ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 139

สรุปบท บทที่ 139 ตะขาบพิษ: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 139 ตะขาบพิษ – ตอนที่ต้องอ่านของ ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ตอนนี้ของ ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) โดย Internet ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายกำลังภายในทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง บทที่ 139 ตะขาบพิษ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

บทที่ 139 ตะขาบพิษ

ทันทีที่เสียงนั้นดังก้องขึ้น ซูเฉินก็พุ่งออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนถึงขีดจำกัด เขาพลิกตัวหันกลับไปและบินถอยหลังพลางเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้คนใหม่โดยไม่ได้ชะลอความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ในเวลาเดียวกันเขาก็ฟาด 18 ฝ่ามือออกไปเบื้องหน้า

คลื่นฝ่ามือที่กรีดผ่านอากาศ ส่งเสียงที่ฟังดูราวกับฟ้าร้องดังก้อง

คลื่นแห่งความมืดได้ถูกฝ่ามือของซูเฉินหยุดเอาไว้อย่างฉับพลัน มันไม่สามารถเข้าใกล้เขาไปมากกว่านั้นได้เลยแม้แต่น้อย

นี่คือประโยชน์ของทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย แม้ว่าดาบอัสนีบาตรจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่มันก็สามารถใช้ได้ทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ เมื่อแรงลมจากฝ่ามือพุ่งไปข้างหน้ามันก็ส่งเสียงคำรามดุจฟ้าร้อง ป้องกันไม่ให้คลื่นสีดำนั้นได้ขยับไปไหนอีก

ซูเฉินถือโอกาสนี้เสริมเกราะป้องกันให้กับตัวเองก่อนจะมองไปยังผู้ที่ซุ่มโจมตีเข้ามา

คนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของซูเฉินคือเด็กหนุ่มในชุดสีเขียว ลมปราณสีดำหมุนวนอยู่รอบ ๆใบหน้าของเขา สายตาของเขาที่จ้องมายังซูเฉินเต็มไปด้วยความตกใจ “เจ้าหลบ 5 ไอพิษของข้าได้ ? ดูเหมือนเจ้าพอจะมีความสามารถอยู่บ้างเช่นกันสินะ”

พานเยว่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ลุกขึ้นยืน ก่อนหน้านี้เขาได้ร้องวิงวอนขอความเมตตาอย่างขมขื่น ทว่าในยามนี้มันกลับเปลี่ยนไปเป็นจิตสังหารอย่างรุนแรง “เจ้าถึงกับกล้าทำกับข้าเช่นนั้น ข้าไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ ตายไปให้ข้าซะ !”

ดาบในมือของพานเยว่แทงตตรงเข้าหาซูเฉิน

เมื่อเด็กหนุ่มในชุดสีเขียวเห็นฉากนี้ ริมฝีปากของเขาก็โค้งลง “เจ้าโง่”

แม้ว่าครั้งนี้ดาบของพานเยว่จะดุร้าย แต่เพราะอาการบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มีเพียงแค่จิตสังหารที่รุนแรงพร้อมที่จะฆ่า ทว่ากลับขาดทักษะและพลังที่จะลงมือ

ซูเฉินหลบหลีกการโจมตีของดาบไปด้านข้างอย่างไม่ใส่ใจ ขณะเดียวกันนั้นเด็กหนุ่มก็กระแทกเข่าเข้าไปที่กลางลำตัวของพานเยว่ โดยที่ซูเฉินไม่จำเป็นต้องใช้หมัดของเขาเพื่อส่งอีกฝ่ายกลับลงไปที่พื้นแม้แต่น้อย

ในความเป็นจริงเขาไม่ได้สนใจพานเยว่มากนัก แต่กลับเบนสายตาของเขาไปจับจ้องชายผู้สวมชุดสีเขียวแทน

“ไอ้เวรนี่!” พานเยว่กัดฟันด่าขณะที่เขาพยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้ยืนขึ้น เขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยลูกเตะอีกครั้ง คราวนี้เป้าที่ซูเฉินเล็งไว้คือหัวของอีกฝ่าย

การเตะครั้งนี้ซูเฉินได้ใช้ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา หากพานเยว่ไม่ตายก็คงกล่าวได้ว่าเจ็บสาหัส

จังหวะที่ซูเฉินส่งลูกเตะลงบนศีรษะของอีกฝ่าย ทันใดนั้นชายผู้สวมชุดสีเขียวก็เคลื่อนไหว เขายิงแสงสีดำเข้าหาซูเฉิน “หากข้าไม่อนุญาตให้ฆ่ามัน คิดหรือว่าเจ้าจะทำได้ ?”

ซูเฉินบิดตัวหลบการโจมตีนั้น ในขณะที่เด็กหนุ่มผู้สวมชุดสีเขียวตรงมาที่ด้านหน้าของพานเย่วแล้วเตะส่งเขากระเด็นออกไป “ออกไปจากที่นี่เสีย ! เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่ คิดจะส่งตัวเองไปให้มันฆ่าหรือไงกัน ! ?”

ในเวลาเดียวกันกับที่เขาพูดกับพานเยว่ มือของเขาก็ขยับไปมาในอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อเป็นฝ่ามือนับพันที่ส่งกลิ่นพิษที่รุนแรงพุ่งตรงไปยังซูเฉิน

ตะขาบพิษข่งเชิน ฉายานี้ไม่ได้มาจากสายเลือดของเขา แต่เป็นเพราะความเชี่ยวชาญในวิชาฝ่ามือนี้ที่ทำให้ดูเหมือนว่าเขามีมือและเท้านับพัน ยิ่งไปกว่านั้นมือของข่งเชินก็มากไปด้วยพิษร้ายแรง จึงทำให้ทักษะนี้อันตรายยิ่งขึ้น …

ซูเฉินต้องถอยหนีเมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือพิษนี้

พานเยว่ผู้ถูกข่งเชินเตะแยกออกมาจากการต่อสู้ จ้องเขม็งไปยังซูเฉินด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่ข่งเชิน พานเยว่รู้ตัวดีว่าตนไม่สามารถเข้าร่วมในศึกนี้ได้อีกต่อไป เขาจึงหมุนตัวกลับและเริ่มหลบหนี

เมื่อเห็นร่างที่บาดเจ็บของพานเยว่ที่กำลังวิ่งหนีอย่างทุลักทุเล ซูเฉินไม่ได้โกรธแต่กลับเผยรอยยิ้มออกมาแทน “เจ้าคิดว่ามันจะจำเรื่องที่เจ้าพยายามจะช่วยมันได้จริง ๆ หรือ ? หลังจากที่เจ้าเตะส่งมันออกไป วิธีที่มันมองเจ้าเมื่อครู่ดูเหมือนมันจะไม่พอใจเจ้าเสียเท่าไหร่ ในโลกนี้นะ มันมักจะมีคนที่ไม่เข้าใจว่าบุญคุณอยู่เสมอนั้นแหละ”

ข่งเชินหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยเจอพวกขยะแบบมันมาก่อนหรืออย่างไร ? ข้าไม่ได้ต้องการให้มันรู้สึกติดหนี้บุญคุณข้าเลย ทั้งหมดที่ข้าต้องการคือให้มันกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่เชื่อฟังคำสั่งของข้าก็เท่านั้น”

“แล้วเจ้าคิดว่ามันจะเชื่อฟังเจ้า ?”

“เจ้าคิดว่าข้าเตะส่งมันออกไปแบบส่ง ๆ งั้นรึ ? ข้าวางยามันไปต่างหาก !” ข่งเชินกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “เรื่องของมันนะช่างเถอะ แล้วตัวเจ้าเล่า ? ข้าคือผู้ที่ทำลายแผนการฆ่ามันของเจ้าจนพังยับ เจ้าไม่รู้สึกเกลียดข้าขึ้นมาเลยหรืออย่างไร ?”

ซูเฉินตอบอย่างสบาย ๆ “เจ้าบอกข้าว่าเจ้าวางยามันไปแล้ว แล้วเหตุใดข้าจะต้องไปสนใจมันอีกกัน ?”

ข่งเชินยิ้ม “มันไม่ใช่ยาพิษร้ายแรงถึงชีวิต พิษนี้เพียงแค่จะทำให้มันไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้และจะทิ้งกลิ่นเฉพาะที่ช่วยให้ข้าตามมันไปได้ง่ายขึ้นเอาไว้ เป็นอย่างไร ? ผิดหวัง ?”

“ข้าก็คิดอยู่ว่าข้าได้กลิ่นอะไรแปลก ๆ ” ทันใดนั้นซูเฉินก็ตระหนักขึ้นได้ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าตราบใดที่ข้าจัดการเจ้าเรียบร้อยแล้ว ข้าก็เพียงแค่ต้องตามกลิ่นนี้ไปหามันเท่านั้น ? ฮ่าฮ่า ตอนนี้ข้ายิ่งสนใจมันน้อยลงไปอีก”

ระหว่างการสนทนา ทั้งสองไม่ได้หยุดต่อยตีกันเลยแม้แต่ครู่เดียว หากมีผู้สังเกตการณ์ค่อยดูอยู่ พวกเขาอาจเข้าใจผิดไปว่าเด็กหนุ่มทั้งสองกำลังทะเลาะต่อยตีกันตามปกติ แต่แท้จริงแล้วทุกการโจมตีของทั้งคู่นั้น ล้วนมุ่งเป้าไปที่หัวใจอีกฝ่ายทั้งสิ้น

พวกเขาต่างก็พยายามกระตุ้นความโกรธแค้นเพื่อรบกวนสภาพจิตใจของอีกฝ่าย ซูเฉินยั่วยุข่งเชินด้วยการเป่าหูว่าพานเยว่เนรคุณ ส่วนข่งเชินยั่วยุซูเฉินด้วยการล้อเลียนว่าเขาล้มเหลวในการฆ่าพานเยว่และปล่อยให้ฝ่ายนั้นหนีไปได้ ทว่าก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ ทั้งคู่พบว่าพวกเขาเท่าเทียมกันทั้งในแง่ของกำลังและไหวพริบ

ไหเหล้า

เด็กหนุ่มโยนมันใส่ฝูงตัวต่อพิษเหล่านั้น

แม้ระเบิดไหเหล้าจะไม่ได้ทรงพลังเท่าระเบิดเพลิงปักษา แต่ระยะผลกระทบของมันกระจายออกเป็นวงกว้างกว่ามาก ถ้าระเบิดเพลิงปักษาเรียกว่าเป็นการโจมตีเป้าหมายเดียว เช่นนั้นระเบิดไหเหล้าก็นับเป็นการโจมตีแบบหมู่ การระเบิดนี้กวาดล้างตัวต่อพิษไปจำนวนนับไม่ถ้วนในครั้งเดียว

ข่งเชินเดินโซเซสะดุดล้มลงกับพื้นมองดูทะเลเพลิงที่อยู่ตรงหน้าของเขา ในขณะที่ฝูงตัวต่อพิษทยอยร่วงลงมา ส่งผลให้เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด “ที่รักของข้า !”

เขาจ้องเขม็งไปที่ซูเฉินด้วยความโกรธ “เจ้าสมควรตาย !”

ซูเฉินพึมพำ “ก่อนจะพูดเช่นนั้น ข้าว่าเจ้าควรจะดูสถานการณ์ของตัวเองก่อนจะดีกว่านะ”

ซูเฉินกำลังจะเคลื่อนไหว ทว่าทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นและขาของเขาก็อ่อนแรงลง อย่างไรก็ตาม คราวนี้ซูเฉินไม่ได้แกล้งทำ

ข่งเชินตะโกนขึ้นด้วยความดีใจ “เจ้าถูกพิษแล้ว !”

ใช่ ซูเฉินถูกวางยาพิษจริง ๆ

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลีกเลี่ยงการถูกพิษ เมื่อต้องต่อสู้กับคนอย่างตะขาบพิษข่งเชิน

อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดต่างไปจากคนธรรมดาทั่วไป เพราะร่างกายของพวกเขามีความสามารถในการต่อต้านพิษอยู่แล้ว หากพวกเขาถูกพิษเบา ๆ หรือพิษธรรมดาทั่ว ๆ ไป ตราบเท่าที่มันไม่ใช่พิษประเภทกัดกร่อนเลือดเนื้อ พวกเขาก็สามารถถอนพิษได้โดยไม่ต้องใช้ยาแก้พิษ

พิษของตะขาบพิษข่งเชินนั้นมีข้อจำกัดอยู่ เขาไม่สามารถใช้ยาพิษที่รุนแรงจนเกินไปได้ ด้วยการคลุกอยู่กับยาพิษมาหลายปี ทำให้ความต้านทานต่อพิษของข่งเชินสูงกว่าคนส่วนใหญ่มาก แต่ทว่ามันก็ยังคงแลกกับความแข็งแกร่งด้านพลังกายที่ลดลง

ด้วยเหตุนี้ข่งเชินจึงฝึกฝนทางด้านนี้เพิ่มเป็นพิเศษเพื่อเสริมสร้างร่างกายของเขา ทำให้เขายังคงสติเอาไว้ได้หลังจากโดนแรงระเบิดจากระเบิดเพลิงปักษาเข้าไป

ในตอนนี้สถานการณ์ของพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้มีใครดีไปกว่าใครเลย ซูเฉินถูกวางยาพิษ ส่วนข่งเชินก็บาดเจ็บสาหัส แต่ทว่าสายตาที่ทั้งสองจ้องกันและกัน กลับเต็มไปด้วยความดุร้ายและไม่ยอมถอยให้อีกฝ่าย

พริบตาต่อมา พวกเขาก็ตะโกนขึ้นจนสุดปอดและพุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งในเวลาเดียวกัน

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)