ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 103

สรุปบท บทที่ 103 การทดลอง (2): ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

สรุปเนื้อหา บทที่ 103 การทดลอง (2) – ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) โดย Internet

บท บทที่ 103 การทดลอง (2) ของ ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) ในหมวดนิยายกำลังภายใน เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย Internet อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

บทที่ 103 การทดลอง (2)

ซูเฉินนั่งอยู่หน้าแท่นประดิษฐ์ภายในถ้ำ กำลังทำการทดลองต่อไป

เด็กหนุ่มถือถ้วยแก้วที่เต็มไปด้วยเลือดสีเข้มไว้ในมือ

จากนั้นหยิบผงแป้งสีน้ำเงินโรยลงในถ้วยแก้ว เลือดในนั้นเริ่มจับตัวข้นขึ้นอย่างช้า ๆ

“การทดลองครั้งที่หนึ่ง ไอเย็นที่มากเกินไปของต้นวารีเยือกแข็งส่งผลให้เลือดข้นขึ้น ทางแก้คือลดสัดส่วนต้นวารีเยือกแข็งลง

“การทดลองครั้งที่สอง สัดส่วนต้นวารีเยือกแข็งยังมากเกินไป ลดลงอีก”

“การทดลองครั้งที่สี่ เลือดไม่จับตัวข้นแล้ว แต่จำนวนสสารต้นกำเนิดลดลงเพราะอุณภูมิที่ต่ำลง…… บัดซบ สสารต้นกำเนิดเพียงเท่านี้ไม่พอ ทางแก้คือแยกความเย็นกับสสารต้นกำเนิดออกจากกัน”

“การทดลองครั้งที่สิบสอง การแยกสสารต้นกำเนิดล้มเหลว”

“การทดลองครั้งที่สามสิบสอง การแยกสสารต้นกำเนิดล้มเหลว”

“การทดลองครั้งที่สี่สิบหก การแยกสสารต้นกำเนิดในขั้นต้นสำเร็จแล้ว แต่หลังจากแยกสสารต้นกำเนิดออกมา ประสิทธิผลของสสารต้นกำเนิดกลับลดลงมาก ต้องหาเหตุผลหลักว่าเป็นเพราะอะไร”

“การทดลองครั้งที่หนึ่งร้อยยี่สิบหก ค้นพบว่าการแยกตัวสสารออกจากกันส่งผลกระทบอย่างมากต่อสสารต้นกำเนิด วิธีการแยกของข้ายังไม่ดีพอ จำต้องละทิ้งมันไปก่อน ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ แล้วหาวิธีแยกสสารออกโดยไม่ส่งผลกระทบถึงสิ่งที่ข้าต้องการ……”

วันเวลาผ่านไป ซูเฉินทำการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่า

กังเหยียนลงจากเทือกเขาไปขายหนังสัตว์อสูรครั้งหนึ่ง เงินที่ได้นำมาซื้อต้นวารีเยือกแข็งเพิ่มอีกนับไม่ถ้วน

ในวันที่หกสิบสี่หลังจากเดินทางมายังเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินก็สามารถแยกสสารต้นกำเนิดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวออกจากต้นวารีเยือกแข็งได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

หากแต่ซูเฉินก็ยังพบปัญหาที่ว่าสสารต้นกำเนิดไม่มั่นคง ส่งผลต่อพลังต้นกำเนิดเพียงระยะสั้นเท่านั้น และควบคุมได้ยาก อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินยังต้องศึกษาค้นคว้าอีกนานกว่าสสารต้นกำเนิดของเขาจะสามารถนำมาใช้ได้จริง

เพื่อแก้ปัญหานี้ ซูเฉินจึงต้องหาวิธีใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังต้องทำการทดลองนับครั้งไม่ถ้วน

ในระหว่างที่ทำการทดลองหลายครั้งด้วยกัน ซูเฉินก็รู้สึกขัดแย้งในจิตใจ

บางครั้งเขาก็คิดว่าที่เขาทำเช่นนี้มีความหมายหรือไม่ ? มันก็แค่ก้าวย่างหมอกอสรพิษไม่ใช่หรือ ? จำเป็นหรือที่ต้องทุ่มเวลาค้นคว้า ทำความเข้าใจ และหาสสารมาทดแทนเช่นนี้ ?

แม้จะสามารถค้นคว้าสำเร็จ แล้วอย่างไรเล่า ?

สุดท้ายผลที่ออกมาก็เป็นเพียงท่าเท้าของวิชาหนึ่งที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่เขากลับต้องทุ่มพลังงานไปมากมายเช่นนี้ นับว่าคุ้มค่าแล้วหรือ ?

หรือเขาจะเลือกทางผิดกันแน่ ?

ซูเฉินถามตนเองเช่นนี้อยู่หลายครั้ง

หากแต่สุดท้ายเด็กหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้

ไม่ใช่เพราะเขามั่นใจว่าทางที่เขาเลือกเป็นทางที่ถูกต้อง แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากมาย้อมแพ้ไปทั้งอย่างนี้

อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่อาจมองเห็น ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ซูเฉินไม่อาจมองเห็นอาคต เขามองเห็นเพียงอดีต

ซึ่งอดีตมันก็สอนให้เขาไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

ในที่สุดเขาก็บอกกับตนเอง “ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ข้าก็จะดำเนินการต่อไป อย่างน้อยที่สุดก่อนที่การเดินทางมาเทือกเขาสีเลือดในครั้งนี้ของข้าจะจบลง ข้าก็จะไม่ยอมแพ้”

มีเพียงอีกหลายปีให้หลังที่ซูเฉินรู้ว่าการตัดสินใจนี้ของเขามีความสำคัญมากเพียงไหน ว่าเขาโชคดีเพียงไรที่ตนเองตัดสินใจไปเช่นนั้น

ถูกต้อง เขาโชคดี !

ในวันที่หนึ่งร้อยยี่สิบหกบนเทือกเขา ในที่สุดซูเฉินก็สามารถไขปัญาหาที่ยากที่สุดออก ปรุงยาสสารต้นกำเนิดอสรพิษทะยานออกมาได้ในที่สุด

หลังจากดื่มยานั่นไป ซูเฉินรู้สึกว่าก้าวย่างหมอกอสรพิษพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะพัฒนาขึ้นอย่างมีขีดจำกัด แต่ผลลัพธ์ครั้งนี้บอกซูเฉินว่าเขาเดินมาถูกทางแล้ว

การหาสิ่งมาทดแทนสายเลือดไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ !

การที่ประสบควาสำเร็จภายในเวลาไม่กี่ร้อยวันเช่นนี้ ความตั้งใจไม่ใช่ส่วนสำคัญมากเท่าความโชคดี เขาโชคดีที่บังเอิญพบว่าต้นวารีเยือกแข็งมีสสารต้นกำเนิดที่เขาต้องการ อีกทั้งสมุนไพรนี้มีราคาต่ำ และเขาก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน ดังนั้นจึงสามารถทำการทดลองได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องใด

ด้วยก้าวย่างหมอกอสรพิษและนัยน์ตาที่สามารถมองทะลุได้ของเขา จึงทำให้เขาสามารถสังเกตและทำความเข้าใจสายเลือดได้อย่างง่ายดาย วิธีการทดลองของอูเอ่อร์หลี่และแนวทางการคิดของเขาเองก็บังเอิญตรงกับสิ่งที่ต้องใช้ในการสร้างยาสสารต้นกำเนิด ท้ายที่สุดคือระหว่างที่ทำการทดลอง ซูเฉินสามารถทำตามที่ตนกำหนดไว้ได้โดยไร้สิ่งใดขัดขวาง ในที่สุดจึงทำการทดลองได้สำเร็จ

ในภายภาคหน้า หากเขาต้องการทำให้สำเร็จเช่นนี้ เขาอาจต้องใช้ความพยายามนับสิบนับร้อยเท่า

และด้วยเหตุนี้ ความทรมาณของหลินเย่เม่ามีแต่เพิ่มขึ้นทุกวันด้วยซูเฉินทำการทดลองทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทำได้

ในสายตาเขา ซูเฉินได้กลายร่างเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์

กลายเป็นคนบ้าคลั่งที่มีความสุขสมจากการทรมาณผู้อื่น !

เป็นฆาตกรอันโหดเหี้ยม !

ซูเฉินไม่รู้ความคิดของหลินเย่เม่า แต่ถึงรู้เขาก็ไม่ใส่ใจ เวลาเหลือไม่มากแล้ว เขาต้องใช้เวลาที่เหลือไปกับการอยู่บนเทือกเขาอย่างคุ้มค่า

ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำการทดลองบ่อยขึ้น ส่วนกังเหยียนลงจากเขาไปอีกสองครั้ง นำหนังสัตว์อสูรไปขาย ซื้อต้นวารีเยือกแข็งและของใช้จำเป็นอื่น ๆ กลับมา บางครั้งหากหนังสัตว์อสูรที่นำมาขายได้เงินไม่มากพอ เขาก็ต้องใช้เงินเก็บของตนเอง

หรือก็คือการมาเทือกเขาสีเลือดในครั้งนี้ ซูเฉินไม่คิดจะทำการหาเงินเพิ่มเลย เขาใช้หินพลังต้นกำเนิดไปมาก ทั้งฐานพลังบำเพ็ญที่ก่อนหน้านี้เพิ่มสูงขึ้นมากยังถูกการทดลองขัดขวาง เมื่อหนึ่งร้อยวันก่อนหน้านี้ เขาเพิ่งจะก้าวข้ามผ่านด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสองไปยังขั้นห้า แน่นอนว่าเท่านี้นับว่ายัง ‘น้อย’ ไป หากแต่สำหรับคนอื่นแล้วนับว่าเป็นความเร็วที่ไม่อาจทำได้

แต่ซูเฉินไม่ใส่ใจ

ในวันที่หนึ่งร้อยห้าสิบเอ็ดบนเทือกเขาสีเลือด ในที่สุดซูเฉินก็สามารถทำการปรับปรุงยาสสารต้นกำเนิดของตนได้สำเร็จ

ในตอนนี้นับว่าเขาช้าไปแล้วหนึ่งวัน ได้เวลาลงจากเทือกเขาแล้ว

สำหรับหลินเย่เม่า วันนี้เป็นวันอันน่าตื่นเต้นนัก เป็นเพราะวันนี้เขาจะไม่ต้องถูกทรมาทรกรรมอีก

หากแต่ซูเฉินก็ไม่ปล่อยเขาไป

เขานำตัวหลินเย่เม่าลงจากเทือกเขาไปด้วย

สองวันต่อมา ซูเฉินก็เดินทางมาถึงนอกเมืองหลิงเป่ย

หลังจากเห็นกลุ่มคนที่พากันยืนอออยู่หน้าเมืองแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะออกมา

ครั้งนี้ผู้ที่มารอเขาไม่ได้มีเพียงคนจากตระกูลซู แต่ยังมีคนจากตระกูลหลินอยู่ด้วย

ไม่ได้มีเพียงแต่ข้ารับใช้ที่มารอรับ กระทั่งผู้อาวุโสหลายท่านก็ยังมา

ซูฉางเช่อ ซูเฉิงอัน ซูเฟยหู…… ต่างมากันอย่างพร้อมเพรียง

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)