บทที่ 120 ข้ามเขต (4)
“หากเป็นลูกผู้ชายตัวจริงก็ต้องจัดการคู่ต่อสู้ตามเส้นทางนี้ให้สิ้น!”
คำพูดประโยคนี้ทำเอาลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลีตะลึงไป
คนทั้งคู่มองซูเฉินราวกับกำลังมองตัวประหลาด
ต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะสามารถกล่าวประโยคเช่นนี้ออกมาได้?
ต้องมีความเย่อหยิ่งถึงเพียงไหนจึงจะคิดทำเช่นนั้น?
เช่นนี้ก็เหมือนกับการต่อสู้ประมือไปเรื่อยจนกว่าจะถึงเขต 1 เลยน่ะสิ!
ใคร ๆ ต่างรู้ว่าผู้ที่อยู่ในเขต 1 เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นไร คนเหล่านั้นคือหน่ออ่อนที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลสามเทือกเขา ที่นั่นมีอัจฉริยะอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง มีตระกูลสายเลือดสูงส่งอยู่ทั่วไป ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นผู้มีพลังสูงส่งด้วยสายเลือดที่สืบต่อมาได้ พวกที่มีเลือดผสมยังต้องหลีกทางให้
ลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลีที่กล่าวว่าต้องการต่อสู้เพื่อเกียรติยศนั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงการข้ามมายังเขต 12 เพื่อต่อสู้กับคนสักสองสามคน หากทั้งคู่มั่นใจในฝีมือตนคงจะข้ามไปยังเขต 11 แล้ว แต่อย่างไรเขตเหล่านี้ก็อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก พละกำลังและฝีมือของคนแต่ละเขตย่อมไม่แตกต่างกันมาก
พวกเขาไม่เคยคิดจะดาหน้าต่อสู้กับผู้อื่นตั้งแต่ต้นแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของสองคนนั้นแล้ว ซูเฉินก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “อะไรกัน พวกเจ้าไม่กล้าหรือ”
“ไม่ใช่ไม่กล้า แต่เราทำไม่ได้” ลี่ชิงอวิ๋นบ่นงึมงำ แม้ปกติจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีความหยิ่งยโส แต่หากเป็นเรื่องนี้เขากลับไม่กล้าโอ้อวด
“หากไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร?” ซูเฉินโต้ “ถ้าได้ลองแล้วไม่สำเร็จ อย่างไรก็ไร้ความเสียดายภายหลัง ดังนั้นไม่ว่าพวกเจ้าจะไปหรือไม่ ข้าก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำเช่นนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือจะสามารถยืนหยัดไปจนถึงที่สุด ดังนั้นข้าต้องขออภัยด้วย แต่ข้าไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเจ้า”
พูดจบเขาก็หันหลังแล้วเดินจากไป
พูดคุยกันอยู่นาน ประโยคสุดท้ายที่เขาพูดออกมานับเป็นประโยคที่จริงใจที่สุด
เจ้าบ้าหรือเปล่า? สู้มาจนถึงจุดนี้ก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว แล้วยังต้องมาสู้กับพวกเจ้าสองคนอีกน่ะหรือ?”
หากต้องต่อสู้กับสองคนนี้ แม้จะเอาชนะได้แต่ก็คงเสียหายบาดเจ็บไม่น้อย ไม่แน่ว่าต้องใช้ไพ่ตายที่เตรียมไว้จนเกือบหมดเลยด้วยซ้ำ
ซูเฉินไม่ต้องการใช้ไพ่ตายที่ซ่อนไว้เร็วเช่นนี้ ดังนั้นจึงพยายามใช้ฝีปากพูดกลบเกลื่อนเกลี้ยกล่อมแทนฝีมือ
หากสองคนนี้เป็นคนแปลกหน้าที่ซูเฉินไม่เคยรู้จักมาก่อน ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็คงไร้ประโยชน์ ในเมื่อทั้งคู่เพิ่งจะข้ามจากเขต 13 มายังเขต 12 สิ่งที่ซูเฉินกล่าวไปจึงค่อนข้างกระทบใจพวกเขาทั้งสองยิ่งนัก
หากสามารถทำให้สองคนนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวกันได้ก็นับว่าแผนสำเร็จแล้ว
หากเขาโชคดี ไม่เพียงแต่เลี่ยงการต่อสู้ได้ แต่อาจได้เพื่อนร่วมทางเพิ่มอีกสองคนเพื่อแบ่งกันรับแรงกดดันอีกด้วย
คนหนุ่มทั้งสองหันมองหน้ากัน เป็นลี่ชิงอวิ๋นที่หัวเราะเสียงทะมึนออกมา “น่าสนใจนี่ หน้ากากปีศาจผู้นี้กล้าหาญนัก เจ้าคิดว่าอย่างไรไป๋หลี? สนใจหรือไม่?”
ไป๋หลีเหลือบมองซูเฉิน ฉับพลันตะโกนขึ้น “นี่ หากข้าร่วมด้วยเจ้าจะถอดหน้ากากเผยตัวตนที่แท้จริงหรือไม่?”
ซูเฉินหันหน้ากลับมามองคนทั้งคู่ เขามองไป๋หลี จากนั้นลี่ชิงอวิ๋นตามลำดับ
ใบหน้าลี่ชิงอวิ๋นเองก็ดูมีความคาดหวังเช่นกัน
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “หากเจ้าตามข้าทัน ครั้งหน้าที่พบกันข้าจะถอดหน้ากาก”
จบประโยคแล้วก็หันหลังกลับ เดินจากไปอีกครา
“หากเจ้าตามข้าทัน…… โอหังเสียจริง” ลี่ชิงอวิ๋นพึมพำเสียงต่ำขณะมองเงาร่างที่กำลังจากไปของซูเฉิน
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอีกฝ่ายมีความมุ่งหวังสูงส่งกว่าเขาอยู่เล็กน้อย
แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ลี่ชิงอวิ๋นผู้เย่อหยิ่งก็ไม่ยอมก้มหัวยอมแพ้ เขามองไปที่ไป๋หลี “ไปเถอะ ดูกันว่าใครจะสามารถไปได้ไกลกว่ากัน”
ไป๋หลีหัวเราะ “ข้าไปทางนี้ก็แล้วกัน แล้วเดี๋ยวเจอกัน”
กระโดดตีลังกาวูบหนึ่งแล้วร่างเขาก็หายไปในพงหญ้า
——————————
เมื่อสามารถเลี่ยงการต่อสู้กับลี่ชิงอวิ๋นและไป๋หลีได้แล้ว ก็นับได้ว่าซูเฉินสามารถหลีกเลี่ยงการต่อสู้อันดุเดือดไปได้หนึ่งครา ช่วยรักษาพลังที่มีอยู่อีกเล็กน้อย
แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อมีอีกสองคนที่ช่วยแบ่งเบาแรงกดดันเช่นนี้ หนทางเบื้องหน้าของเขาย่อมคลายความซับซ้อนลงได้บ้าง
ไม่นานซูเฉินก็เดินทางออกจากเขต 12 เข้ามายังเขต 11
นับจากเขต 10 ขึ้นไปนับเป็นเขตระดับต่ำทั้งสิ้น ความแตกต่างของพลังและฝีมือของผู้คนในเขตไม่ต่างกันมากนัก ดังนั้นยามอยู่ในเขต 11 ซูเฉินจึงไม่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ฝีมือแกร่งกล้าเท่าใดนัก ยามเจอคู่ต่อสู้ก็ทำเพียงใช้วิชาลูกไฟและวิชาหนวดอากาศเพื่อจัดการอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้ เขามีทักษะต้นกำเนิดทั้งหมดเจ็ดทักษะ นับว่าเป็นจำนวนที่มากสำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เพิ่งขึ้นมาจากด่านหลอมกายา หากแต่ยังขาดแคลนด้านคุณภาพ เขายังขาดทักษะและวิชาที่สามารถสั่นสะท้านชั้นฟ้าภายในการซัดพลังคราเดียวได้ เด็กหนุ่มนั้นยังขาดวิชาที่สามารถสังหารศัตรูในหนึ่งการโจมตี
แต่ด้วยความที่ผู้เข้าสอบส่วนมากยังอยู่ในด่านหลอมกายา มีส่วนน้อยนักที่จะอยู่ในขั้นด่านก่อเกิดลมปราณได้ไม่เท่าไหร่ ดังนั้นฝีมือพวกเขาจึงไม่ได้สูงส่งมากมายนัก แต่ละคนมีทักษะต้นกำเนิดสักสองหรือสามทักษะก็นับว่าน่าประทับใจมากแล้ว
นอกจากนี้ ซูเฉินยังมีเรื่องที่เหนือกว่าผู้อื่นอยู่อีกหนึ่งเรื่อง นั้นคือพื้นฐานการบ่มเพาะพลังนั้นอยู่ที่ด่านหลอมกายาขั้นห้าแล้ว
แม้พื้นฐานการบ่มเพาะพลังจะไม่ได้ส่งผลต่อความสามารถในการโจมตีโดยตรง แต่ก็ยังได้ประโยชน์อยู่บ้าง เพียงแค่พลังต้นกำเนิดที่เขามีในร่างก็นับว่ามากกว่าคนส่วนมากแล้ว
ด่านหลอมกายาขั้นแรกอยู่ที่ 10 ดาราเหลือง ในขณะที่ด่านหลอมกายาขั้นห้าอยู่ที่ 50 ดาราเหลือง
หรือก็คือซูเฉินมีพลังต้นกำเนิดในร่างมากกว่าห้าเท่าของเหล่าผู้เข้าแข่งขันที่อยู่ในขั้นแรก ในสนามสอบแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดที่จะมีพลังต้นกำเนิดไปมากกว่าเขาแล้ว
ด้วยพลังต้นกำเนิดที่มีมากมายเช่นนี้ หากซูเฉินไม่ต้องประจันหน้าเข้ากับเหล่าหน่ออ่อนจากแต่ละเขต ก็นับว่าเขาสามารถจัดการเหล่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ครั้งนี้เขาโชคดีนัก ไม่พบเหล่าหน่ออ่อนฝีมือสูงส่งจากเขต 11 หรือเขต 12 แม้เพียงครึ่งคน ส่วนหน่ออ่อนจากเขตของเขาเองก็ถูกหลอกให้เดินทางไปยังเขตระดับสูงกว่าพร้อมกันกับเขา ดังนั้นจึงสามารถเดินทางข้ามผ่านเขต 11 ไปได้โดยไร้เภทภัยใด
หากแต่ยามที่ก้าวเท้าเข้ามายังเขตสิบ ซูเฉินก็บพบปัญหาจนได้
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)