บทที่ 116 เข้าพื้นที่การประลอง
เขายอดแดงกลายเป็นเหมือนถ้วยกระเบื้องขนาดใหญ่
สิ่งที่ปกคลุมรอบแนวเขาขนาดใหญ่ไว้คือเกราะแสงที่มีจำนวนขอบทั้งหมดสามพันสี่ร้อยยี่สิบขอบครอบคลุมทั่วท้องฟ้า เป็นราวกับฝาครอบล่องหน คลุมทั้งเขายอดแดงเอาไว้
ทางทิศตะวันตกของค่ายกลนั้น หอคอยสูงลิ่วขนาดใหญ่แห่งหนึ่งได้ถูกปลูกสร้างไว้
มองดูแล้วเป็นเหมือนหอคอยสีทองแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าของมันมีลานขนาดใหญ่อยู่
เหล่าทหารในชุดเกราะสีทองยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ที่มุมซ้ายขวาของแต่ละขั้นบันใดที่ทอดขึ้นไปสู่หอสูง เมื่อมองดูดี ๆ แล้ว ทหารเหล่านั้นต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
ด้านบนหอสูงคือห้องโถงขนาดใหญ่ ภายในมีผู้ยิ่งใหญ่แห่งมณฑลสามเทือกเขานั่งอยู่
ผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้คือ หลงจื้อชิงเจ้าตำหนักเซียนเหิน เยว่เว่ยฉวงเจ้าเมืองหลินเป่ย หนานฉีเวยเจ้าเมืองเมฆาลอยและเจ้าหน้าที่คนสำคัญต่าง ๆ ยังมีตระกูลอวี๋แห่งแม่น้ำเว่ย ตระกูลหลิวแห่งป่าตอนเหนือ ตระกูลเฉียนแห่งสามสัตถ รวมทั้งตระกูลชั้นสูงอีกหลายตระกูล แน่นอนว่าตระกูลใหญ่ในถิ่นเองเช่นตระกูลซูและตระกูลหลินย่อมมาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงหรือมาจากตระกูลสูงส่งเพียงไร ในตอนนี้ต่างก็นั่งล้อมรอบคนผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ตรงกลาง
เป็นชายวัยกลางคน บนใบหน้ารูปร่างเหลี่ยมดูเฉียบขาดมีหนวดสีดำสามแถบ มองแวบแรกให้ความรู้เปิดเผยตรงไปตรงมา
นามของเขาคือจ้าวอวี้ หนึ่งในคณะเดินทางจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น เป็นผู้คมสอบใหญ่ในการสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นของเขตมณฑลสามเทือกเขาในปีนี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสิบแปดคานทองคำแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น
ผู้ที่ได้รับตำแหน่งคานทองคำนั้นคล้ายกับเสาหินนั่นเอง
หากเขาเป็นเสาหลักแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้น ย่อมเป็นเสาหลักของแผ่นดินหลงซางเช่นเดียวกัน แม้จะไม่ได้มียศตำแหน่งอันใดเป็นทางการ หากแต่ผู้คนก็เคารพนบน้อมต่อสถานะนี้ อีกทั้งชายผู้นี้ยังมีพละกำลังแข็งแกร่ง การที่สามารถเป็นคานทองคำของสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ ย่อมหมายถึงเขาได้ฝึกตนบ่มเพาะพลังจนถึงด่านสี่ ด่านสู่พิสดารแล้ว
มีเพียงผู้มีพลังสูงส่งเช่นเขาจึงจะสามารถควบคุมคนได้
ในทุกปี ระหว่างที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นเปิดรับศิษย์ สำนักใหญ่และตระกูลใหญ่ต่างต้องการให้ลูกหลานเหล่าศิษย์ของตนสอบผ่านเข้าไปยังสถาบันได้ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงยอมทำทุกวิถีทาง รวมถึงมีการติดสินบนด้วย
หากส่งคนธรรมดาสามัญมาย่อมไม่อาจควบคุมคนหมู่มาก และอดใจกับสินบนกลลวงเหล่านี้ได้
มีแต่ผู้มีขั้นพลังด่านสู่พิสดารเท่านั้นที่สามารถหยุดยั้งคนชั้นสูงเหล่านี้ได้ พวกเขาย่อมต้องฉุกคิดว่าต้องการติดสินบนคนเช่นนี้จำต้องจ่ายราคาเท่าใด พวกเขาจะสามารถจ่ายได้หรือไม่ แล้วคุ้มค่าหรือไม่ ?
จ้าวอวี้ยืนอยู่บนหอสูง ทอดสายตาไปยังที่ไกลด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาเกิดมาเป็นผู้มีใบหน้าดุดัน ดังนั้นใบหน้าจึงดูเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา
เหล่าผู้เข้าสอบที่เดินทางมาจากทั่วทุกหนทุกแห่งพากันมารวมตัวกันที่ลานด้านล่างหอสูง
ผู้เข้าสอบจากเมืองหลินเป่ยได้เปรียบกว่าเล็กน้อย พวกเขาได้เปรียบเรื่องสถานที่ ตื่นให้เช้าหน่อยเป็นพอ หากแต่ผู้เข้าสอบจากที่อื่น ๆ จำต้องออกเดินทางหลายวันก่อนหน้า บางคนจองโรงเตี๊ยมในเมืองไว้ บางคนก็จัดที่นอนไว้บนพื้นและนอนบนลานนั้นเสียหนึ่งคืน
แม้จะเข้ากลางฤดูร้อนแล้ว แต่ทุกคนต่างทำการบ่มเพาะพลัง ไม่เกรงกลัวที่จะต้องพบกับความยากลำบากเล็กน้อยเช่นนี้
นาฬิกาบนหอสูงยังคงเดินต่อไปเรื่อย ๆ
เหลือเวลาไม่มากแล้ว
ผู้เข้าสอบเดินทางกันเข้ามารวมตัวกันในลานมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่นานก็มีกันถึงหมื่นกว่าคนแล้ว ส่วนบรรดาเจ้าหน้าที่ต้อนรับด้านหน้าต่างก็ทำการตรวจสอบเหล่าผู้เข้าร่วมการสอบอย่างแข็งขัน
มณฑลสามเทือกเขามีเมืองอยู่ทั้งหมดสิบห้าเมือง ทว่าศิษย์ที่เลือกจากเมืองต่าง ๆ กลับไม่เท่ากัน แต่เมื่อนับรวมกันแล้วจะครบหนึ่งร้อยคนพอดี ซึ่งผิดกับจำนวนคนที่มาในวันนี้ที่มีมากกว่าหมื่นคน เรียกได้ว่าเป็นโอกาสหนึ่งในร้อยที่จะได้เข้าสถาบันแห่งนี้อย่างแท้จริง
แม้ซูเฉิน หลินจิ้งซวน และคนอื่น ๆ จะถือว่าเป็นหน่ออ่อนอนาคตไกล หากแต่ผู้เข้าร่วมการสอบไม่ได้จำกัดแต่เพียงคนเช่นพวกเขา
ผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้เช่นเดียวกัน ต่างคนต่างมุ่งทำตามความฝันของตนอย่างไม่ลังเล พวกเขาต่างใช้การต่อสู้ในครั้งนี้ตัดสินชะตาชีวิตในภายภาคหน้าของตนเอง
ในตอนนี้ ตระกูลซูได้ส่งชื่อคนสี่คนเข้าร่วมการสอบ คือซูเฉิน ซูชิง ซูถง และคนอีกคนหนึ่ง
ถูกต้อง ซูชิงก็เข้ารับการสอบด้วย
แม้จะพ่ายแพ้แก่ซูเฉิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเสียสิทธิ์ในการเข้าประลองไป หากแต่ทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้ที่แม้แต่ในตระกูลตนเองยังไม่อาจคว้าอันดับหนึ่งมาได้จะสอบติดได้เยี่ยงไร ดังนั้นนี่จึงเป็นเพียงการเข้าร่วมการทดสอบพอเป็นพิธีเท่านั้น
แต่แม้จะเป็นเพียงการทำตามพิธีการ พวกเขาก็ยังไม่ยอมแพ้ อย่างไรก็ต้องแย่งที่นั่งมาให้ได้ !
เมื่อเวลาผ่านไป คนที่เดินทางเข้ามาก็เริ่มลดลงเรื่อย ๆ
ผู้คุมสอบหนุ่มในชุดคลุมขาวเคลื่อนกายไปใกล้จ้าวอวี้ก่อนเอ่ยถาม “ท่านกูรู ใกล้ถึงเวลาแล้ว เราควร……”
จ้าวอวี้หันไปมองนาฬิกาบอกเวลา “ยืดเวลาออกไปอีกหน่อยเถอะ อาจมีคนที่มาถึงช้าหน่อยก็เป็นได้”
ผู้คุมสอบเข้าใจนิสัยจ้าวอวี้ดี เขารู้ว่าจ้าวอวี้ดูท่าทางเป็นคนที่โน้มน้าวยากและมั่นคง หากแต่แท้จริงแล้วมีจิตใจอ่อนโยน ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่คนคนนี้แสดงความเมตตาออกมา ดังนั้นเขาจึงยืดเวลาเริ่มการสอบแข่งขันออกไปอีกหน่อย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)