บทที่ 109 แขก (3)
ซูเฉินหันหน้าไปทางต้นเสียง
ดังนั้นกู่ชิงลั่วจึงแนะนำอีกฝ่ายให้เด็กหนุ่มฟัง “ผู้นี้คือบุตรชายของหลินเซียนจวิน ในสมาชิกรุ่นสามตระกูลหลินนับว่าแข็งแกร่งไม่น้อย……”
นางพูดยังไม่ทันจบ ซูเฉินก็หยิบถ้วยชาขึ้นขว้างออกไป มันหมุนควงกลางอากาศ ส่งเสียงหึ่ง ๆ แปลกหูออกมา
หลินเฉ่าเฟิงยกมือขึ้นซัดพลังใส่ หากกลับพลาด ไม่โดนถ้วยชาที่กำลังพุ่งเข้ามา มันโค้งหลบพลังซัดของหลินเฉ่าเฟิง จากนั้นซัดเข้าที่กลางอก “ตูม!” เพียงถ้วยชาถ้วยเดียวส่งร่างเขากระเด็นไปไกล
การโจมตีของซูเฉินทั้งรุนแรงและชัดเจน ทุกคนที่เห็นต่างตกตะลึง
ที่สำคัญที่สุด ทุกคนต่างคุ้นเคยกับวิชานี้ดี
กระทั่งกู่ชิงลั่วยังร้องขึ้น “ฝ่ามือดอกไม้บิน ? ”
เมื่อครู่ซูเฉินใช้ฝ่ามือดอกไม้บินของตระกูลกู่ แต่เขาใส่ลักษณะวิชาของดาบอัสนีบาตลงไปด้วย ดังนั้นพลังโจมตีจึงเพิ่มสูงขึ้นมาก ซัดพลังเพียงครั้งก็สามารถทำให้หลินเฉ่าเฟิงไม่อาจลุกขึ้นได้
ซูเฉินเอ่ยอวดขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “หลินเย่เม่า กับข้าเป็นสหายกัน”
กู่ชิงลั่วพูดไม่ออก แต่ก็เข้าใจจุดประสงค์ของซูเฉิน
เขาถือโอกาสนี้โยนความผิดที่สอนวิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่แก่คนอื่นให้หลินเย่เม่า
วิชาสัมบูรณ์ของตระกูลกู่แท้จริงแล้วสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพผ่านทางสายเลือดเท่านั้น ดังนั้นแม้ซูเฉินจะเรียนวิชาไป ตระกูลกู่ก็คงไม่ใส่ใจนัก บทลงโทษคงไม่หนักหนาเนื่องจากเขาไม่ได้มีสายเลือด
หากแต่บทลงโทษนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนการถ่ายทอดวิชาให้คู่ต่อสู้นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าซูเฉินใช้ฝ่ามือดอกไม้บิน กลุ่มคนก็บ้าคลั่งขึ้นมาโดยพลัน
คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “ซูเฉิน ข้าขอประลองกับเจ้า ! ”
พูดจบเขาก็พุ่งตัวเข้ามาแล้ว
ซูเฉินหันไปมองทางเขา กู่ชิงลั่วเอ่ยบอกที่ข้างหู “เขาชื่อหลินอวี๋ บุตรชานของหลินเฟิงเสี้ยว เชี่ยวชาญหมัดปราบพยัคฆ์และดาบไอยะเยือก”
กู่ชิงลั่วเพิ่งอธิบายจบ เสียง “ตูม ! ” ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ฝ่ามือของซูเฉินซัดเข้าที่อกของหลินอวี๋ในพลัน หนึ่งฝ่ามือนั้นสามารถส่งคนกระเด็นไปไกลได้อีกครา
ซูเฉินเคลื่อนตัวไปโดยใช้ท่าเท้าที่ใช้รุกก็ได้ถอยก็ดี เห็นได้ชัดว่ากำลังใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษ เขาหลบการโจมตีของหลินอวี๋ก่อนจะซัดฝ่ามือส่งร่างเขากระเด็นไปไกลได้อย่างง่ายดาย
เมื่อคนตระกูลหลินเห็นดังนั้น พวกเขาต่างก็ตกตะลึงกันไปตาม ๆ กัน
กู่ชิงลั่วปรบมือทั้งสองข้างเข้าหากันก่อนร้องขึ้น “เยี่ยม เยี่ยม เยี่ยม ใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษได้ดียิ่งนัก นายน้อยสี่ตระกูลซูเป็นผู้มากความสามารถโดยแท้ ไม่แปลกที่หลินเย่เม่ายอมเปิดใจให้คนแปลกหน้าเช่นเจ้า ถ่ายทอดก้าวย่างหมอกอสรพิษและฝ่ามือดอกไม้บินให้”
“บังอาจ ! พวกนั้นเป็นวิชาลับที่ตระกูลกู่ไม่ถ่ายทอดให้ใคร เจ้าบังอาจแอบเรียนวิชาเหล่านั้นมาได้อย่างไร ! ” คนตระกูลหลินอีกคนพุ่งเข้ามา หมายสังหารซูเฉิน
ซูเฉินถอย เอียงหัวฟังเสียงด้วยความตั้งใจ
กู่ชิงลั่วกล่าว “เขาคือหลินเฉ่าอัน พี่ชายของหลินเฉ่าเฟิง ฝีมือสูงกว่าน้องชายเล็กน้อย”
ในตอนนั้นเอง หลินเฉ่าอันก็พุ่งมาด้านข้างซูเฉิน
ซูเฉินทำเพียงพลิกฝ่ามือ หนวดอากาศมากมายพลันพุ่งเข้ายึดร่างหลินเฉ่าอันไว้
หลินเฉ่าอันจะเคยเห็นวิชาเช่นนี้ได้อย่างไร ? เขาตกตะลึงมาก แม้จะอยากหลบแต่ก็หลบไม่พ้น
ซูเฉินพุ่งมาทางเขาราวกับสายลม วางฝ่ามือลงบนอกหลินเฉ่าอันก่อนส่งแรงกระแทก หมุนฝ่ามือ จากนั้นส่งเขากระเด็นไป
หลินเฉ่าอันกระเด็นลอยไปอีกคน หากแต่ครั้งนี้ร่างเขาลอยไปยังศิษย์ตระกูลหลินกลุ่มใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง
คนหลายคนรุดมาด้านหน้าหวังรับร่างเขา หากแต่เสียง “ตุ้บ ! ” กลับดังขึ้น คนห้าถึงหกคนพากันล้มระเนระนาด
กู่ชิงลั่วนัยน์ตาเป็นประกาย เอ่ยชมพร้อมปรบมือ “ใช้วิชาได้ดี เจ้าใช้ฝ่ามือดอกไม้บินตระกูลกู่ของข้าบนร่างคน ใช้เขาเป็นอาวุธลับ เป็นท่าที่งดงามมาก ! ”
นางชมซูเฉินไม่หยุด
ซูเฉินเอาชนะคนสามคนได้อย่างง่ายดาย ศิษย์ตระกูลหลิน คนอื่น ๆ ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวขึ้นมา
ในตอนนั้นเอง ในใจหลินเยวี่ยหานมีความคิดหนึ่ง หรือซูเฉินจะเบื่อคนในตระกูลซู ดังนั้นจึงมายังตระกูลหลินเพื่อท้าประลองและกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากกัน ?
เรื่องเช่นนี้เขาทำได้เพียงคิดในใจ ไม่อาจเอ่ยออกมา
ในที่สุดก็มีคนผู้หนึ่งทนไม่ไหว ตะโกนออกมาเสียงดัง “คุณหนูสองตระกูลกู ซูเฉินใช้ฝ่ามือดอกไม้บินและก้าวย่างหมอกอสรพิษของตระกูลกู่ พวกเราเองก็ต่อสู้ในนามของท่าน ช่วยท่านเรียกร้องความยุติธรรม แต่เหตุใดท่านจึงเอ่ยชมเขาเล่า ? ”
กู่ชิงลั่วกอลกตามองพวกเขา “สามวิชาสัมบูรณ์แห่งตระกูลกู่นับเป็นทักษะลับทางสายเลือด แท้จริงแล้วไม่ใช่วิชาอันใด ไม่เช่นนั้นพวกเราคงไม่ถ่ายทอดพวกมันให้ตระกูลหลิน อีกทั้งเป็นคนตระกูลหลินที่ถ่านทอดวิชานี้ให้ผู้อื่น ดังนั้นตระกูลหลินควรจะต้องรับผิดชอบ ข้าไม่สนเรื่องความแคนระหส่างพวกเจ้ากับซูเฉิน แต่ข้าใส่ใจจะฟังคำอธิบายจากพวกเจ้า”
เยี่ยมเลย หากเจ้าไม่เอ่ยคำใดตั้งแต่ต้นก็ไร้ปัญหา แต่พอเอ่ยคำขึ้นมา กู่ชิงลั่วจึงร้องหาคำอธิบายแล้ว
ศิษย์ตระกูลหลินมองกันไปมา ไม่รู้จะพูดอย่างไร
ยังคงเป็นซูเฉินที่หัวเราะออกมา “ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ แต่ข้าก็ได้เรียนสองในสัมบูรณ์ตระกูลกู่มาแล้ว หากไม่เชื่อ ลองมาท้าทายข้าได้ ข้าจะรับคำท้าพวกเจ้า”
ได้ยินดังนี้ทุกคนต่างไม่พอใจ
หากพูดเช่นนี้ย่อมหมายถึงกู่ชิงลั่วใส่ใจหาเรื่องตระกูลหลิน ไม่ใช่ซูเฉิน
หากต้องการจัดการซูเฉิน พวกเจ้าก็ไปจัดการกันเอาเอง
หากแต่ซูเฉินนั้นแข็งแกร่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด ดังนั้นผู้ที่ยังมีขั้นพลังไม่ถึงจึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับเขาให้เสียเวลา ส่วนผู้ที่มีขั้นพลังเทียบเท่ากับเด็กหนุ่มที่มีอายุน้อยกว่าสิบหกก็เหลือเพียงแค่หลินชูเยว่และหลินจิ้งซวน
เหตุเพราะไป๋หลีไม่ได้เดินทางมาด้วย ดังนั้นจึงมีเพียงหลินชูเยว่และหลินจิ้งซวน
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)