บทที่ 868 ความลับของมหาเคราะห์ (2)
……….
“ท่านเจ้าหน้าที่!”
จู๋ไล่ก้มหัวด้วยความนอบน้อมถ่อมตัว ก้าวไปข้างหน้า ทำท่ายอมจำนนแล้วอธิบายว่า
“พวกเรากำลังจะไปทำมาค้าขายที่เมืองป้านเยว่ มีอะไรให้เรารับใช้รึ?”
ทหารรักษาการณ์ผู้ถือหอกตะคอกเสียงเย็นชา
“ผู้นำทางอยู่ไหน? พามันออกไป!”
‘ผู้นำทาง’…จู๋ไล่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เมืองป้านเยว่อยู่ห่างจากที่นี่เพียงสี่สิบลี้ เดินทางไปไม่จำเป็นต้องมีผู้นำทาง เฉพาะเมื่อระยะทางเกินร้อยลี้เท่านั้นที่คนเดินเท้าและกองคาราวานต้องมีผู้นำทาง
ผู้นำทางจากจวนเจ้าเมือง
กองคาราวานของจู๋ไล่ปลอมตัวมาย่อมไม่อาจรับผู้นำทางจากจวนเจ้าเมืองได้
เมื่อเห็นจู๋ไล่เงียบไป ทหารรักษาการณ์ผู้กั้นถนนก็ทำสายตาเฉียบคม ในขณะที่ทหารรักษาการณ์สามนายที่อยู่ด้านข้างก็มองเขาด้วยสายตาเย็นชา
จู๋ไล่ใจสั่น เขามองกลับไปด้านหลังเห็นลูกศิษย์ของสหายตัวสั่นงันงกจึงหันไปยิ้มอย่างอ่อนน้อมถ่อมตัว
“ขะ…ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน…เหตุใดต้องมีผู้นำทางไปเมืองป้านเยว่ด้วยล่ะ?”
เขาเกิดมาเป็นขอทาน สามารถก้มหน้าก้มตาโค้งคำนับได้ ใช้แค่ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนทำให้ผู้อื่นพอใจย่อมเป็นทักษะทางวิชาชีพ
ทหารรักษาการณ์ผู้มีสายตาเฉียบคมพอใจกับท่าทางของจู๋ไล่มาก จึงอธิบายว่า
“นี่เป็นกฎจากเบื้องบน อย่าถามว่าเพราะอะไร”
‘เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน’
คำตอบของมันทำให้จู๋ไล่โล่งใจ เพราะที่เขาคิดเมื่อครู่คือ ในกลุ่มของเขามีคนทรยศ!
รายงานเรื่องการอพยพพุทธศาสนิกชนนิกายมหายานให้จวนเจ้าเมืองรู้
ควรรู้ว่ามีพุทธศาสนานิกชนนิกายมหายานอยู่เป็นจำนวนมากและบางกลุ่มไม่ยอมอพยพไปทางบูรพาทิศ ทั้งยังไม่อยากไปจากดินแดนประจิมทิศและไม่อยากเห็นผู้อื่นจากไป ด้วยความคิดที่บิดเบี้ยวเช่นนี้จึงไม่ใช่ว่าจะไม่มีผู้รายงาน
แม้กลุ่มผู้นับถือพุทธศาสนานิกายมหายานระดับสูงจะให้สัญญาว่าจะไม่ละทิ้งหรือเพิกเฉยต่อผู้ศรัทธาที่อยู่ในดินแดนประจิมทิศ ทั้งยังสนับสนุนให้ผู้ศรัทธาแสวงธรรมอยู่ในดินแดนประจิมทิศต่อไป
เรื่องนี้ทำให้ผู้ศรัทธาพอใจในระดับหนึ่ง
แต่จู๋ไล่เกิดมาเป็นขอทานและคุ้นเคยกับธรรมชาติของมนุษย์อันแสนอัปลักษณ์ ดังนั้นเขาจึงสงสัยทันทีว่าเหล่าเจ้านายของเขาถูกหักหลัง
โชคดีที่ดูเหมือนจะเป็นอย่างอื่น?
“ท่านเจ้าหน้าที่ กรุณาข้าหน่อยได้หรือไม่” จู๋ไล่หยิบแผ่นเงินออกจากแขนเสื้อแล้วส่งให้ทหารรักษาการณ์เงียบๆ
“ไอ้สารเลวบูรพาทิศ!”
ทหารรักษาการณ์โกรธจัดและดุว่า
“เราเป็นนักรบที่ภักดีต่อท่านเจ้าเมือง คำสั่งจากจวนเจ้าเมืองคือศรัทธาของเรา”
จู๋ไล่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงหยิบเหรียญเงินออกมาอีกสามเหรียญอย่างไม่เต็มใจและพูดด้วยท่าทีพินอบพิเทา
“ท่านเจ้าหน้าที่ ดูนี่สิ…”
ทหารรักษาการณ์คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดน้ำเสียงแผ่วเบา
“พระพุทธเจ้าตรัสว่าพระพุทธองค์จะไม่ยอมให้ผู้ศรัทธาพระองค์ต้องทนทุกข์ ข้าคิดเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองก็คงเช่นกัน”
เขามองไปทางทหารรักษาการณ์ทั้งสามนายที่อยู่ข้างหลังเขาแล้วถามว่า
“พวกเจ้าว่าพูดถูกหรือไม่?”
ทหารรักษาการณ์ทั้งสามนายพยักหน้าอย่างจริงจัง
หลังจากติดสินบนแล้ว จู๋ไล่ก็ถอนหายใจโล่งอก แล้วหันกลับมาสั่งการ
“ออกเดินทาง!”
กองคาราวานออกจากเมืองได้อย่างราบรื่นและเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ บนถนนราชการที่เป็นหลุมเป็นบ่อนอกเมือง
ดวงตะวันสาดแสงมาที่พวกเขา ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปล่งประกาย ราวกับว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าสู่ชีวิตใหม่
ศาสนาพุทธนิกายมหายานถูกห้ามเผยแผ่ในดินแดนประจิมทิศ ดังนั้นพวกเขาจึงไปยังที่ราบลุ่มภาคกลางเพื่อเผยแผ่ศรัทธาในที่ราบลุ่มภาคกลางอันอุดมสมบูรณ์
ในเวลาเดียวกัน ในนครรัฐสำคัญๆ และประเทศต่างๆ ในดินแดนประจิมทิศ ก็มีกลุ่มขบวนที่คล้ายคลึงกันออกจากบ้านที่พวกเขาเกิดและเติบโตมา มุ่งหน้าสู่ถิ่นทุรกันดารด้วยความศรัทธา
เป็นเหมือนลำธารสายเล็กๆ ไหลรวมกันสู่ทะเล
…
อรัญตา
พระโพธิสัตว์หลิวหลีประทับยืนอยู่บนยอดเขา มองดูฝูงชนหนาแน่นบริเวณเชิงเขา ผู้ที่มีสถานะและสถานภาพอยู่ในดินแดนประจิมทิศแทบทุกคนล้วนอยู่ที่นี่
บนที่ราบเชิงเขาศักดิ์สิทธิ์มีกระโจมแตกต่างกันมากมายจำแนกได้ตามผ้าคาดหัวหลากสีสันที่ผูกไว้
“หลังจากยุทธการด่านซานไห่ โชคชะตาของข้าในสำนักพุทธก็เปรียบเสมือนปรุงอาหารด้วยน้ำมันตั้งไฟร้อน หากเราสามารถรวมเสินซูเข้ามาอยู่ด้วยกันได้ พระพุทธเจ้าก็จะเป็นระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งที่สุดในจิ่วโจว”
เสียงที่ไม่อาจแยกแยะได้ว่าบุรุษ สตรี เด็กหรือผู้ใหญ่ดังมาจากด้านหลัง
ภิกษุรุ่นเยาว์นุ่งห่มผ้ากาสายะเดินจงกรมพนมมือเอ่ยวาจา
“แม้นไม่ผสานรวมเสินซูเข้ามา พระพุทธเจ้าก็นับเป็นระดับสุดยอดที่แข็งแกร่งทรงพลังที่สุดอยู่แล้ว ตราบใดที่โชคชะตาของดินแดนประจิมทิศยังไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าในความคิดของข้า พระพุทธเจ้ากำราบศีรษะเสินซูและหลับใหลมาเป็นเวลาห้าร้อยปี จึงนับว่าสูญเสียโอกาสไปมากมาย”
ดวงตาหลิวหลีส่องประกายบริสุทธิ์ผ่องใส ริมฝีปากอวบอิ่มเย้ายวน ผิวพรรณสวยงามละเอียดอ่อน นับว่าแตกต่างจากชาวดินแดนประจิมทิศผู้มีผิวหยาบกร้านมากมายนัก
พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจ
“นั่นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว”
จุดประสงค์ที่พระพุทธเจ้าสร้างระบบการบำเพ็ญคู่ในวรยุทธ์เซนขึ้นมาคืออะไร?
หากเป็นระดับสุดยอดก่อนแล้วจึงเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าว จึงจะอยู่ยงคงกระพันในฟ้าดินอย่างแท้จริง
ทว่าการที่เผ่าพันธุ์มนุษย์ในที่ราบลุ่มภาคกลางมีนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อปรากฏขึ้น และปิดผนึกระดับสุดยอดทั้งหมดในจิ่วโจวไว้ ย่อมขัดขวางแผนการทั้งปวงของพระพุทธเจ้าโดยสิ้นเชิง บีบบังคับให้ต้องแสวงหาหนทางอื่น
จากนั้น ‘ร่างอวตาร’ ของเสินซูที่ไม่มีใครควบคุมได้จึงถือกำเนิดขึ้น ต่อมา เพื่อให้เป็นไปตามแผน พระพุทธเจ้าได้ตัดแบ่งร่างของเสินซูและปิดผนึกเสินซูไว้ เดิมทีก็วางแผนจะย่อยหัวเสินซูก่อน…
“เทพยุทธ์ครึ่งก้าวเป็นอมตะ ต่อให้เป็นระดับสุดยอด ก็ทำได้เพียงปิดผนึก ย่อมไม่อาจสังหารได้” พระโพธิสัตว์กว่างเสียนถอนหายใจอีกครั้ง
หลังจากหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เขาก็ไปยืนเคียงข้างหลิวหลีผู้สง่างามไร้ที่เปรียบ ทอดสายตามองลงไปยังผู้ศรัทธาจำนวนมหาศาลบนที่ราบและยิ้มเย้ย
“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรายังนำหน้าเทพกู่กับเทพพ่อมดอยู่หนึ่งก้าว
“ถึงกระนั้น ข้ายังได้ยินมาว่าสวี่ชีอันออกทะเลอย่างนั้นรึ?”
พระโพธิสัตว์หลิวหลีพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อเขาไม่ได้สังหารเจียหลัวซู่ เขาจึงทำได้เพียงออกทะเลเท่านั้น น่าเสียดายที่เทพมารโบราณได้กลืนกินลูกหลานเทพมารโพ้นทะเลตรงหน้าเขาไปนานแล้ว”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง