ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 104

บทที่ 104 การตัดสินใจ

เมื่อเงาร่างของซูเฉินปรากฏขึ้น ฝูงชนก็แหวกทางออกทันที

ในที่สุดซูเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่รอคอยมานานถึงสามวัน

แน่นอนว่าเขายังไม่ตาย

เขาเดินทางไปเทือกเขาสีเลือดสามครั้งแล้ว ตอนนี้เด็กหนุ่มนั้นมองว่าบนเทือกเขาเป็นดั่งสวนหลังบ้าน ไม่อาจมีใครใช้ที่แห่งนั้นมาข่มขู่เขาได้อีกต่อไป

โดยปกติแล้วคนส่วนมากจะรู้สึกหวาดกลัว ไม่กล้าล่วงเกินซูเฉินอีก

หากแต่แน่ชัดว่าสถานการณ์ในวันนี้ไม่ปกตินัก สายตาของคนหลายคนจ้องมองมายังเขา หากแต่มันไม่ได้เจือไปด้วยความกลัว ทว่ากลับเต็มไปด้วยความยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น

เรื่องทั้งหมดเกิดจากชายชราคนหนึ่ง

ชายชราผู้นั้นมีเครายาวสีขาว แต่ถึงขนทั่วร่างจะเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา ก็ยังมีท่าทางแข็งแรงดี มองดูแล้วเหมือนพยัคฆ์ขนขาว

เมื่อเห็นซูเฉินเดินออกมา ชายชราผู้นี้ก็ตะโกนลั่นดั่งสายฟ้าฟาด “ซูเฉิน ! หลินเย่เม่าอยู่ที่ใด ? ”

ซูเฉินทำทีเป็นมองไม่เห็น เอียงคอมาทางต้นเสียง “ท่านใดเป็นคนพูดอยู่ ? ”

เมื่อเห็นซูเฉินแสดงท่าทางเช่นนี้ ซูฉางเช่อก็อดถอนหายใจไม่ได้ ตอนที่ยังไม่รู้ว่าซูเฉินไม่ได้ตาบอดแล้ว เขาเองก็ไม่อาจจับสังเกตได้ หากแต่ตอนนี้ที่รู้แล้วว่าซูเฉินมองเห็นเป็นปกติ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าการทำทีเป็นคนตามองไม่เห็นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คนตาบอดมีสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากคนตาดี นั่นคือคนตาดีนัยน์ตาจะสดใส มีชีวิตชีวา นัยน์ตาจะจ้องมองไปยังความเคลื่อนไหวต่าง ๆ หากแต่ซูเฉินกลับสามารถทำนัยน์ตาตนให้ดูจ้องตรงไปด้านหน้าแบบทื่อ ๆ ได้ ซึ่งการจะทำเช่นนั้นก็ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เด็กคนนี้ฝ่าฟันดิ้นรนมาโดยตลอด แต่ทั้งตระกูลซูกลับคอยกดเขาไว้ !

เรื่องนี้ทำให้ซูฉางเช่อรู้สึกไม่ดีนัก

ชายชราผมขาวตอบซูเฉิน “ข้าคือหลินหย่วนเฉียว ! ”

ซูเฉินหัวเราะ “ดูท่าท่านอัสนีคำรามหลินจะมาถึงแล้ว”

หลินหย่วนเฉียวคือน้องชายของหลินหยวนซาน หัวหน้าตระกูลหลิน เป็นเพราะมีอารมณ์ร้าย บางครั้งจึงถูกเรียกว่า อัสนีคำรามหลิน

หากแต่ชื่อเล่นนี้ไม่ใช่ชื่อที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถใช้เรียกเขาได้

หลินหย่วนเฉียวเบิกตากว้าง “บังอาจ ! ”

พูดแล้วก็ซัดฝ่ามือไปทางซูเฉิน

คนทั้งตระกูลซูยืนอยู่ตรงนั้น แต่ชายชรากลับกล้าลงมือเพียงเพราะซูเฉินเรียกเขาว่า ‘อัสนีคำรามหลิน’ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นตาเฒ่าที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวไม่น้อย

คนตระกูลซูไม่อาจรับมือกับฝ่ามือที่ซัดออกไปอย่างฉับพลันนี้ได้ทัน หากแต่ซูเฉินกลับถอยไปหลายก้าว เงาร่างของเด็กหนุ่มกระโดดหลบขึ้นไปในอากาศ หลบฝ่ามือนั้นอย่างง่ายดาย

เป็นตอนนั้นเองที่คนอื่น ๆ พากันมีปฏิกิริยาแล้วร้องขึ้น “หยุดมือ!”

หลินหย่วนเฉียวหยุดมือจริง ๆ เขาจ้องมองซูเฉินนัยน์ตาโตด้วยความตกตะลึง “ก้าวย่างหมอกอสรพิษ ? ”

ท่าเท้าที่ซูเฉินใช้เมื่อครู่เป็นก้าวย่างหมอกอสรพิษไม่ผิดแน่

เขาเอ่ยกับซูเฉินอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้าไปเรียนก้าวย่างหมอกอสรพิษมาจากที่ใด ? ”

“ท่านยังจำเป็นต้องถามอีกหรือ ? ” ซูเฉินยิ้มบางออกมา

หลินหย่วนเฉียวโพล่งออกมา “หลินเย่เม่าหรือ ? ”

ซูเฉินคาดเดาสิ่งที่ชายชราจะเอ่ยได้อย่างแม่นยำนัก เขาพลันหัวเราะ “ท่านถามข้ามิใช่หรือว่าหลินเย่เม่าอยู่ที่ใด ? ข้าจะตอบให้ท่านสองคำตอบ คำตอบแรกคือหลินเย่เม่ากับข้าพบกันโดยบังเอิญบนเทือกเขาสีเลือด เรากลายเป็นสหายกัน ช่วยเหลือกันและกัน คำตอบสองคือหลินเย่เม่ามีแผนชั่วคิดเอาชีวิตข้า ไล่ตามข้ามายาวนาน หากแต่พ่ายแพ้และถูกจับตัวไว้……”

“สามหาว ! ” หลินหย่วนเฉียวโพล่งขึ้นเสียงดัง

เขามาเพื่อหาตัวหลินเย่เม่า ทว่าเขาไม่อาจยอมรับว่าหลินเย่เม่ามีแผนสังหารซูเฉินได้

บนโลกใบนี้ไม่ไร้กฎเกณฑ์

หากมีระเบียบกฎเกณฑ์ ก็จะยังมีจรรยาบรรณพื้นฐานอยู่บ้าง เช่นเรื่องถูกหรือเรื่องผิด

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)