

จีไป๋ฉิงผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยความหวัง

“มาคุยกันที่โต๊ะเถิด”

“ขอรับ!” สวี่ชีอันเลิกม่านออกและนั่งลงที่โต๊ะ

ระหว่างนี้หญิงสาวมองเขาอยู่ตลอด สายตามองหัวจรดเท้าตั้งแต่ใบหน้าถึงหน้าอกจรดลงเท้า คล้ายกับอยากจ้องมองเพื่อชดเชยที่พลาดไปเมื่อยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา

น่าเสียดายที่แม้นางจะมองอย่างตั้งใจและถี่ถ้วนก็มิอาจชดเชยเวลายี่สิบเอ็ดปีที่หายไปได้

ทั้งสองคนที่ควรจะสนิทสนมกันที่สุด แต่กลับกลายเป็นแปลกหน้าที่สุดนั่งอยู่ด้วยกัน บรรยากาศจึงตึงเครียดเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

สองแม่ลูกนั่งอยู่สักพัก จีไป๋ฉิงก็ทอดถอนใจทำลายความเงียบ

“ยามที่คลอดเจ้าในตอนนั้น เจ้ายังอยู่ในผ้าอ้อม ยี่สิบเอ็ดปีพริบตาเดียวเจ้าก็โตเช่นนี้แล้ว”

แววตาของนางมีทั้งความยินดีและความเสียใจ ในยุคที่ให้ความสำคัญกับลูกชายคนโต ความรักที่พ่อแม่ทั่วไปมอบให้ลูกคนแรก ลูกคนถัดไปมิอาจเทียบได้

สวี่ชีอันครุ่นคิดก่อนจะเอ่ย

“ในเมื่อตอนนั้นหนีไปที่เมืองหลวง เหตุใดถึงยังต้องกลับมาที่เมืองเฉียนหลงอีก”

แววตาของจีไป๋ฉิงมืดลง แล้วเอ่ยเสียงเบา

“สวี่ผิงเฟิงขโมยชะตาบ้านเมืองครึ่งหนึ่งของต้าฟ่งไป ตราบใดที่ท่านโหราจารย์ฆ่าเจ้าก็จะคืนชะตาบ้านเมืองให้ต้าฟ่งได้ ข้ากลัวว่าท่านโหราจารย์จะตรวจพบตัวตนของข้า จึงไม่กล้าอยู่นาน ยิ่งไปกว่านี้ ข้าทำลายแผนการใหญ่ของสวี่ผิงเฟิงกับตระกูล พวกเขาต้องการเป้าหมายระบายโทสะอยู่เสมอ หากข้ากลับไป อาจจะบีบให้พวกเขาเสี่ยงอันตราย เมื่อถึงตอนนั้นไม่ใช่แค่เจ้าที่จะอันตราย น้องรองและน้องสะใภ้อาจจะพลอยเดือดร้อนไปด้วย”

บางทีท่านโหราจารย์อาจจะจับจ้องเจ้าที่แท่นแปดทิศมานานแล้ว…สวี่ชีอันพยักหน้า ทำเสียง ‘อืม’

จีไป๋ฉิงมองเขาพร้อมอ้ำอึ้งอยู่นาน ก่อนจะกำสองมือเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว

“จะ เจ้าเกลียดข้าหรือไม่”

สวี่ชีอันครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าเอ่ย

“ข้าเกลียดเมืองเฉียนหลงและสวี่ผิงเฟิง แต่ข้าไม่เกลียดท่าน”

ประโยคนี้ทำให้จีไป๋ฉิงน้ำตาไหลรินอาบใบหน้า นางร้องไห้แต่กลับยิ้มอยู่ ราวกับความปรารถนาสิ้นสุด คลายปมในใจที่มีมาอย่างยาวนาน

“ยี่สิบเอ็ดปีมานี้ ไม่มีวันเวลาใดที่ข้าไม่คิดถึงเจ้า แต่ก็กลัวที่จะได้พบเจ้า กลัวว่าเจ้าจะเกลียดข้า”

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม

“หากข้าเกลียดท่านก็คงไม่ไว้ชีวิตสวี่หยวนซวงและสวี่หยวนไหวที่ยงโจว”

“ข้ารู้ ข้ารู้…” นางเอ่ยพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบเต็มหน้า

ไม่นานนักนางก็สงบอารมณ์ แล้วเช็ดน้ำตาด้วยผ้าเช็ดหน้าพร้อมเอ่ย

“สายเลือดของเมืองเฉียนหลงในตอนนี้บาดเจ็บล้มตายและทุกข์ยาก กองทัพอวิ๋นโจวพังพินาศ สวี่ผิงเฟิงกับพี่ใหญ่ของข้าสร้างอำนาจขึ้นอีกได้ยาก ในที่สุดก็คุกคามความปลอดภัยของเจ้าไม่ได้ ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นโหรขั้นสอง ถูกเจ้าบีบให้จนมุม เจ้าต้องป้องกันไว้”

พูดตามความจริง นางไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องของคนที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้

ทว่าระหว่างสามีกับลูกชาย นางเลือกลูกชายอย่างไม่ลังเล สามีแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี และตลอดหลายปีมานี้ก็ผิดหวังกับสวี่ผิงเฟิงตั้งนานแล้ว ถึงขั้นเกลียดเข้ากระดูกดำ

สวี่ชีอันเป็นลูกชายคนโตที่นางอุ้มท้องมาเก้าเดือน ไม่ต้องบอกว่าอะไรสำคัญกว่ากัน

ดังนั้นเมื่อกลัวว่าสวี่ผิงเฟิงจะแอบมาแก้แค้น จึงต้องเอ่ยปากเตือน

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“เขาตายแล้ว เจ้าเมืองเฉียนหลงก็ตายแล้ว ข้าฆ่าเองกับมือ”

จีไป๋ฉิงจ้องเขาอย่างตะลึงด้วยสีหน้างุนงง ไม่นานนักก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

“เรื่องจริงหรือ”

สวี่ชีอันทำเสียง ‘อืม’ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก็เห็นนางเปลี่ยนจากสีหน้างุนงงเป็นสับสน บอกได้ยากว่าอยู่ในอารมณ์แบบใด

นางเอ่ยถามเสียงเบาหลังจากผ่านไปนาน

“หยวนซวงกับหยวนไหวล่ะ”

“ถูกขังอยู่ที่สำนักโหราจารย์!” สวี่ชีอันเอ่ย

จากนั้นก็เงียบอีก จีไป๋ฉิงนั่งลงอย่างตะลึง

สวี่ชีอันถือโอกาสลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ย

“พรุ่งนี้ข้าจะพาท่านกลับจวน จากนี้ก็อยู่ที่เมืองหลวงเถอะ อาสะใภ้ไม่ได้เจอท่านมายี่สิบปีแล้ว”

เขาคิดว่าต้องให้พื้นที่มารดาผู้ให้กำเนิดอยู่ตามลำพังสักหน่อย ช่วงเวลาบอกลาและระลึกถึงอดีต

‘อยู่ที่เมืองหลวง’…ดวงตาขาดชีวิตชีวาของจีไป๋ฉิงประกายแสงสว่างในที่สุด

สวี่ชีอันออกจากเรือนเล็กและตรงไปที่คุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ภายในห้องสอบสวนที่มืดและชื้นมองเห็นหนานกงเชี่ยนโหรวใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมองและไม่พอใจ

ร่างมนุษย์เลือดเนื้อเหวอะหวะนอนอยู่ข้างเตาถ่าน

ภายในที่ทำการปกครองทุกที่ในเมืองหลวงถูกขังเต็มไปด้วยนายพลของกองทัพอวิ๋นโจว ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมจำนนจะปล่อยผ่านไปได้ ความจริงแม้จะเป็นพลทหารธรรมดาก็ต้องสักหน้าและเนรเทศ

“จับตาดูแม่ของข้า อย่าให้นางทำเรื่องโง่ๆ พรุ่งนี้ข้าจะมารับนาง”

สวี่ชีอันมองสาวงามที่จากกันไปนานครึ่งปี

พูดตามความจริง เขาลืมหนานกงเชี่ยนโหรวไปแล้ว วิชาอำพรางความลับสวรรค์รับมือยากที่สุด มันเกี่ยวข้องกับเหตุต้นผลกรรมแต่กลับไม่เกี่ยวข้องกับชั้นยศเท่าไร

ยกตัวอย่างเช่น ซุนเสวียนจีปิดกั้นคนสัญจรคนหนึ่ง เช่นนั้นแม้สวี่ชีอันจะเป็นเทพยุทธ์ก็จำคนสัญจรผู้นี้ไม่ได้

เพราะเขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคนสัญจร ไม่ได้มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ

สวี่ชีอันและหนานกงเชี่ยนโหรวมีความสัมพันธ์เป็นสหายข้าราชการธรรมดา เหตุต้นผลกรรมตื้นเกินไป ตรงข้ามกลับเป็นขุนนางเก่าเฉกเช่นซ่งถิงเฟิง เมื่อเห็นเครื่องมือทรมานที่หนานกงเชี่ยนโหรวคิดค้นขึ้นก็รู้สึกเสียวแปลบ

“นางจะตายไม่ตาย แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”

หนานกงเชี่ยนโหรวเย้ยหยัน

เขาต่างจากคนอื่น เมื่อพบกับการเติบโตของสวี่ชีอันและหลากหลายการกระทำอันรุ่งโรจน์ ความคิดก็ผันเปลี่ยนไปเอง

หนานกงเชี่ยนโหรวไม่มีทางรู้สึกเกรงกลัวดุจเทิดทูนเทพเจ้ากับฆ้องเงินตัวเล็กผู้นี้ภายในเวลาอันสั้น

สวี่ชีอันคิดถึงหนานกงเชี่ยนโหรวที่มักจะถากถางตนในช่วงแรกและโอ้อวดโดยอาศัยพลังบำเพ็ญของขั้นสี่ จึงเอ่ยขึ้น

“หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ข้าจะส่งเจ้าไปรับแขกที่สำนักสังคีต เว่ยกงก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

หนานกงเชี่ยนโหรวเปลี่ยนสีหน้า ทำเสียงฮึดฮัด

สวี่ชีอันเดินออกจากคุก หันกลับไปนั่งที่ห้องชุนเฟิงสักพักหนึ่ง ดื่มชากับหลี่อวี้ชุน แล้วไปหาซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวต่อเพื่อนัดพวกเขาไปฟังบรรเลงเพลงที่หอคณิกาในวันพรุ่งนี้

ท้องฟ้าสีคราม เมฆมงคลดูลอยล่องอย่างเชื่องช้า แต่ความจริงกลับฉับไว ไม่นานนักก็รีบกลับเมืองจิ้งซานในที่สุด

สายตาของน่าหลันเทียนลู่ทอดมองจิ้งซานอันเปล่าเปลี่ยวอยู่ห่างไกล แล้วถอนใจเอ่ย

“จิ้งซานจัดเป็นอันดับแปดถ้ำสวรรค์แดนสุขาวดีของจิ่วโจว ผู้มากพรสวรรค์ที่เกิดในสภาพแวดล้อมล้ำเลิศ ภูมิลักษณ์แฝงด้วยจิตวิญญาณ ก่อนจะออกรบด่านซานไห่ตอนนั้น ภูเขาลูกนี้เขียวชอุ่ม สัตว์ปีกวิญญาณและอสูรเหินเวหา หรือโสมหยกร้อยปีก็มีครบครัน คาดไม่ถึงว่าหวนกลับบ้านเกิดเมืองนอน จะกลายเป็นเช่นนี้แล้ว”

พลังวิญญาณที่จิ้งซานถูกซ่าหลุนอากู่พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ดูดจนสะอาดในตอนนั้น เดิมทีปลุกเสกร่างของเจินเต๋อเพื่อช่วยเขาฆ่าเว่ยเยวียน

ใครจะคิดว่าเว่ยเยวียนจะเรียกปราชญ์ขงจื๊อศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำลายไม้ตาย

นกทะเลโบยบินอยู่ห่างไกล ไถลตัวติดกับผิวน้ำ ดิ่งหัวลงในบางครั้งเพื่อจับเหยื่อในน้ำ

ตงฟางหว่านหรงทอดมองผิวน้ำที่ประกายแสงวิบวับ แล้วเอ่ยอย่างประหลาดใจ

“มีปราณชีวิตอยู่ในทะเลหรือ”

ครั้งล่าสุดที่นางมายังเมืองจิ้งซานก็รับหน้าที่ไปดินแดนประจิมทิศต้อนรับน่าหลันเทียนลู่เจ้าแห่งวัสสานกลับ

ตงฟางหว่านหรงจำได้อย่างแม่นยำว่า ตอนนั้นใกล้ชายฝั่งทะเลเงียบสงัด ในทะเลไร้ปลาและกุ้ง ปราศจากนกโบยบินในท้องนภา

น่าหลันเทียนลู่ได้ยินก็ปรายตามองผิวน้ำ

ไม่นานนักเขาก็ร่อนลงจากเมฆมงคล แล้วพาศิษย์น้องไปที่หน้าผาริมทะเล

ซ่าหลุนอากู่ในชุดคลุมยาวผ้าป่านเรียบง่าย เคราขาวบดบังครึ่งใบหน้า รออยู่นานก่อนจะยิ้มกริ่มพร้อมเอ่ย

“เมืองจิ้งซานมีเจ้าของแล้ว”

น่าหลันเทียนลู่เคยเป็นเจ้าเมืองจิ้งซานมาก่อน

“พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่พบกันอีกแล้วขอรับ!”

น่าหลันเทียนลู่คารวะ จากนั้นก็ตรงเข้าประเด็น

“เทพพ่อมดได้คำนวณเวลาเฉพาะของภัยพิบัติครั้งใหญ่หรือไม่ รวมถึงสถานการณ์อย่างละเอียดด้วย”

ซ่าหลุนอากู่ส่ายหน้าช้าๆ ทอดมองแท่นบูชาสูงตระหง่านไกลออกไป รวมถึงชายหนุ่มที่สวมมงกุฎหนามบนแท่นบูชา

“วันที่เทพพ่อมดทำลายผนึก ย่อมได้รู้ทุกสิ่ง”

น่าหลันเทียนลู่ไม่ได้ถามอีก แล้วเอ่ยอย่างปลงตก

“สวี่ชีอันเลื่อนเป็นจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งแล้ว นับแต่อู่จงก็ไม่เคยมีจอมยุทธ์ขั้นหนึ่งปรากฏตัวในที่ราบลุ่มภาคกลางมานานกว่าห้าร้อยปี”

ตงฟางหว่านหรงที่เงียบขรึมและนอบน้อมอยู่บนขอบได้ยินก็ตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว

ครั้งแรกที่นางรู้จักสวี่ชีอัน น้องสาวตงฟางหว่านชิงเกิดปะทะกับเขาระหว่างทางที่มุ่งไปเหลยโจว

ตอนนั้นร่างของสวี่ชีอันมีผนึก แม้แต่หว่านชิงก็เอาชนะไม่ได้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง