สวี่ชีอันที่ตื่นแต่เช้าและเพิ่งมาถึงยังห้องโถงด้านหลัง เขาได้ยินสวี่หลิงอินกรีดร้องเสียงดังลั่น
ตุ่มแดงผุดขึ้นอยู่บนใบหน้าขาวกระจ่างใสนวลเนียน พอบีบก็รู้สึกเจ็บ
อาสะใภ้หลอกว่าเพราะหน้าของนางมีหนอนและตัวหนอนกำลังกัดกินเนื้อหนังบนใบหน้าอยู่ พรุ่งนี้นางจะเสียโฉมและอาจไม่สามารถออกเรือนได้ในภายภาคหน้า
สวี่หลิงอินไม่สนใจว่านางจะได้แต่งงานหรือไม่ ทว่านางมักคิดอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นเด็กที่น่ารักน่าชัง ในอนาคตนางจะงดงามเหมือนท่านแม่กับท่านพี่และกลายเป็นตัวก่อปัญหาที่ยอดเยี่ยม
เมื่อได้ฟังท่านแม่พูดเช่นนั้น นางจึงรู้สึกเศร้าจนอยากร้องไห้
อาสะใภ้ก็เป็นคนนิสัยเสีย แม้แต่ลูกสาวคนเล็กของนางเองก็ยังหลอกลวงและหัวเราะเยาะได้อย่างเลือดเย็น
“พี่ใหญ่…” สวี่หลิงอินส่ายก้นเล็กๆ ของนางและวิ่งไปหาพี่ใหญ่ นางหยุดกะทันหันและเบือนหน้าหนีด้วยความเอียงอาย นิ้วสั้นๆ จิ้มลงไปที่แก้มพร้อมกับมุ่ยปาก “ข้ากำลังจะเสียโฉมแล้ว”
“เจ้ายังไม่เสียโฉมสักหน่อย” สวี่ชีอันแตะศีรษะของนาง “เจ้ายังสวยฟรุ้งฟริ้งเหมือนเดิม”
“สวยฟรุ้งฟริ้งคืออะไรหรือเจ้าคะ”
“ก็คือในอนาคตเจ้าจะงดงามกว่าท่านแม่และท่านพี่ของเจ้าเสียอีก”
สวี่หลิงอินเชื่อและรู้สึกร่าเริงขึ้นมาในทันใด ทำให้นางกินโจ๊กมื้อเช้าไปถึงสามถ้วย
…
เมื่อมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอัน ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรับผิดชอบงานลาดตระเวนกลางวัน ทั้งสามเดินเล่นไปด้วยกันไปตามท้องถนน
“กระบี่ของเจ้าเล่มนี้ดูไม่เลวนี่” ซ่งถิงเฟิงสังเกตเห็นกระบี่ของสวี่ชีอันที่แขวนอยู่บนหลังของเขา ซึ่งได้เปลี่ยนรูปแบบไป
สวี่ชีอันใช้มือข้างหนึ่งจับกระบี่ และใช้นิ้วโป้งดันออก เผยให้เห็นกระบี่เล่มสีดำทองที่โผล่ออกมาจากปลอกประมาณสามนิ้ว จากนั้นเขาจึงดึงกระบี่เก็บเข้าปลอกอย่างรวดเร็วและยิ้มอย่างภูมิใจ
“สำนักโหราจารย์มอบให้ข้า”
เขาไม่ได้บอกว่าท่านโหราจารย์มอบให้ เพราะคงไม่มีผู้ใดเชื่อ หากเชื่อขึ้นมา และถูกนำไปพูดต่อคงจะเข้าหูคนโลภเข้า
“อาวุธเวทมนตร์งั้นหรือ” ดวงตาของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวเป็นประกาย
สวี่ชีอันส่ายหัว มันไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์และไม่มีรูปแบบที่จารึกไว้ คุณสมบัติอย่างเดียวคือความแข็งแกร่ง
ซึ่งข้อนี้ตรงกับสวี่ชีอันอย่างมาก
ถนนในเมืองชั้นในกว้างขวางและแผ่ออกไปยังทุกทิศทุกทาง สวี่ชีอันซื้อขนมมามากมายและแจกจ่ายให้กับสหายร่วมหน่วยทั้งสองคนที่กำลังเดินไปพลางกินไปพลาง
ข้อดีของการลาดตระเวนกลางวัน คือนอกจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว ยังมีกองดาบที่คอยลาดตระเวนในเมืองรวมถึงมือปราบของที่ว่าการเมือง เป็นต้น ซึ่งทำให้แรงกดดันในการทำงานของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลลดลงอย่างมาก จึงมีเวลาอู้งาน หากเดินจนเหน็ดเหนื่อยแล้วก็แวะพักโรงน้ำชาดื่มด่ำกับการฟังเรื่องราว และยังสามารถไปฟังเพลงที่หอคณิกาได้อีกด้วย
ในขณะที่สวี่ชีอันกำลังเดินอยู่นั้น เขาเหยียบเข้ากับก้อนแข็งๆ ใต้ฝ่าเท้า สายตาเขายังคงมองไปข้างหน้า จากนั้นเขาจึงก้มหยิบมันขึ้นมา
การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างธรรมชาติราบรื่นรวมถึงสีหน้าท่าทางที่ยังสงบนิ่ง จนทำให้ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวคิดว่าเขาแค่เคลื่อนไหวตามปกติ เช่น ‘แตะขากางเกง’ หรือ ‘ปัดรองเท้า’
โดยไม่รู้เลยว่าสหายร่วมหน่วยใหม่คนนี้เพิ่งจะเจอเงินสามตำลึง
สวี่ชีอันกำเงินและเสนอ “ไปฟังเพลงที่หอคณิกากันไหม”
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นก็ได้”
ทั้งสามชำนาญลู่ทางที่ไปยังหอคณิกาเป็นอย่างดี เมื่อมาถึงห้องส่วนตัวบนชั้นสอง โต๊ะถูกวางไว้ข้างราวระเบียง แขกสามารถดื่มชาและเหล้าในขณะที่รับชมการแสดงบนเวทีจากโถงรับแขก
ละครเพลงกำลังแสดงอยู่บนเวที
“วันมะรืนเป็นวันบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์ฝ่าบาท พวกเจ้าคงมีประสบการณ์มาบ้างแล้วสินะ” สวี่ชีอันเปิดประเด็นถามสหายร่วมหน่วยทั้งสองเพื่อขอคำชี้แนะ
“พวกเราแค่อารักขาบริเวณข้างซังผอ พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษจะจัดขึ้นที่ซังผอ เจ้าก็รู้นี่” ซ่งถิงเฟิงเคี้ยวถั่วลิสงพร้อมกับจิบเหล้า
สวี่ชีอันพยักหน้า ซังผอเป็นทะเลสาบขนาดเล็กนอกเขตพระราชฐาน และบังเอิญอยู่ภายใต้การดูแลของค่ายกองพันทหารที่ห้าของเมืองหลวงอีกด้วย
งานของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นแสนจะง่ายดาย นั่นคือการรักษาความสงบเรียบร้อยและคุ้มครองความปลอดภัยของเหล่าเชื้อพระวงศ์
วัดไท่ชางและกรมพิธีการมีหน้าที่รับผิดชอบในกระบวนการบวงสรวงบรรพบุรุษ บริเวณโดยรอบมีทั้งกองดาบ องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์และทหารรักษาวังของเขตพระราชฐานคอยลาดตระเวนอยู่
หลังจากชมละครเพลงจบ ซ่งถิงเฟิงรู้สึกเบื่อ จึงตะโกนเรียกแม่เล้า สักครู่หนึ่งก็มีสาวงามกลุ่มหนึ่งแต่งตัวสวยเพริศพริ้งเดินเข้ามา
พวกนางยืนอยู่ในแถวพร้อมกับรอยยิ้มและขยิบตาให้แขกผู้มีเกียรติทั้งสามคน
เครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบนร่างของสวี่ชีอันและทั้งสามคน ยังคงเป็นการขู่ให้ผู้อื่นเกรงกลัว
ในเวลาสามวันสวี่ชีอันต้องละเว้นจากการสัมผัสผู้หญิง ทหารในระดับหลอมปราณไม่จำเป็นต้องบำเพ็ญตบะ ทว่าเขาต้องหักห้ามใจและไม่หลงระเริงจนเกินไป
“พวกเจ้าฟังข้า…” เขากวักมือเรียกและกระซิบที่หูของสหายร่วมหน่วยสองคน
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวจ้องไปที่เขาเพราะมันยากที่จะเชื่อ ราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือ’
หลังจากเลือกสาวสวยสองคนแล้ว ทั้งสองไม่ได้ออกจากห้องส่วนตัว ทว่ากลับเข้าไปยังห้องด้านในแทน ซึ่งแน่นอนว่ามาถึงสถานที่อย่างหอคณิกาทั้งที คงไม่มานั่งฟังเพลงอย่างเดียวหรอก เวลาส่วนใหญ่จะใช้ไปกับการฟังบทเพลงพร้อมกับทำกิจถ่ายทอดชีวิตให้เสร็จสรรพไปด้วยกันต่างหาก
หากเปรียบหอคณิกากับอดีตชาติคงเท่ากับคอนเสิร์ตบวกคณะละครสัตว์ ที่มีลูกเล่นเยอะแยะและน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก สวี่ชีอันกำลังดื่มเหล้าพร้อมกับทานอาหารคำเล็กๆ อย่างเปรมปรีดิ์
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง