ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง นิยาย บท 901

บทที่ 901 บรรเลงโหมโรง

……….

ในห้องนอน สวี่ซินเหนียนสวมชุดชั้นด้านในสีขาวนั่งอยู่ที่โต๊ะกลม มองพี่ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ

จากนั้นไม่นาน เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่นว่า “ดังนั้น นี่เป็นการอำลาครั้งสุดท้ายของพี่ใหญ่งั้นรึ? แต่ก็ไม่เป็นไร หากท่านตาย จิ่วโจวก็ยากที่จะหลีกหนีภัยพิบัติได้ ท่านเพียงแค่ก้าวไปก่อนเท่านั้น คงพูดไม่ได้แล้วกระมังว่าครอบครัวของเราจะได้กลับมาพบกันอีกครั้ง”

สวี่ชีอันกล่าวว่า “อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปนัก บางทีข้าอาจจะต้านทานกระแสคลื่นโหมกระหน่ำได้ เจ้าเคยเห็นพี่ใหญ่พ่ายแพ้รึ? แต่ความมั่นใจของข้าก็มีไม่มากจริงๆ เผชิญหน้ากับระดับสุดยอดถึงสองท่าน ความพ่ายแพ้น่าจะมีมากถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ความตายน่าจะมีมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ดังนั้น ข้าจึงต้องมาพบเอ้อร์หลางสักครั้ง จะได้ไม่ต้องเสียใจภายหลัง เจ้าเป็นน้องชายที่ดี ไม่เคยทำให้ข้าผิดหวัง ช่างโชคดีที่ข้ามายังโลกนี้ และมีอารองเช่นนี้ มีอาสะใภ้เช่นนี้ ยังมีเจ้าและน้องสาวอย่างหลิงเยวี่ย หลิงอิน”

สวี่ซินเหนียนกล่าวว่า “สถานการณ์ช่างน่าสิ้นหวังจริงๆ แต่ท่านคือลูกชายคนโตของบ้านรองก็สมเหตุสมผลที่จะตระหนักรู้และแบกรับแรงกดดันที่เกิดขึ้น”

เขาเหลือบตามองดวงตาอันมืดมนของสวี่ซินเหนียนพลางกล่าวให้กำลังใจด้วยรอยยิ้มว่า “หลังจากข้าออกทะเล จงอย่าลืมช่วยเหลือฝ่าบาทและสำนักราชเลขาธิการในการโยกย้ายประชาชนไปยังเมืองหลวง นี่เป็นภารกิจอันหนักอึ้งแต่ก็เป็นสิ่งเดียวที่เจ้าสามารถทำได้ในตอนนี้ พี่ใหญ่เป็นเพียงจอมยุทธ์หยาบคายที่รู้แต่วิธีการต่อสู้ฆ่าฟันเท่านั้น เมื่อเคราะห์กรรมมาถึง สิ่งที่ข้าสามารถทำได้ย่อมมีขีดจำกัด พวกเราจึงจำเป็นต้องร่วมแรงร่วมใจกัน”

สวี่ซินเหนียนพยักหน้า

สวี่ชีอันตบไหล่เขาและกล่าวเสียงเบาว่า “ข้าไปล่ะ!”

“พี่ใหญ่…” สวี่ซินเหนียนลุกขึ้นยืนกะทันหัน มองแผ่นหลังของเขาพลางกล่าวเสียงสะอื้น “ท่านก็เป็นพี่ชายที่ดีเช่นกัน”

สวี่ชีอันโบกมือลาโดยไม่ได้หันกลับมา

วินาทีถัดมา เขาก็ปรากฏตัวในห้องของเย่จี เนื่องจากไม่ได้ปกปิดกลิ่นอาย ฝ่ายหลังจึงสัมผัสถึงเขาได้ทันทีและลืมตาขึ้น

“สวี่หลาง?”

เย่จีทั้งดีใจทั้งประหลาดใจ

ต้องรู้ว่าหลังจากสวี่ชีอันแต่งงานแล้ว ปกติแล้วเขาก็จะพักอาศัยอยู่ในห้องของหลินอัน การสนุกสนานกับนางมักจะเกิดขึ้นหลังรุ่งสางหรือก่อนรุ่งสางของทุกวัน

“ข้ามีเรื่องต้องพูดคุยกับจิ้งจอกเก้าหาง”

สวี่ชีอันนั่งลงที่เตียงและลูบผมของเย่จีเบาๆ

ภายในห้องมืดมิดไร้แสงสว่าง เย่จีอาศัยแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเพื่อดูสีหน้าอันเคร่งขรึมของคนที่นางรัก จิตใจของนางจมดิ่งในทันที แต่กลับไม่ได้ถามอะไรมาก “อืม!”

นางเปิดผ้านวมบางๆ แล้วลุกออกจากเตียง สวมรองเท้าปัก ก่อนจะนั่งยองลงที่พื้นแล้วเปิดกล่องที่อยู่ใต้เตียง จากนั้นก็หยิบกระถางธูปสุนัขจิ้งจอกทองแดงออกมาพร้อมกับธูปสีดำสองดอก

นางใช้ปลายนิ้วสัมผัสปลายธูปจนเกิดไฟส่องสว่าง จากนั้นก็ปักลงในกระถางธูป หลับตา พึมพำคาถาด้วยจิตใจศรัทธา หลังจากนั้นก็สูดลมหายใจเข้า สูดควันเขียวจากธูปสีดำเข้าไปในปากและจมูก

ดวงตาข้างซ้ายของเย่จีค่อยๆ สว่างขึ้น

นางหันไปมองสวี่ชีอันที่ข้างเตียงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คิดถึงข้ารึ?”

น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลและอ่อนหวานราวกับเป็นโทนเสียงออดอ้อนระหว่างคู่รัก

นางบิดเอวนั่งลงบนเตียง เกาะเกี่ยวไหล่กว้างของสวี่ชีอัน พลางดึงดูดเขาด้วยสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกรักใคร่

สวี่ชีอันไม่มีอารมณ์เกี้ยวพาราสีกับนาง เขากล่าวเสียงทุ้มว่า “เทพกู่ออกมาจากจี๋เยวียนแล้ว ตอนนี้มีข่าวดีเรื่องหนึ่งและข่าวร้ายเรื่องหนึ่ง”

จิ้งจอกเก้าหางกล่าวเสียงหวาน “ฟังข่าวร้ายก่อน”

สวี่ชีอันมองนางด้วยความสงสาร

“ข่าวร้ายก็คือ เทพกู่ออกทะเลมาตามหาข้าแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องรีบให้เย่จีแจ้งให้เจ้าทราบ”

สีหน้าของ ‘เย่จี’ เปลี่ยนไปในทันที นางคลายแขนที่เกาะเกี่ยวลำคอของเขาลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงคมชัดว่า

“อย่าล้อข้าเล่นนะ”

รวดเร็วอะไรเช่นนี้…สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “เจ้าล้อเล่นกับข้าก่อน เก็บความน่าหลงใหลของเจ้าเถิด”

เมื่อจิ้งจอกเก้าหางนั่งตัวตรงด้วยสีหน้าไม่ดีนัก เขาก็บอกจิ้งจอกเก้าหางเกี่ยวกับเรื่องที่แม่ย่าแห่งเทียนกู่มองเห็นอนาคต

จิ้งจอกเก้าหางมีเก้าชีวิต ไม่สิ แปดชีวิต และยังเป็นเผ่าปีศาจขั้นหนึ่งซึ่งเท่ากับขั้นหนึ่งถึงแปดท่าน

นี่เป็นพลังการต่อสู้ที่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของสงครามท้องถิ่นได้

มีนางอยู่ ผู้แข็งแกร่งเหนือมนุษย์ของต้าฟ่งถึงจะสามารถจัดการกับพระโพธิสัตว์ทั้งสามของสำนักพุทธได้และมุ่งความสนใจไปที่การช่วยเหลือเสินซูได้

หลังจากบอกให้จิ้งจอกเก้าหางรับรู้แล้ว เขาก็ปลอบประโลมเย่จีที่กำลังโศกเศร้า จากนั้นก็เคลื่อนตัวไปยังห้องของมู่หนานจือ

หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งกำลังนอนหลับสนิทและกอดไป๋จีอยู่ในอ้อมแขน

หลังจากถูกสวี่ชีอันทำให้ตื่น นางก็กล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “มีอะไรก็พูดมา อย่ารบกวนการนอนของข้า”

นางมองเพียงแวบหนึ่งก็รู้ว่าสวี่ชีอันไม่ได้มาหานางเพื่อร่วมหลับนอน นี่คือความเข้าใจโดยปริยายระหว่างทั้งสองคน

“เทพกู่หลุดพ้นจากการปิดผนึกแล้ว เขาจะฆ่าท่านโหราจารย์…” สวี่ชีอันเล่าสถานการณ์ให้นางฟัง “ข้าต้องออกทะเลอีกครั้ง”

มู่หนานจือเงียบครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับสั้นๆ “อืม”

“เจ้าพักผ่อนให้สบายเถอะ” สวี่ชีอันหมุนตัวกลับ ภายในใจนับสามสองหนึ่ง

นางเปิดผ้านวมออกกะทันหัน ก่อนจะวิ่งเข้ามากอดสวี่ชีอันที่ด้านหลังแล้วกล่าวสะอึกสะอื้นว่า “ข้าไม่ให้เจ้าไป”

สวี่ชีอันหันกลับไป ในความมืดนั้น ดวงตาของนางแดงก่ำพร้อมประกายของน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้า

วินาทีนี้ สวี่ชีอันเกือบจะพยักหน้าเห็นด้วยกับนาง เขาเพียงแค่อยากถนอมความงามราวกับดอกไม้ของนางไว้และปกป้องนางอย่างอ่อนโยน

เขากลับหันหน้าหนีด้วยความเด็ดขาดแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าน่าจะเข้าใจข้า”

“ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เข้าใจ…” มู่หนานจือซบใบหน้าลงที่หน้าอกของเขาและส่ายศีรษะอย่างรุนแรง

ทั่วทั้งห้องมีเพียงความเงียบชั่วขณะหนึ่ง มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของนางที่ดังก้อง

หลังจากผ่านไปนาน นางก็เช็ดน้ำตา ผลักหน้าอกของสวี่ชีอันออกไป หันหลังกลับและกล่าวด้วยความเย็นชาว่า

“ไปให้พ้นเถอะ!”

สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มก่อนที่ร่างของเขาจะหายไปจากห้อง

น่าเสียดายที่ลั่วอวี้เหิงไปเหลยโจวแล้ว จึงไม่สามารถพบกันได้อีก

นี่…ในฐานะที่ฉู่ไฉ่เวยเป็นเด็กรั้งท้ายในสำนักโหราจารย์ คำถามนี้ทำให้นางนิ่งงันอย่างไม่ต้องสงสัย

จำได้รางๆ ว่าตนเองเคยถามคำถามนี้มาก่อน แต่ก็คิดคำตอบไม่ออก

โชคดีที่มีซ่งชิงอยู่ข้างๆ นางจึงรีบดึงซ่งชิงที่กำลังง่วงนอนแล้วกล่าวด้วยความโกรธว่า “ศิษย์พี่ซ่งชิง ฝ่าบาทถามคำถามท่านอยู่นะ”

ซ่งชิงถึงเริ่มตาสว่างขึ้นมาพลางขมวดคิ้วกล่าวว่า “เรื่องอันใดรึ?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง