บทที่ 108 แขก (2)
ลมบริสุทธิ์พัดผ่านอาคารหลังเล็กที่ตั้งอยู่ริมลำธารน้อยอย่างแผ่วเบา ที่ด้านนอกอาการ คลื่นน้ำสีมรกตซัดเข้ากับกำแพงนอกตัวอาคารเบา ๆ
ซูเฉินนั่งลงในศาลาริมธารน้ำ มืองามของกู่ชิงลั่วถือกาหยกรินชาให้เขา มันช่างเป็นภาพที่งดงามนัก
ก่อนหน้านี้ระหว่างเขาและกู่ชิงลั่ว เวลาพบกันต้องทำอย่างปิดบังซ่อนเร้น แอบพบกันที่ภูเขาด้านหลัง ไม่ประลองลับฝีมือกันก็ไปแช่น้ำ หรือไม่เช่นนั้นก็พูดคุยกันเกี่ยวกับเนินกลบวิญญาณ เป็นวันนี้เองที่เขาเพิ่งจะได้เห็นกู่ชิงลั่วในมุมอื่นบ้าง
อย่างไรนางก็ยังเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ดังนั้นทุกท่วงท่าของนางจึงแผ่กลิ่นอายสูงส่งออกมา
เด็กหนุ่มมองท่าทีของนางในตอนนี้ จากนั้นก็นึกถึงใบหน้ามีอิสระเสรีและท่าทีน่ารักของกู่ชิงลั่วยามอยู่กับเขา ซูเฉินนั้นคิดไม่ถึงเลยว่าโฉมงามคล้ายกับจะลงมาจากแดนเซียนเช่นนางนั้นจะยังมีมุมที่ผู้อื่นไม่เคยเห็นอยู่
เขาโชคดีนักที่ตาบอด กู่ชิงลั่วจึงไม่ตั้งเกราะป้องกันใดเมื่ออยู่กับเขา ปลดปล่อยตัวตนอีกมุมหนึ่งออกมาได้อย่างสบายใจ ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงกลายเป็นสหายสนิทของนาง
สำหรับคนอื่นแล้ว การที่จะสามารถสนิทสนมกับกู่ชิงลั่วเช่นนี้นับเป็นเรื่องยาก
“ใช่แล้ว เจ้ายังไม่ได้บอกข้าเลย เจ้าจับตัวหลินเย่เม่ามาได้อย่างไร ? ” กู่ชิงลั่วเอ่ยถามแล้วรินชาเพิ่ม “หลินเย่เม่าใช้โอสถสืบสายเลือดของตระกูลกู่ พลังของเขาน่าจะเพิ่มขึ้นมาก การจับตัวคงไม่ใช่เรื่องง่ายจริงหรือไม่ ? ”
“เรื่องพลังเขาข้าไม่มันใจ แต่จับตัวเขาก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น” ซูเฉินเล่าการต่อสู้ของเขากับหลินเย่เม่าให้กู่ชิงลั่วฟัง
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินใช้เพียงแมลงกินเหล็กและกังเหยียนในการลอบโจมตีหลินเย่เม่า กู่ชิงลั่วก็หัวเราะออกมา
เสียงหัวเราะของคุณหนูตระกูลกู่ฟังดูอบอุ่น อ่อนหวาน และงดงามยิ่งนัก เวลาคลี่ยิ้มนางไม่เห็นฟัน มักจะมีท่าทางเงียบเชียบบริสุทธิ์อยู่เสมอ นางมีชื่อในตระกูลหลินไม่น้อย คนธรรมดาไม่อาจหวังได้รอยยิ้มจากนางแม้เพียงครั้ง กระทั่งผู้มากความสามารถจากตระกูลหลินยังต้องพูดคุยกับนางโดยระวังวาจา
เป็นครั้งแรกที่นางหัวเราะออกมาเช่นนี้
หลินเยว่หานและหลินโส่วเยี่ยที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ ได้แต่ตกตะลึง
ซูเฉินไม่รู้ว่ารอยยิ้มนั้นมีค่าเพียงไหน เด็กหนุ่มพูดคุยกับกู่ชิงลั่วต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กู่ชิงลั่ว “เจ้าก็เลยจับเขาขังไว้นานขนาดนั้น ? มันไม่น่าเบื่อหรือ ? ”
ซูเฉินตอบ “เหตุใดจึงน่าเบื่อ ? ข้าจับเขามาเพราะเขามีประโยชน์ต่างหาก”
“มีประโยชน์อย่างไร ? ”
“วิเคราะห์สายเลือดอสรพิษทะยาน”
“วิเคราะห์สายเลือดอสรพิษทะยาน ? ” กู่ชิงลั่วเบิกตากว้างด้วยความตกใจ
“ถูกต้อง ! ” ซูเฉินพยักหน้ารับ
เด็กหนุ่มไม่คิดปิดบังเรื่องนี้กับกู่ชิงลั่ว และไม่จำเป็นต้องปิดบังด้วย
มนุษย์ไม่เคยหยุดวิเคราะห์สายเลือดต่าง ๆ เลยแม้แต่น้อย โลกใบนี้ไม่เคยมีจุดอิ่มตัว ผู้คนต่างเสาะแสวงหาความก้าวหน้าเรื่อยไป เพียงแต่การค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์ส่วนมากเป็นการค้นคว้าเพื่อตนเอง เพื่อทำให้ตนแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น
หลังอาณาจักรอาร์คานาล่มสลายลง เผ่ามนุษย์จึงรับช่วงต่อการวิเคราะห์สายเลือดต่าง ๆ มาแทน
มนุษย์นั้นมีความฝันอันยิ่งใหญ่ พวกเขาต้องการบรรลุเป้าหมายอย่างที่เผ่าอาร์คาน่าเคยทำสำเร็จไว้ และยังต้องการรุดหน้าไปกว่านั้นอีก หากแต่ท้ายที่สุดกลับไม่อาจสร้างสิ่งที่ชนเผ่าอาร์คาน่าเคยสร้างไว้ขึ้นมาได้ด้วยซ้ำ ทั้งไม่ได้มีพลังต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งขึ้น และไม่อาจสร้างเครื่องมือสกัดสายเลือดขึ้นมาใหม่ได้
แต่ถึงกระนั้น มนุษย์ก็ยังพยายามต่อไป ไม่เคยยอมแพ้ในการใฝ่หาพลังจากสายเลือดและพลังต้นกำเนิด
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ? ” กู่ชิงลั่วถาม
“ข้าเพียงต้องการศึกษาว่าจะหาสิ่งทดแทนที่สามารถทำให้ข้าทำในสิ่งที่เจ้าทำได้บ้างได้หรือไม่โดยที่ไร้สายเลือดอสรพิษทะยาน”
“สำเร็จหรือไม่ ? ” กู่ชิงลั่วเอ่ยถามยิ้ม ๆ
ซูเฉินส่ายหัว
แม้จะไม่ต้องปิดบังจุดประสงค์ แต่ผลการทดลองย่อมไม่อาจเปิดเผย
หากตระกูลกู่รู้ว่าซูเฉินสามารถสร้างยาสสารต้นกำเนิดที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีสายเลือด เช่นนั้นคงเกิดเรื่องใหญ่แน่
แม้ความสามารถจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยก็ตามแต่
กู่ชิงลั่วยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “คราวนี้เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ว่าจินตนาการเจ้ามันลอยไปไกลถึงเพียงไหน ? พลังจากสายเลือดคือวิธีการหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดที่ผู้ก่อตั้งตระกูลของข้าทิ้งไว้ให้ เจ้าจะสามารถเหนือไปกว่าเขาได้อย่างไร ? ”
เป็นอีกครั้งที่หลินเยว่หานและหลินโส่วเยี่ยที่ยืนมองอยู่ไกล ๆ ตกตะลึงไป
ระยะเวลาสั้นถึงเพียงนี้ แต่นางกลับหัวเราะออกมาถึงสองครั้งสองครา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)