บทที่ 115 ยาระเบิด
คืนนั้นในเมืองหลินเป่ย ปัญหาสุดท้ายของซูเฉินก็ได้มอดไหม้หายไปจนสิ้น
หลินเย่เม่าตายลงในที่สุด
ตายด้วยฝีมือขององค์กรก่อการร้าย
มีข่าวลือว่าหลินเย่เม่าสมรู้ร่วมคิดกับองค์กรก่อการร้าย เขาช่วงชิงผลประโยชน์ขององค์กรนั่นมา ไม่ยอมปล่อยมือ ดังนั้นจึงถูกตอบโต้กลับมาเช่นนี้
เรื่องจริงนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่ตระกูลหลินส่งคนออกไปมากมาย กลับไม่สามารถตามหาคนชุดดำที่ทำการบุกตระกูลได้
เรื่องนี้จึงกลายเป็นเรื่องที่จบลงโดยไร้บทสรุป กลายเป็นคดีที่ไม่สามารถหาผู้ร้ายได้ แรกเริ่มเดิมทีก็นับเป็นเรื่องใหญ่อยู่บ้าง หากแต่สุดท้ายผู้คนก็ค่อย ๆ เลิกให้ความสนใจไป กลายเป็นเพียงหัวข้อสนทนาของชาวบ้านตามท้องถนนเท่านั้น
ตอนนี้เป็นเวลากลางฤดูร้อน การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ใกล้เข้ามาเต็มที
คณะเดินทางของสถาบันจากเมืองฉางผานเดินทางมาถึงเมืองหลินเป่ยแล้ว ขั้นตอนต่อไปพวกเขาจะเริ่มระดมพลสร้างค่ายกลขนาดยักษ์เพื่อทำการปิดเขายอดแดง ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าหรือออก ทั้งยังมีเหล่าปรมาจารย์ฝีมือสูงส่งที่ใช้จิตตรวจสอบพื้นที่แถบหุบเขาเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวตนใดก็ตามที่อยู่นอกเหนือข้อกำหนดจนส่งผลกระทบต่อการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น
แน่นอนว่าการสร้างค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เพียงเพื่อการคัดเลือกหาผู้มีฝีมือสี่คนจากเมืองหลินเป่ยเท่านั้น
สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับการสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นของทั่วทั้งมณฑลสามเทือกเขาอีกด้วย
การประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นแยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นการประลองภายในเมืองเดียวกัน ผู้ชนะจะได้รับคำเชิญให้เข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น หลังจากนั้นผู้ชนะจะเข้าร่วมการประลองอีกหนึ่งครั้งเพื่อตัดสินระดับขั้นภายในสถาบัน
ในเขายอดแดงสามารถแยกออกได้เป็นหลายเขต และเนินกลบวิญญาณไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตเมืองหลินเป่ย หากแต่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเมฆาลอย
เช่นนี้หมายความว่าหากซูเฉินต้องการเข้าไปในเนินกลบวิญญาณ เขาจำต้องเดินทางข้ามเขต เรื่องเช่นนี้ส่งผลเสียต่อเรื่องความตั้งใจในการชิงเอาที่นั่งในเขตตนเองเป็นอย่างมาก
เนื่องจากข้อตกลงที่ซูเฉินทำไว้กับอารามนิรันดร์ เขาจำเป็นต้องนำของทุกอย่างในเนินกลบวิญญาณออกมา จากนั้นค่อยกลับไปแข่งขันในเขตตนเอง ทั้งนี้เพื่อให้มั่นใจว่าเขาได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้วจริง ๆ ในการร่วมมือกับทางองค์กร
เมื่อมีข้อกำหนดเช่นนี้ โอกาสในการได้ที่นั่งของซูเฉินจึงลดต่ำลงมาก ซึ่งด้านอารามนิรันดร์ก็ได้ตระเตรียมคำปลอบใจซูเฉินหลังจากพลาดจากการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นไว้เรียบร้อยแล้ว หากแต่ซูเฉินกลับไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
ดังนั้นก่อนวันเข้าการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น ซูเฉินจึงได้ทำการเตรียมตัวขั้นสุดท้าย
ในขณะที่คนอื่น ๆ บ่มเพาะพลังฝึกปรือทักษะต้นกำเนิดของตนกันอย่างดุเดือด ซูเฉินกลับฝึกปรืออยู่หน้าแท่นประดิษฐ์
หลังจากปรมาจารย์เฟิงแล้ว ซูเฉินก็ได้รับแท่นประดิษฐ์และบันทึกผลการทดลองต่าง ๆ มา หลังจากลองอ่านพวกมันแล้ว ก็ได้ตื่นรู้ขึ้นอีกหลายเรื่อง เปิดหนทางแห่งความคิดใหม่ ๆ ขึ้นอีกมากมายยามทำการทดลอง
ดังนั้นซูเฉินจึงตัดสินใจทำการค้นคว้าของตนเองต่อไป หากแต่ในครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่ได้ทำการวิจัยเรื่องสายเลือดอสรพิษทะยานอีกต่อไป
ภายในห้องศิลาในเรือนของเขา
ซูเฉินถือถ้วยแก้วในมือตนด้วยความระมัดระวังยิ่ง
ภายในถ้วยแก้วถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยตัวกั้นบาง ๆ ของเหลวสีน้ำเงินและสีแดงถูกแยกกันอยู่ในถ้วยแก้วนั้น
ซูเฉินค่อย ๆ ดึงตัวกั้นออก ตัวปิดกั้นของเหลวทั้งสองสีค่อย ๆ ถูกดึงขึ้นมา พวกมันจึงเริ่มผสมกัน จากนั้นเกิดเป็นฟองผุดขึ้น
ถ้วยแก้มเริ่มสั่นสะเทือน เมื่อฟองผุดเริ่มเพิ่มจำนานมากขึ้น มันก็ยิ่งสั่นแรงขึ้น แรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเสียงระเบิด “ตูม!” ดังขึ้น
เศษแก้วที่แตกกระจายจากแรงระเบิดกระเด็นไปทั่วทิศ ทั้งยังกระเด็นใส่ซูเฉิน แต่เด็กหนุ่มได้เตรียมการไว้ก่อนหน้าแล้ว เขาใช้ผู้พิทักษ์แห่งเม็กกันเศษซากต่าง ๆ ที่กระเด็นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย
“ในที่สุดก็สำเร็จ!” ซูเฉินหัวเราะน้ำเสียงพึงพอใจเมื่อมองเศษซากที่กระจัดกระจายบนพื้น
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)