ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 870

สรุปบท บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1): ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ตอน บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1) จาก ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1) คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1)

……….

“นี่เป็นสาเหตุที่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อต้องผนึกระดับสุดยอด และเป็นต้นเหตุความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเรากับระดับสุดยอดอีกด้วย”

ท่านโหราจารย์เผยสีหน้าเคร่งเครียดที่หาได้ยากยิ่ง สวี่ชีอันไม่เคยเห็นท่านโหราจารย์จริงจังขนาดนี้มาก่อน

เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยเห็นหยางเชียนฮ่วนไม่วางท่าโอ้อวด

“พวกเจ้าคิดว่าวิถีแห่งฟ้านั้นไร้เมตตา หรือมีเมตตา?”

สวี่ชีอันสบสายตากับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเอ่ยขึ้น

“สวรรค์นั้นเห็นแก่ตัวที่สุด แต่ดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรมที่สุด

“วิถีแห่งฟ้าที่ไร้เมตตานั้นยุติธรรมต่อสรรพชีวิตที่สุดแล้ว”

แม่มดผมสีเงินพยักหน้า

“ข้าก็คิดเช่นนั้น”

เจ้าน่าจะพูดว่า ข้าก็เหมือนกัน! สวี่ชีอันคิดเงียบๆ

ท่านโหราจารย์กล่าว

“แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพปีศาจ หรือระดับสุดยอดล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดความอ่าน”

เขาไม่ได้พูดต่อแต่สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางต่างก็เข้าใจ

หากระดับสุดยอดเข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้า เช่นนั้นวิถีแห่งฟ้าก็จะมีความคิดอ่านและความปรารถนาส่วนตน

เช่นนี้สามารถเข้าใจได้ว่า หากวิถีแห่งฟ้าแทรกซึมกฎเกณฑ์เฉกเช่นร่างอวตารปรมาจารย์เต๋านิกายสวรรค์ สูญสิ้นสตินึกคิด เช่นนั้นระดับสุดยอดก็ไม่ต้องทนพากเพียร พยายามก้าวสู่การเป็นวิถีแห่งฟ้า

“สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกชีวิตจะต้องถูกกดขี่โดยระดับสุดยอด ไม่สิ วิถีแห่งฟ้า!”

จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสีหน้าเหยเก

กฎเกณฑ์ที่ไร้ความรู้สึกคือกฎเกณฑ์ที่ดี หากวิถีแห่งฟ้ามีสติเป็นของตนเอง มีความคิดและปรารถนาเป็นของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ยังพอป่าวร้องได้บ้างว่า ‘เหล่าขุนน้ำขุนนางมีเกียรติมากกว่าเราหรือ’ หากว่าวิถีแห่งฟ้ามีสตินึกคิด สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมกลายเป็นหุ่นเชิด…สวี่ชีอันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง

“มันจะไม่จบเพียงการตกเป็นทาสเท่านั้น

“อารยธรรมของเผ่าพันธุ์ต่างๆ จะสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ วิวัฒนาการของฟ้าดินจะถึงการอวสาน หรือก้าวไปสู่ทิศทางที่สุดขั้ว”

หากมองในมุมที่กว้างขึ้น อารยธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางเติบโตอย่างกว้างขวางอีกต่อไป คนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องอาศัยภายใต้อาณัติของวิถีแห่งฟ้าเท่านั้น

ท่านโหราจารย์กล่าวยิ้มๆ

“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองยังคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี อนาคตจะเป็นเช่นไร ควรปล่อยให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสิน วิถีแห่งฟ้าไร้เมตตา ถือเป็นความเมตาอันยิ่งใหญ่ที่สุด มันไม่จำเป็นต้องมีความปรารถนาหรือสตินึกคิด ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงผนึกระดับสุดยอดทั้งหลาย เพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวได้มีโอกาสพักหายใจเป็นเวลากว่าหนึ่งพันสองร้อยปี

“ซื้อเวลารอให้ผู้เฝ้าประตูปรากฏตัว”

พูดจบเขาก็หันไปทางสวี่ชีอันแล้วเอ่ย

“เจ้าจงออกทะเลในครั้งนี้เพื่อแสวงหาโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเถอะ”

สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ

เขาล้มเหลวในการกำจัดเจียหลัวซู่ และชิงแก่นแท้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย สิ่งเดียวที่ทำได้คือการออกทะเลเพื่อค้นหาทายาทของเทพปีศาจ

จะเอาแต่กลืนกินอาจารย์โค่วกับอาซูหลัวอย่างเดียวไม่ได้

ท่านโหราจารย์พยักหน้า “อันที่จริงในแผนดั้งเดิมของข้า การชิงหัวกะโหลกของเสินซูกลับมา และกลืนกินเจียหลัวซู่เป็นทางออกที่ดีที่สุด น่าเสียดายที่เจ้าปล่อยโอกาสที่ข้าให้ไปหลุดมือเสียได้”

ในแผนของเขา ข้าต้องเลื่อนขั้นกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวงั้นหรือ? ไม่จริงน่า ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกทะเล การตัดหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดการตัดหน้า ข้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เฝ้าประตูน่ะสิ…

ตาเฒ่าเหรียญปากผีนี่กำลังหลอกข้า หรือเขามีแผนอื่นอยู่แล้ว? เป็นเพราะการปรากฏตัวของข้าเปลี่ยนแผนเขาไปงั้นหรือ…

ข้าล่ะเกลียดเฒ่าเหรียญปากผีนัก…เขาทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยขึ้น

“เช่นนั้นตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร”

วิธีการจัดการกับเฒ่าเหรียญปากผีที่ดีที่สุดคือการหลอกใช้งาน

ท่านโหราจารย์ทอดสายตาไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วกล่าว

“ล่องเรือไปทางนั้นเป็นเวลาสามวัน เจ้าจะพบกับสนามรบโบราณ ที่นั่นเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ อืม ซ่งชิงเจ้าศิษย์ชั่วนั่นคงจะหมุนกงล้อหาวิธีรวบรวมแก่นโลหิตอยู่สินะ”

แม้ว่าเขาจะถามออกไปเช่นนั้น แต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับมั่นใจในตัวศิษย์ชั่วของตนเต็มประดา

สวี่ชีอันมองตามทิศทางที่เขาทอดสายตาออกไป หัวใจเต้นแรง นึกถึงข้อมูลที่ราชินีเงือกมอบให้

“ราชินีแห่งเกาะมนุษย์เงือกบอกข้าว่า ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีสนามรบโบราณอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่งอาศัยอยู่”

ตอนนั้นราชินีเงือกชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หากอ้างอิงตามตำแหน่งในตอนนี้ สนามรบโบราณนั่นต้องอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงตามที่ท่านโหราจารย์พูด

คาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองที่จะต้องเป็นที่เดียวกัน

ท่านโหราจารย์กล่าว

“เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นคือเทพปีศาจระดับสุดยอดสมัยบรรพกาล หลังจากตายในสงครามแล้ว จิตวิญญาณกับเจตจำนงที่เหลืออยู่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นเทพปีศาจไร้วิญญาณ เทียบกับเจียหลัวซู่แล้ว มันเหมาะกับเจ้ามากกว่า

“เพราะจิตวิญญาณของเทพปีศาจตนนั้นคือ ‘เครื่องหมาย’ ของกำลัง ในแง่ของความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ฮวงสิบตัวก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้”

ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายวาบ

สำหรับจอมยุทธ์แล้ว ของความแข็งแกร่งนั้นเย้ายวนเสียยิ่งกว่าหญิงงามล้ำเลิศเสียอีก

หากวางโอกาสที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสองเท่า กับหญิงงามไว้ตรงหน้าของจอมยุทธ์ จอมยุทธ์ย่อมเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลใจ

ในตอนนี้เอง จิ้งจอกเก้าหางที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วถาม

“เหตุใดระดับสุดยอดจึงต้องพึ่งพาโชคชะตาเพื่อแทนที่วิถีแห่งฟ้าเล่า”

“หากรวบรวมโชคชะตาของจิ่วโจวไว้ในตัวคนคนเดียว เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นจิ่วโจว กลายเป็นวิถีแห่งฟ้าน่ะสิ” คำตอบของท่านโหราจารย์สั้นกระชับได้ใจความ

จิ้งจอกเก้าหางพินิจพิเคราะห์

“เช่นนั้น ที่เทพพ่อมดหรือพระพุทธเจ้าต่างต้องการเผยแพร่คำสอนไปทั่วที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมกำลังศรัทธา ก็เพียงเพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวหันมานับถือในสำนักพุทธหรือสำนักพ่อมด แล้วพวกเขาก็จะขึ้นแทนที่วิถีแห่งฟ้าอย่างนั้นหรือ”

ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ

“ในทางตำราถือว่าเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นไปเช่นนั้น ความจริงโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิด

“ต้าฟ่งครอบครองที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมโชคชะตามหาศาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ราบลุ่มภาคกลางจะหวนคืนสู่ต้าฟ่งแล้ว ตั้งแต่พรรคเล็กพรรคน้อยในยุทธภพ ไปจนถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใหญ่ๆ ตราบใดที่พวกเขาเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเผ่าพันธุ์มนุษย์

“นอกจากนั้น ยังมียอดคนดาวเด่นแห่งยุทธภพและราชสำนักทั้งหลาย พวกเขาก็เป็นตัวแทนของโชคชะตาส่วนหนึ่ง

“ต้าฟ่งมีหน้าที่เพียงรวบรวมบุคคลชั้นยอดเหล่านี้ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว

“ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าผู้คนในจิ่วโจวจะนับถือพระพุทธเจ้าหรือเทพพ่อมด พวกเขาก็ไม่ยังอาจครอบครองโชคชะตาของจิ่วโจวได้ นับประสาอะไรกับการแทนที่วิถีแห่งฟ้า?”

จิ้งจอกเก้าหางคล้ายจะจับประเด็นบางอย่างได้รางๆ แต่ยังไม่มั่นใจนัก จึงถามเป็นการลองเชิงต่อ

“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ”

ท่านโหราจารย์มองไปยังสวี่ชีอันแล้วกล่าว

“เจ้าเคยเก็บตราราชลัญจกรที่บรรจุโชคชะตาได้จากมหาสุสาน”

สวี่ชีอันพยักหน้า

ท่านโหราจารย์กล่าว

“ทว่าราชวงศ์นั้นได้ถูกทำลายไปนานแล้วในประวัติศาสตร์”

สวี่ชีอันวิเคราะห์

“โชคชะตาหลอมรวมมาจากผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ทว่าไม่หายไปพร้อมกับการทำลายล้างชีวิตเหล่านั้น ขอเพียงรักษามันไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษ ก็ใช้เป็นพลังได้…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป

จิ้งจอกเก้าหางเบิกตาโพลง

ดินแดนประจิมทิศ

ยอดเขาอรัญตาอัดแน่นด้วยร่างธรรมเก้าร่าง ประดุจเก้าเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ต้อนรับบรรดาผู้ศรัทธา

ทว่าเบื้องหลังแสงเรืองรองที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น กลับมีดวงตาดวงยักษ์คู่หนึ่งที่ปราศจากขนตา อีกทั้งแววตาไร้ซึ่งความรู้สึกกำลังเบิกกว้าง

ลูกตาในเบ้าตาคู่ยักษ์นั้นกลอกไปมาหนึ่งรอบ ลูกตาทั้งสองข้างเคลื่อนไปทางขวา ราวกับกำลังเฝ้ามองบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่เบื้องหลังของตน

ในเวลานี้ บริเวณไหล่เขาอรัญตา ชั้นหินด้านนอกแตกร้าว เผยให้เห็นเนื้อเยื่อสีแดงเข้ม และฟันขนาดใหญ่เรียงตัวเป็นสองแถว

ฟันทุกซี่มีขนาดเท่ากับร่างกายมนุษย์โตเต็มวัย

มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นราวกับกำลังคลี่ยิ้ม

ไม่นานมันก็หุบลง ถูกหินชั้นนอกคลุมทับ กลับกลายสภาพเป็นภูเขาดังเดิม

เสียงสวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์กำลังมีชีวิตขึ้นมา

ณ พื้นที่ราบเชิงเขา มีหญิงสาวอายุยังน้อย สวมอาภรณ์ชั้นสูง ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์การสวดภาวนาของนางด้วยอาการปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง

นางรู้สึกเหมือนตัวเองผล็อยหลับไป ท่าทางสับสน งุนงง ไม่ทราบว่าตัวเองอยู่ที่ใด

เมื่อเหล่าสหายได้ยินเช่นนั้นก็มองลงไปข้างล่าง แต่ไม่เห็นอะไร จึงเอ่ยแกมตำหนิ

“เงาผีสักตัวยังไม่มี อย่ามาทำให้ตกใจเสียให้ยาก”

พลทหารผู้นั้นไม่เชื่อ เขามองไปข้างหน้า พยายามเพ่งสายตามองไปรอบๆ อยู่นาน ก่อนจะยอมแพ้อย่างจำใจ หันมาพูดกับสหายร่วมงาน

“แปลกจริง ข้าเห็นอยู่ตำตา…”

เสียงของเขาหยุดชะงักไป รอบกายว่างเปล่า ไม่เห็นสหายสักคน

ไม่เพียงเท่านั้น ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ที่กำแพงเมืองผิงคังก็หายตัวไปทั้งหมด

ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงัด

พลทหารหันซ้ายมองขวาอย่างลนลาน ไม่อาจทำความเข้าใจกับสถานการณ์ตรงหน้าได้ เมื่อเขาวิ่งไปจนถึงสุดปลายอีกด้านหนึ่งของกำแพงเมือง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายในเมือง เขาจึงรู้สึกถึงความหวาดกลัวอย่างแท้จริง

เมืองทั้งเมืองว่างเปล่า

ในตอนนี้เอง เชิงเทินบนกำแพงเบื้องหน้าห่างออกไปไม่กี่ฉื่อ ก็มีดวงตาที่ปราศจากขนตา และแววตาไร้ซึ่งอารมณ์ปรากฏตัวขึ้น

ทันใดนั้น เชิงเทินทั้งหมดก็ลืมตาขึ้น เรียงรายกันเป็นทิวแถว ลูกตาของพวกมันกลอกกลิ้ง มองไปยังพลทหารนายนั้น

เมืองหลวง

เสื้อผ้าไหมบางเบาแนบเนื้อ เผยรูปร่างโค้งเว้าอวบอัด เนื่องจากเสื้อผ้าเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

นางเลิกผ้าห่มผืนบางขึ้น ผ้าคลุมที่แขวนอยู่บนฉากกันลมก็ลอยมาคลุมไหล่นางทันที

ฮว๋ายชิ่งก้าวเท้าหยกขาวราวหิมะ เร่งฝีเท้าไปตามทางเดินที่มีแสงสลัวส่องผ่านพอให้มองเห็นทาง ไปยังโถงด้านนอกของพระราชวังและตะโกนว่า

“มานี่ซิ!”

นางข้าหลวงที่คอยอยู่ด้านนอก ก้มศีรษะ ก้าวเท้าน้อยๆ เข้ามา แล้วโค้งตัวกล่าว

“ฝ่าบาท กระหม่อมมาแล้วเพคะ”

“ส่งคนไปเชิญนักปราชญ์จ้าวและเว่ยกงมาเดี๋ยวนี้ อีกหนึ่งเค่อให้หลัง ข้าต้องได้พบทั้งสองคน” ฮว๋ายชิ่งพูดจบอย่างรวดเร็ว มองสำรวจตัวเอง แล้วกล่าวเสริม

“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าก่อนก็แล้วกัน”

สิ่งมีชีวิตเลือดเนื้อแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว โดยมีอรัญตาเป็นจุดเริ่มต้น ผืนดิน แม่น้ำมีชีวิตขึ้นมา นครรัฐที่อยู่ไกลออกไปก็มีชีวิตขึ้นมาด้วยเช่นกัน

ใบหน้างดงามของหลิวหลีดั่งรูปปั้น ไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ น้ำเสียงนุ่มนวล ทว่าไม่มีขึ้นลง

“หากผู้ศรัทธาจากดินแดนประจิมทิศมารวมตัวกันที่นี่ได้ทั้งหมด ไม่เกินสามวันพระพุทธเจ้าต้องหลอมรวมดินแดนประจิมทิศได้เป็นแน่”

“พระพุทธเจ้าก็คือดินแดนประจิมทิศ จะบอกว่าหลอมรวมกันได้อย่างไร”

เสียงของเจียหลัวซู่ดังมาจากด้านหลังของนาง

พระพุทธเจ้ากำลังหลอมรวมเข้ากับดินแดนประจิมทิศ สำนักพุทธดำรงอยู่ในดินแดนประจิมทิศมานานหลายพันปี เต็มไปด้วยผู้ศรัทธาทุกหนแห่ง โชคชะตาได้หลอมรวมในสำนักพุทธมานานแล้ว

ดังนั้นย่างก้าวของการเป็นดินแดนประจิมทิศของพระพุทธเจ้าจึงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ถูกขัดขวาง

พระโพธิสัตว์กว่างเสียนกล่าวยิ้มๆ

“เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้แล้ว พระองค์จะเสด็จไปทางตะวันออก กลืนกินชะตากรรมของที่ราบลุ่มภาคกลาง อีกทั้งตอนนี้ เทพเจ้ากู่และเทพพ่อมดยังถูกผนึกอยู่”

พระโพธิสัตว์ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มน้อยๆ

กว่างเสียนมองไปยังเจียหลัวซู่แล้วเอ่ย

“สวี่ชีอันเดินทางออกทะเล แต่ต้องคว้าน้ำเหลวอย่างแน่แท้ ลูกหลานเทพปีศาจระดับสามขึ้นไปถูกเทพปีศาจบรรพกาลกำจัดจนสิ้นซากไปหมดแล้ว

“เขาอาจจะกำลังดิ้นรนอย่างหมดหวัง เพื่อเรียกร้องความสนใจจากท่านก็ได้ ข้าจะรอปิดฉากสังหารเขา”

สีหน้าของเจียหลัวซู่จริงจัง น้ำเสียงสงบราบเรียบ

“เขาไม่อาจหาญก้าวเข้ามาในดินแดนประจิมทิศหรอก”

พูดจบ เขาก็ได้ยินเสียงพระโพธิสัตว์หลิวหลีถามพลางขมวดคิ้ว

“ตู้เอ้อร์อยู่ที่ใด”

…………………………………………………………………..

[1] 釜底抽薪 กลยุทธ์ถอนฟืนก้นหม้อ เป็นกลยุทธ์ที่มีความหมายถึงการพิเคราะห์เปรียบเทียบกำลังของศัตรูในการทำศึกสงคราม ถ้ากองทัพมีน้อยกว่าควรพึงหาทางบั่นทอนขวัญและกำลังใจ ความฮึกเหิมของศัตรูให้ลดน้อยถอยลง

……….

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง