บทที่ 870 ถอนฟืนก้นหม้อ[1] (1)
……….
“นี่เป็นสาเหตุที่นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อต้องผนึกระดับสุดยอด และเป็นต้นเหตุความขัดแย้งที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเรากับระดับสุดยอดอีกด้วย”
ท่านโหราจารย์เผยสีหน้าเคร่งเครียดที่หาได้ยากยิ่ง สวี่ชีอันไม่เคยเห็นท่านโหราจารย์จริงจังขนาดนี้มาก่อน
เช่นเดียวกับที่เขาไม่เคยเห็นหยางเชียนฮ่วนไม่วางท่าโอ้อวด
“พวกเจ้าคิดว่าวิถีแห่งฟ้านั้นไร้เมตตา หรือมีเมตตา?”
สวี่ชีอันสบสายตากับจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปหลายวินาที ก่อนที่ฝ่ายแรกจะเอ่ยขึ้น
“สวรรค์นั้นเห็นแก่ตัวที่สุด แต่ดำเนินไปอย่างเที่ยงธรรมที่สุด
“วิถีแห่งฟ้าที่ไร้เมตตานั้นยุติธรรมต่อสรรพชีวิตที่สุดแล้ว”
แม่มดผมสีเงินพยักหน้า
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
เจ้าน่าจะพูดว่า ข้าก็เหมือนกัน! สวี่ชีอันคิดเงียบๆ
ท่านโหราจารย์กล่าว
“แต่ไม่ว่าจะเป็นเทพปีศาจ หรือระดับสุดยอดล้วนแต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความคิดความอ่าน”
เขาไม่ได้พูดต่อแต่สวี่ชีอันและจิ้งจอกเก้าหางต่างก็เข้าใจ
หากระดับสุดยอดเข้ามาแทนที่วิถีแห่งฟ้า เช่นนั้นวิถีแห่งฟ้าก็จะมีความคิดอ่านและความปรารถนาส่วนตน
เช่นนี้สามารถเข้าใจได้ว่า หากวิถีแห่งฟ้าแทรกซึมกฎเกณฑ์เฉกเช่นร่างอวตารปรมาจารย์เต๋านิกายสวรรค์ สูญสิ้นสตินึกคิด เช่นนั้นระดับสุดยอดก็ไม่ต้องทนพากเพียร พยายามก้าวสู่การเป็นวิถีแห่งฟ้า
“สรรพชีวิตบนโลกใบนี้ ทุกชีวิตจะต้องถูกกดขี่โดยระดับสุดยอด ไม่สิ วิถีแห่งฟ้า!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางสีหน้าเหยเก
กฎเกณฑ์ที่ไร้ความรู้สึกคือกฎเกณฑ์ที่ดี หากวิถีแห่งฟ้ามีสติเป็นของตนเอง มีความคิดและปรารถนาเป็นของตนเอง นี่เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง
แม้ว่าโลกนี้จะไม่มีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ยังพอป่าวร้องได้บ้างว่า ‘เหล่าขุนน้ำขุนนางมีเกียรติมากกว่าเราหรือ’ หากว่าวิถีแห่งฟ้ามีสตินึกคิด สิ่งมีชีวิตทั้งหลายย่อมกลายเป็นหุ่นเชิด…สวี่ชีอันรู้สึกหัวใจหนักอึ้ง
“มันจะไม่จบเพียงการตกเป็นทาสเท่านั้น
“อารยธรรมของเผ่าพันธุ์ต่างๆ จะสิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้ วิวัฒนาการของฟ้าดินจะถึงการอวสาน หรือก้าวไปสู่ทิศทางที่สุดขั้ว”
หากมองในมุมที่กว้างขึ้น อารยธรรมของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีทางเติบโตอย่างกว้างขวางอีกต่อไป คนรุ่นต่อๆ ไปจะต้องอาศัยภายใต้อาณัติของวิถีแห่งฟ้าเท่านั้น
ท่านโหราจารย์กล่าวยิ้มๆ
“นักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อเองยังคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดี อนาคตจะเป็นเช่นไร ควรปล่อยให้คนรุ่นหลังเป็นผู้ตัดสิน วิถีแห่งฟ้าไร้เมตตา ถือเป็นความเมตาอันยิ่งใหญ่ที่สุด มันไม่จำเป็นต้องมีความปรารถนาหรือสตินึกคิด ดังนั้นนักปราชญ์ศักดิ์สิทธิ์ขงจื๊อจึงผนึกระดับสุดยอดทั้งหลาย เพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวได้มีโอกาสพักหายใจเป็นเวลากว่าหนึ่งพันสองร้อยปี
“ซื้อเวลารอให้ผู้เฝ้าประตูปรากฏตัว”
พูดจบเขาก็หันไปทางสวี่ชีอันแล้วเอ่ย
“เจ้าจงออกทะเลในครั้งนี้เพื่อแสวงหาโอกาสเลื่อนขึ้นเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวเถอะ”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ ตอบรับ
เขาล้มเหลวในการกำจัดเจียหลัวซู่ และชิงแก่นแท้พลังศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่าย สิ่งเดียวที่ทำได้คือการออกทะเลเพื่อค้นหาทายาทของเทพปีศาจ
จะเอาแต่กลืนกินอาจารย์โค่วกับอาซูหลัวอย่างเดียวไม่ได้
ท่านโหราจารย์พยักหน้า “อันที่จริงในแผนดั้งเดิมของข้า การชิงหัวกะโหลกของเสินซูกลับมา และกลืนกินเจียหลัวซู่เป็นทางออกที่ดีที่สุด น่าเสียดายที่เจ้าปล่อยโอกาสที่ข้าให้ไปหลุดมือเสียได้”
ในแผนของเขา ข้าต้องเลื่อนขั้นกลายเป็นเทพยุทธ์ครึ่งก้าวงั้นหรือ? ไม่จริงน่า ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ไม่จำเป็นต้องออกทะเล การตัดหน้าก็จะไม่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดการตัดหน้า ข้าก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้เฝ้าประตูน่ะสิ…
ตาเฒ่าเหรียญปากผีนี่กำลังหลอกข้า หรือเขามีแผนอื่นอยู่แล้ว? เป็นเพราะการปรากฏตัวของข้าเปลี่ยนแผนเขาไปงั้นหรือ…
ข้าล่ะเกลียดเฒ่าเหรียญปากผีนัก…เขาทำสีหน้าเรียบเฉยแล้วเอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นตอนนี้ข้าควรทำเช่นไร”
วิธีการจัดการกับเฒ่าเหรียญปากผีที่ดีที่สุดคือการหลอกใช้งาน
ท่านโหราจารย์ทอดสายตาไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือแล้วกล่าว
“ล่องเรือไปทางนั้นเป็นเวลาสามวัน เจ้าจะพบกับสนามรบโบราณ ที่นั่นเจ้าจะได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการ อืม ซ่งชิงเจ้าศิษย์ชั่วนั่นคงจะหมุนกงล้อหาวิธีรวบรวมแก่นโลหิตอยู่สินะ”
แม้ว่าเขาจะถามออกไปเช่นนั้น แต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ราวกับมั่นใจในตัวศิษย์ชั่วของตนเต็มประดา
สวี่ชีอันมองตามทิศทางที่เขาทอดสายตาออกไป หัวใจเต้นแรง นึกถึงข้อมูลที่ราชินีเงือกมอบให้
“ราชินีแห่งเกาะมนุษย์เงือกบอกข้าว่า ทางตะวันออกเฉียงเหนือมีสนามรบโบราณอยู่แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีสัตว์ประหลาดน่ากลัวตัวหนึ่งอาศัยอยู่”
ตอนนั้นราชินีเงือกชี้ไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ หากอ้างอิงตามตำแหน่งในตอนนี้ สนามรบโบราณนั่นต้องอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตรงตามที่ท่านโหราจารย์พูด
คาดเดาได้ไม่ยากว่าทั้งสองที่จะต้องเป็นที่เดียวกัน
ท่านโหราจารย์กล่าว
“เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นคือเทพปีศาจระดับสุดยอดสมัยบรรพกาล หลังจากตายในสงครามแล้ว จิตวิญญาณกับเจตจำนงที่เหลืออยู่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน และกลายเป็นเทพปีศาจไร้วิญญาณ เทียบกับเจียหลัวซู่แล้ว มันเหมาะกับเจ้ามากกว่า
“เพราะจิตวิญญาณของเทพปีศาจตนนั้นคือ ‘เครื่องหมาย’ ของกำลัง ในแง่ของความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ฮวงสิบตัวก็ไม่อาจต่อกรกับมันได้”
ดวงตาของสวี่ชีอันเป็นประกายวาบ
สำหรับจอมยุทธ์แล้ว ของความแข็งแกร่งนั้นเย้ายวนเสียยิ่งกว่าหญิงงามล้ำเลิศเสียอีก
หากวางโอกาสที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งเป็นสองเท่า กับหญิงงามไว้ตรงหน้าของจอมยุทธ์ จอมยุทธ์ย่อมเลือกอย่างแรกโดยไม่ลังเลใจ
ในตอนนี้เอง จิ้งจอกเก้าหางที่นิ่งเงียบอยู่นาน จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วถาม
“เหตุใดระดับสุดยอดจึงต้องพึ่งพาโชคชะตาเพื่อแทนที่วิถีแห่งฟ้าเล่า”
“หากรวบรวมโชคชะตาของจิ่วโจวไว้ในตัวคนคนเดียว เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นจิ่วโจว กลายเป็นวิถีแห่งฟ้าน่ะสิ” คำตอบของท่านโหราจารย์สั้นกระชับได้ใจความ
จิ้งจอกเก้าหางพินิจพิเคราะห์
“เช่นนั้น ที่เทพพ่อมดหรือพระพุทธเจ้าต่างต้องการเผยแพร่คำสอนไปทั่วที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมกำลังศรัทธา ก็เพียงเพื่อให้สรรพชีวิตในจิ่วโจวหันมานับถือในสำนักพุทธหรือสำนักพ่อมด แล้วพวกเขาก็จะขึ้นแทนที่วิถีแห่งฟ้าอย่างนั้นหรือ”
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ
“ในทางตำราถือว่าเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติไม่เป็นไปเช่นนั้น ความจริงโหดร้ายยิ่งกว่าที่เจ้าคิด
“ต้าฟ่งครอบครองที่ราบลุ่มภาคกลาง รวบรวมโชคชะตามหาศาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าโชคชะตาทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ราบลุ่มภาคกลางจะหวนคืนสู่ต้าฟ่งแล้ว ตั้งแต่พรรคเล็กพรรคน้อยในยุทธภพ ไปจนถึงกลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ใหญ่ๆ ตราบใดที่พวกเขาเติบโตไปถึงระดับหนึ่ง พวกเขาย่อมเป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตาเผ่าพันธุ์มนุษย์
“นอกจากนั้น ยังมียอดคนดาวเด่นแห่งยุทธภพและราชสำนักทั้งหลาย พวกเขาก็เป็นตัวแทนของโชคชะตาส่วนหนึ่ง
“ต้าฟ่งมีหน้าที่เพียงรวบรวมบุคคลชั้นยอดเหล่านี้ให้ได้ก็เพียงพอแล้ว
“ในทำนองเดียวกัน แม้ว่าผู้คนในจิ่วโจวจะนับถือพระพุทธเจ้าหรือเทพพ่อมด พวกเขาก็ไม่ยังอาจครอบครองโชคชะตาของจิ่วโจวได้ นับประสาอะไรกับการแทนที่วิถีแห่งฟ้า?”
จิ้งจอกเก้าหางคล้ายจะจับประเด็นบางอย่างได้รางๆ แต่ยังไม่มั่นใจนัก จึงถามเป็นการลองเชิงต่อ
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีล่ะ”
ท่านโหราจารย์มองไปยังสวี่ชีอันแล้วกล่าว
“เจ้าเคยเก็บตราราชลัญจกรที่บรรจุโชคชะตาได้จากมหาสุสาน”
สวี่ชีอันพยักหน้า
ท่านโหราจารย์กล่าว
“ทว่าราชวงศ์นั้นได้ถูกทำลายไปนานแล้วในประวัติศาสตร์”
สวี่ชีอันวิเคราะห์
“โชคชะตาหลอมรวมมาจากผู้คนหรือสิ่งมีชีวิตใดๆ ทว่าไม่หายไปพร้อมกับการทำลายล้างชีวิตเหล่านั้น ขอเพียงรักษามันไว้ด้วยกรรมวิธีพิเศษ ก็ใช้เป็นพลังได้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป
จิ้งจอกเก้าหางเบิกตาโพลง
…
ดินแดนประจิมทิศ
ยอดเขาอรัญตาอัดแน่นด้วยร่างธรรมเก้าร่าง ประดุจเก้าเทพเจ้าจากสรวงสวรรค์ลงมาเยือนโลกมนุษย์ ต้อนรับบรรดาผู้ศรัทธา
ทว่าเบื้องหลังแสงเรืองรองที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น กลับมีดวงตาดวงยักษ์คู่หนึ่งที่ปราศจากขนตา อีกทั้งแววตาไร้ซึ่งความรู้สึกกำลังเบิกกว้าง
ลูกตาในเบ้าตาคู่ยักษ์นั้นกลอกไปมาหนึ่งรอบ ลูกตาทั้งสองข้างเคลื่อนไปทางขวา ราวกับกำลังเฝ้ามองบรรดาผู้ศรัทธาที่อยู่เบื้องหลังของตน
ในเวลานี้ บริเวณไหล่เขาอรัญตา ชั้นหินด้านนอกแตกร้าว เผยให้เห็นเนื้อเยื่อสีแดงเข้ม และฟันขนาดใหญ่เรียงตัวเป็นสองแถว
ฟันทุกซี่มีขนาดเท่ากับร่างกายมนุษย์โตเต็มวัย
มุมปากทั้งสองข้างยกขึ้นราวกับกำลังคลี่ยิ้ม
ไม่นานมันก็หุบลง ถูกหินชั้นนอกคลุมทับ กลับกลายสภาพเป็นภูเขาดังเดิม
เสียงสวดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์กำลังมีชีวิตขึ้นมา
ณ พื้นที่ราบเชิงเขา มีหญิงสาวอายุยังน้อย สวมอาภรณ์ชั้นสูง ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์การสวดภาวนาของนางด้วยอาการปวดปัสสาวะอย่างรุนแรง
นางรู้สึกเหมือนตัวเองผล็อยหลับไป ท่าทางสับสน งุนงง ไม่ทราบว่าตัวเองอยู่ที่ใด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง