บทที่ 143 ผีเสื้อลวง (2)
ซูเฉินใช้ท่าเท้าอีกครั้ง ท่าทางเขาเหมือนใกล้จะถูกบีบคั้นจนไม่อาจต่อสู้ไหว หากแต่ทุกสิ่งอย่างกลับอยู่ในความควบคุมของเขา
เด็กหนุ่มยังต่อสู้ติดพันอยู่กับคู่ต่อสู้ทั้งสองคน ทว่าทันใดนั้นเขากลับรู้สึกว่าภาพที่เห็นเริ่มดำวูบ รู้สึกราวกับตนกำลังจะหมดสติโดยไร้เหตุผล
เขาเพิ่งป้องกันหอกเหล็กที่ชายหนุ่มเกราะเงินเสือกเข้ามา และกำลังพลิกตัวหลบดาบขจัดทมิฬ หากแต่ความมึนงงกลับทำให้ความรวดเร็วลดลง ในจังหวะสำคัญนั้นเอง ซูเฉินพยายามฝืนความสับสนมึนงงนั้น พลิกร่างตนกลางอากาศ คมดาบเฉือนผ่านเอวเขาไปเล็กน้อย เลือดพุ่งกระฉูดออกมา
คมดาบเมื่อครู่สะกิดโดนผิวเพียงนิดเท่านั้น หากแต่บาดแผลกลับถูกพลังระเบิดออกจนเป็นแผลใหญ่ ตอนแรกเป็นเพียงรอยขีดข่วนเล็ก ๆ หากแต่ตอนนี้ซูเฉินกลับได้รับบาดเจ็บแล้ว
ซูเฉินล่าถอยออกไป เขาเหลือบมองจินหลิงเอ้อร์ เห็นนางมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า นัยน์ตาปิดบังประกายสว่างไว้ เขาสบตากับนางเพียงชั่วครู่ หากแต่รู้สึกว่าความวิงเวียนในร่างพลันเพิ่มขึ้นสูง
สถานการณ์ตอนนี้ไม่ดีนัก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงก้มหน้าลงหลบสายตานาง แต่ถึงกระนั้นรอยยิ้มของนางยังคงตามหลอกหลอน ที่ข้างหูราวกับได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ ดังสะท้านไปมาไม่หยุด ส่งผลให้จิตใจเขาสั่นคลอน ไม่อาจอ่านสถานการณ์รอบกายได้อย่างเฉียบขาด
วิชามายา !
วิชามายาของจินหลิงเอ้อร์นั้นไม่เหมือนกับหลี วิชามายาของนางสามารถส่งผลกระทบถึงจิตใจศัตรู เชี่ยวชาญด้านการโจมตีจิตใจของอีกฝ่าย
ยามเห็นบาดแผลรุนแรงบนท้องของซูเฉิน จินหลิงเอ้อร์ก็หัวเราะออกมา “ฟื้นตัวไวดีจริง น่าเสียดาย…… ลองใหม่ก็แล้วกัน”
นางพูดจบก็กระโดดลอยไปในอากาศ ชุดสีสันสดใสของนางแผ่กระจายล้อแสงตะวัน กลายเป็นแสงสีสวยส่องลงมาดั่งผีเสื้อสีสันงดงามกำลังโผบิน
จินหลิงเอ้อร์สะบัดมือวูบหนึ่ง สายลมก่อตัวขึ้นรอบกายนางในพลัน สายลมนั้นผสมกลมกลืนไปด้วยกลิ่นหอมหนึ่ง จากนั้นนางก็สะบัดมือ ส่งลมหอบนั้นไปล้อมกายซูเฉินไว้
ผู้ใดรู้จักนางย่อมกรีดร้องลั่นออกมาเมื่อเห็นภาพฉากนี้ จินหลิงเอ้อร์ถึงกับใช้น้ำค้างหยกหอม !
“ผีเสื้อลวง” นั้นคล้ายกับ “ตะขาบพิษ” เป็นชื่อที่มีความหมายได้สองอย่าง คำว่า “ลวง” หมายถึงวิชามายาอันแข็งแกร่งและความสามารถในการควบคุมจิตคนของนาง ส่วนคำว่า “ผีเสื้อ” นั้นหมายถึงวิชาน้ำค้างหยกหอม
แม้จินหลิงเอ้อร์จะทำท่าราวกับไม่ใส่ใจสิ่งใดนัก หากแต่ในตอนนี้นางกลับเผยไพ่ตายออกมาแล้ว
น้ำค้างหยกหอมลอยไปตามลมหอบหนึ่งที่พัดเข้าใส่ซูเฉิน
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่ากลิ่นหอมยวนใจนี้มีไว้เพื่ออันใด หากแต่ถึงไม่รู้ก็สัมผัสได้ว่าต้องรับมือได้ยากเป็นแน่
เขาสะบัดมือตนครั้งหนึ่ง เสียงสายฟ้าคำรามดังขึ้น ส่งกลิ่นหอมที่ลอยมาตามแรงลมให้กระจายออกไป
หากแต่เขาไม่ทันคาดคิดว่าการโจมตีนี้ไม่ได้หมายโจมตีเขา กลิ่นหอมสายนี้หลอกให้เด็กหนุ่มเลื่อนไหว ส่วนชายหนุ่มชุดเกราะเงินและพานเยว่ เมื่อพวกเขาสูดลมหายใจเอากลิ่นหอมนั้นเข้าไป พละกำลังก็พลันกลับคืนมาในทันที
ชายหนุ่มชุดเกราะเงินจ้วงหอกเข้าใส่ซูเฉินทันที แรงจ้วงครั้งนี้ราวกับมังกรสะบัดหาง ทรงพลังและรุนแรงยิ่งนัก
ซูเฉินตวัดดาบกันหอก หากแต่แรงส่งของหอกทำให้ไม่อาจปัดป้องการโจมตีนั้นไว้ได้ อีกฝ่ายปัดดาบเขาไปอีกทางก่อนแทงถูกซูเฉิน ในขณะที่ชายในชุดเกราะเงินพยายามกะเทาะผ่านเกราะป้องกันเขา ดาบขจัดทมิฬของพานเยว่ก็พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน ซูเฉินไม่อาจหลบทัน ดังนั้นจึงเหลือเพียงทางเดียวคือการเปิดใช้นัยน์ตาวิญญาณซึ่งเขาได้ตรียมตัวใช้มันมาระยะหนึ่งแล้ว
เดิมทีเขาคิดจะใช้มันเพื่อลอบโจมตีจินหลิงเอ้อร์ แม้จะดูใส่ในกับการต่อสู้ตรงหน้าเต็มที่ หากแต่ซูเฉินก็ได้พยายามมองหาช่องโจมตีจินหลิงเอ้อร์อยู่ตลอด ทว่ากลับถูกพานเยว่กดดัน ทำให้ต้องใช้นัยน์ตาวิญญาณก่อนกำหนด !
พานเยว่หยุดชะงักไป เปิดช่องให้ซูเฉินพุ่งผ่านเขาไป หลบการโจมตีคู่ของทั้งสองคนได้อย่างหวุดหวิด
ซูเฉินตกตะลึงพอสมควร กลิ่นหอมนั่นไม่ใช่ยาพิษ แต่กลับเพิ่มความสามารถและพลังในการต่อสู้ได้
หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้เขาก็คงไม่คิดหลบ แต่สูดลมหายใจให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้แทน
ไม่ ! เช่นนี้ไม่ถูกต้อง เรื่องต้องไม่เรียบง่ายเช่นนี้แน่ !
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว น้ำค้างหยกหอมนี้ก็ใช้ได้เพียงกับคู่ต่อสู้ที่ไม่ทันรับมือเท่านั้น ส่วนผู้ที่รู้ถึงความสามารถย่อมรับมือได้อย่างเหมาะสมสิ ?
เช่นนั้นหมายความว่า……
ซูเฉินเหลือบมองพานเยว่แลชายหนุ่มเกราะเงินที่ดูมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้น
เมื่อลองครุ่นคิดดูล้วเขาก็เริ่มนำเบาะแสต่าง ๆ มารวมกันจนได้เป็นความคิดหนึ่ง
เป็นไปได้สูงว่าน้ำค้างหยกหอมนี้สามารถส่งผลต่อจิตของคนได้ด้วย หากเขาลองสูดมันเข้าไป คิดว่าจะทำให้มีพลังเพิ่มขึ้น ก็คงเหมือนมัดตนเองใส่จานทองถวายให้ศัตรู
เขามองไปทางจินหลิงเอ้อร์ที่กำลังลอยลงมาจากกลางอากาศอีกครา
นางเห็นปฏิกิริยาซูเฉินแล้วก็ไม่ได้ผิดหวังแต่อย่างไร กลับเป่าลมหอบหนึ่งออกจากปากแทน
ลมหอมหอบนั้นพัดเข้าใส่ซูเฉิน ส่งผลให้นัยน์ตาเขามองเห็นภาพลวงนับไม่ถ้วน ไม่ว่ามองไปทางใดก็พบแต่ร่างของพานเยว่เต็มไปหมด เช่นเดียวกับชายหนุ่มชุดเกราะเงินที่พุ่งตรงมายังเขา หากแต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งไหนจริงสิ่งไหนปลอม
วิชาน้ำค้างหยกหอมไม่ใช่ทั้งพิษและยา แต่เป็นทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือด ที่ผู้มีสายเลือดสามารถควบคุมได้หลังจากปลดปล่อยวิชาออกมา ไม่เพียงแต่ลวงจิตและทำให้พละกำลังในการต่อสู้เพิ่มมากขึ้น มันยังสามารถสร้างภาพมายาหลากหลายรูปแบบได้ เป็นวิชาที่มีการใช้หลากหลายนัก จินหลิงเอ้อร์ยังเด็กนัก จึงไม่อาจใช้วิชาขั้นสุดได้ ไม่เช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้คงได้มีนางเป็นผู้ควบคุมภาพมายา ไม่อาจมองจริงลวงออกได้ นับเป็นวิชาที่ไม่อาจมีสิ่งใดเทียบได้
แต่แม้จะไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่ ซูเฉินก็ยังรู้สึกว่านางรับมือได้ยากนัก
เขาจ้องมองจินหลิงเอ้อร์ก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าพบตะขาบพิษ ข่งเชินมาแล้ว พิษของเขาร้ายกาจยิ่งนัก”
จินหลิงเอ้อร์ชะงักไป ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ ซูเฉินจึงเอ่ยเช่นนี้ขึ้นมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)