ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 43

บทที่ 43 เยี่ยเม่ย

ปัง!

เศษไม้ระเบิดกระจายไปทั่วทุกทิศ

ทุกคนต่างพากันอ้าปากค้างอย่างตกใจ เมื่อใบหน้าของ หยานหวู่ชวงกระแทกลงกับโต๊ะไม้ การที่โต๊ะไม้ที่แข็งแรงถึงกับถูกทำลายลงในทันที ทำให้ทุกคนจินตนาการได้ถึงความแข็งแกร่งของซูเฉินอย่างชัดเจน

ใบหน้าที่เคยสวยงามไร้ที่ติมาบัดนี้กลับบิดเบี้ยวและบวมราวกับหัวหมูหลังประสบความสำเร็จจากการปะทะเข้ากับโต๊ะ มันช่างดูน่ากลัวเกินไปจริง ๆ

“ซูเฉิน!” เมื่อซูเฉิงอันเห็นหยานหวู่ชวงลงไปนอนอยู่บนพื้น หัวใจของเขาก็พลันเจ็บปวดจนความโกรธพวยพุ่งกลับขึ้นมาอีกครั้ง

ซูเฉินเก็บมือของเขากลับมาและพูดขึ้นว่า “นั่นคือดอกเบี้ย”

จากนั้นเด็กหนุ่มก็หันหลังกลับและจากออกไป

ซูเฉิงอันมองแผ่นหลังของซูเฉินที่เดินจากไป เขาโกรธมากจนร่างกายสั่นเทา ทว่าท้ายที่สุดผู้เป็นบิดาก็พูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว “ลูกอกตัญญู!”

ในวันนั้นผู้ที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น ทุกคนล้วนได้เผชิญกับความเกรี้ยวกราดของซูเฉิน มันทั้งดุร้ายและกระหายเลือด ฉากนี้ทำให้ความหวาดหวั่นและความหวาดกลัวต่อนายน้อยผู้น่ากลัวคนนี้เกิดขึ้นมาในใจของหลาย ๆ คน

แต่พวกเขาไม่มีใครรู้ ในอนาคตหลังจากนี้อีกไม่นาน ความหวาดหวั่นอันเล็กน้อยนี้จะกลายเป็นเรื่องน่าปวดหัว จนกระทั่งสร้างความหวาดกลัวเป็นวงกว้างได้มากขนาดไหน

หลังจากที่ซูเฉินสอนบทเรียนให้กับหยานหวู่ชวงแล้ว เด็กหนุ่มก็กลับบ้านพร้อมกับแม่และลุงของเขา ซูเฟยหู ภายใต้ความกังวลและการซักไซ้ซ้ำ ๆ ของถังหงรุ่ย ในที่สุดเขาก็ยอมเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเทือกเขาสีเลือดให้ผู้เป็นมารดาฟัง

แน่นอนว่าซูเฉินไม่สามารถบอกนางได้ว่าเขาออกไปต่อสู้กับอสูรร้ายมา ซูเฉินกล่าวเพียงแค่ว่าทันทีที่เขาเข้าไปในเทือกเขาก็ได้พบกับผู้ใจดีมาเป็นผู้นำทางให้ คนผู้นั้นพาเขาไปยังถ้ำที่ค่อนข้างปลอดภัยสำหรับการค้างแรม ตลอดระยะเวลากว่า 100 วัน ตัวเขาเจอเพียงแค่อสูรชั้นต่ำ 2 ตัวเท่านั้น ซึ่งเขาย่อมสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย

ถึงกระนั้นถังหงรุ่ยก็ยังตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อได้รับฟังเรื่องเล่านี้ ราวกับว่าลูกชายของนางอ่อนแอจนแม้แต่แมวก็สามารถทำร้ายเขาได้

ในทางตรงกันข้าม ซูเฟยหูกลับมองดูซูเฉินอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย

ซูเฟยหูสามารถบอกได้ว่าซูเฉินซ่อนอะไรบางอย่างไว้ ทว่าท้ายที่สุดเขาก็ไม่อาจรู้ได้ว่ามันคืออะไรอยู่ดี

ซูเฉินอยู่พูดคุยกับมารดาจนกระทั่งนางเข้านอน จากนั้นซูเฉินก็กลับไปยังลานฝึกของเขาเพียงลำพัง

เมื่อเข้ามาในห้องของตนเรียบร้อยแล้ว ซูเฉินก็บอกให้เจี้ยนซินและข้ารับใช้คนอื่น ๆ ออกไป ก่อนที่จะพูดกับเงาในห้องว่า “ออกมา”

ชายในชุดดำปรากฏตัวขึ้น “ครั้งนี้ข้าแน่ใจว่าข้าปิดกั้นเสียงเต้นของหัวใจและลมหายใจของข้าไว้อย่างสมบูรณ์แล้วนะ เจ้าพบข้าได้อย่างไร?”

น้ำเสียงของเขางุนงงและสับสนอย่างรุนแรง

ซูเฉินหัวเราะกับตัวเอง ข้าไม่ควรที่จะพบตัวเจ้าได้แบบง่าย ๆ งั้นหรือ? เจ้าก็แค่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นและข้าก็เห็นเจ้าในทันที

อย่างไรก็ตาม ซูเฉินได้ตอบกลับไปว่า “แผนของเจ้าขึ้นอยู่กับการอยู่รอดของข้า นอกจากนี้ข้ายังยืมเครื่องมือต้นกำเนิดของเจ้าไว้อีก 4 อย่าง ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว เหตุใดเจ้าจะไม่มาเพื่อเอาพวกมันกลับไปกัน? ข้าเพียงแค่ตะโกนเรียกไปส่ง ๆ ดู เผื่อเจ้าจะอยู่ที่นี่”

“เช่นนั้นเจ้าก็แค่เดา” ชายชุดดำถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่แฝงความไม่พอใจเล็กน้อยออกมา

ซูเฉินพบว่าอีกฝ่ายช่างเป็นคนโง่ที่น่ารักน่าชัง เขาจึงพูดหยอกด้วยความสนุกขึ้น “เจ้ารออยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว? ได้กินอะไรบ้างหรือยัง? ข้าเอาของกินมาให้เจ้าด้วย”

เด็กหนุ่มนำกล่องขนมอบออกมาอย่างระมัดระวัง นี่เป็นของที่มารดาของซูเฉินมอบสิ่งเหล่านี้ให้เด็กหนุ่มไว้เมื่อตอนก่อนที่เขาจะออกเดินทางไป

ชายชุดดำไม่ได้ระวังเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังหิวจริง ๆ และเริ่มกินอย่างจริงจัง เขากินขนมชั้นหมดในไม่กี่คำ ดวงตาของชายหนุ่มก็เปล่งประกายขณะที่ผงกหัวซ้ำ ๆ “อร่อยมาก!”

ชายชุดดำกินขนมอบทั้งหมดทั้งกล่องเดียวในพริบตาเดียว

ซูเฉินไม่รีบร้อน เขารอให้อีกฝ่ายกินเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วจึงพูดต่อ “สาเหตุที่ข้าสามารถกลับมาอย่างปลอดภัยนั้นได้ก็เพราะเครื่องมือต้นกำเนิดทั้ง 4 อย่างของเจ้า และในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ถ้างั้นข้าก็ควรคืนพวกมันกลับให้แก่เจ้าผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริง”

ขณะที่พูด ซูเฉินก็หยิบหีบห่อจากข้างหลังเขาออกมาแล้วส่งให้ชายชุดดำ

เมื่อชายชุดดำได้รับห่อของไปแล้ว เขาก็เปิดเช็กดูด้านใน นอกเหนือจากยาเม็ด มุกสลายวิญญาณและหินพลังต้นกำเนิดที่ไม่ได้กลับคืนมาแล้ว เครื่องมือต้นกำเนิดทั้ง 4 ยังคงอยู่ดี หินพลังต้นกำเนิดและสิ่งอื่น ๆ นั้นแต่แรกเริ่มเดิมทีก็นับว่าเป็นวัสดุสิ้นเปลือง ชายชุดดำไม่ได้ตั้งใจจะขอพวกมันคืนอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “เนื่องจากทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นข้าก็ขอตัวลา”

“รอเดี๋ยวก่อน” ซูเฉินพูด

“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?” ชายชุดดำมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาระมัดระวัง

ให้ตายเถอะ ทำไมทีตอนเจ้ากินข้าวเมื่อครู่ถึงไม่ระวังตัวให้ได้เช่นนี้บ้างกัน? เพียงแค่ “รอเดี๋ยวก่อน” ประโยคเดียวทำให้เจ้ากังวลได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

ซูเฉินสบถอย่างเงียบ ๆ ในใจ และพูดว่า “ข้าแค่อยากรู้ว่าข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอย่างไร อย่างไรเสียเราก็พบเจอกันมา 2-3 ครั้งแล้ว คงไม่คิดจะให้ข้าเรียกเจ้าว่า ‘ชายชุดดำ’ ไปตลอดหรอกกระมัง?”

“ นี่ … ในอนาคตเราอาจไม่มีโอกาสได้พบกันหรอกจริงไหม?” ชายชุดดำลังเลครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับ

“ข้าคิดว่าคงไม่ ยังมีบางอย่างที่ข้าอยากให้เจ้าช่วย” ซูเฉินกล่าว

“ซูเฉิน อย่าได้ใจให้มันมากนัก!” ชายชุดดำพูดทันที

“รอให้ข้ากล่าวจนจบก่อนจะได้หรือไม่?” ซูเฉินกล่าวต่อ “ข้าเพียงแค่อยากจะได้วิชาดูดซับพลังต้นกำเนิดระดับกลางกับทักษะต้นกำเนิดอีก 2 ครั้งนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องยกให้ข้า ข้าจะจ่ายซื้อพวกมัน”

“เจ้าทะลวงถึงด่านก่อเกิดลมปราณแล้วงั้นหรือ?” ชายในชุดดำรู้สึกสับสน

ซูเฉินส่ายหัว “ยัง ทว่าข้าได้รับประโยชน์มากมายจากการเดินทางไปเทือกเขาสีเลือดในครั้งนี้ เจ้าเองก็ควรจะรู้อยู่แล้วว่ายามข้าจากไป ข้าบรรลุด่านหลอมกายาขั้น 9 หลังฝึกฝนอยู่บนเทือกเขาสีเลือดมากว่า 100 วัน ข้าก็ไปถึงขั้นปลายของด่านหลอมกายาขั้น 9 ไปแล้ว คงใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะไปถึงด่านก่อเกิดลมปราณ บางทีอาจใช้เวลาอีกไม่กี่เดือน”

ซูเฉินไม่ได้ตั้งใจจะซ่อนความก้าวหน้าของเขาไว้ สิ่งที่เด็กหนุ่มทำก็เพียงแค่ต้องการที่จะผลักดันตนเองเพื่อความสำเร็จในอนาคต แล้วผลลัพธ์อย่างอื่นมันก็จะตามมาเอง

วิชาดูดซับพลังต้นกำเนิดขั้นพื้นฐานเหมาะสมสำหรับการบ่มเพาะในระดับหลอมกายา เมื่อเข้าสู่ระดับก่อเกิดลมปราณแล้ว ก็จำเป็นต้องใช้ทักษะที่ทรงพลังมากยิ่งขึ้นมีความสามารถในการดูดซับที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

วิชาดูดซับพลังต้นกำเนิดถูกแบ่งออกเป็น 3 ระดับ พื้นฐาน กลาง สูง และสูงสุด แต่ไม่จำกัดระดับการฝึกฝน กล่าวคือหลังจากเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว ใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนวิชาดูดซับในระดับใดก็ได้ ข้อจำกัดเพียงหนึ่งเดียวที่มีคือวิชาดูดซับระดับสูงนั้นยากที่จะหามาไว้ในครอบครองได้

แม้แต่ซูเฉินก็ไม่กล้าที่จะฝันที่ได้รับวิชาดูดซับระดับสูงมา ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงขอแค่วิชาระดับกลางเท่านั้น

ชายชุดดำเชื่อในตัวเขา “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ทว่าไม่ใช่ว่าตระกูลซูเองก็มีวิชาดูดซับกับทักษะต้นกำเนิดอยู่แล้วหรอกหรือ? เจ้าเป็นคนของตระกูลซู ตราบใดที่เจ้าไปถึงระดับนั้นได้ ก็ย่อมไปขอวิชามาได้ฟรี ๆ อยู่แล้ว”

ซูเฉินถามว่า “เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อข้ากลับมาถึงใช่หรือไม่?”

ชายชุดดำพยักหน้า “เจ้ามีพ่อที่แย่มาก”

“ดังนั้น นั่นคือเหตุผลแรกของข้า ข้าไม่ต้องการใช้ทรัพยากรของตระกูลซูอีกต่อไป”

“เป็นเช่นนั้นเอง” ชายชุดดำเริ่มเข้าใจความตั้งใจของ ซูเฉินแล้ว เขากำลังขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างตัวเขาเองกับตระกูลซูอย่างช้า ๆ

ในความเป็นจริง การกระทำของซูเฉินก็นับได้ว่าเป็นการขีดเส้นแบ่งที่ชัดเจนระหว่างเขากับตระกูลซู แต่ในขณะเดียวกันมันก็นับเป็นวิธีปกป้องตระกูลซูด้วยเช่นกัน

อย่างไรเสีย ท้ายที่สุดซูเฉินก็ได้ข่มขู่องค์กรขนาดใหญ่ ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

การขีดเส้นแบ่งกับตระกูลซูคือปกป้องตระกูลซูอีกแบบหนึ่ง

แม้ความโกรธแค้นของซูเฉินกับตระกูลซูจะฝั่งลึก แต่เขาก็ต้องการจะจัดการคนที่เขาเกลียดชังด้วยตัวเอง เด็กหนุ่มไม่ต้องการยืมมือของคนอื่นมาจัดการแทน

หากซูเฉินนำความหายนะมาสู่ตระกูลซูเพราะการกระทำของเขา เรื่องนี้จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าตระกูลซูจะปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ยุติธรรม ทว่ามันก็ยังไม่ไปถึงจุดที่ซูเฉินเต็มใจกำจัดพวกเขาทั้งหมด

“แล้วเหตุผลที่สองล่ะ?” ชายชุดดำไม่ใช่คนโง่เง่า เขาเพียงแค่โง่นิด ๆ เมื่อมีหนึ่งก็ย่อมมีสองอย่างแน่นอน

“ข้าไม่พอใจกับวิชาเวทย์ของตระกูลซู” ซูเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา

“ตระกูลซูเป็นเพียงตระกูลเศรษฐีหน้าใหม่ ปู่ของข้าเป็นคนก่อตั้งมันขึ้นโดยลำพัง ด้วยเหตุนี้รากฐานของมันจึงยังไม่ลึกพอและตื้นเขินเกินไปสำหรับความต้องการของข้า ในเมื่อพื้นหลังของมันน้อยที่สุดในบรรดา 4 ตระกูล เมื่อพูดถึงวิชาเวทย์หรือทักษะต้นกำเนิดแล้ว จำนวนที่เราครอบครองอยู่นั้นน่าสงสารเกินไป สำหรับองค์กรของเจ้าที่สามารถหยิบเอาเครื่องมือต้นกำเนิดถึง 4 ชิ้นออกมาได้อย่างสบาย ๆ เช่นนี้ หมายความว่าความแข็งแกร่งของมันจะต้องมากกว่าตระกูลซูอยู่หลายเท่า ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าย่อมมีวิชาเวทย์ที่ดีกว่าอยู่อย่างแน่ เมื่อจะฝึกฝนทั้งที ย่อมเป็นการดีที่สุดที่จะเลือกสิ่งที่มีคุณภาพเพียง 1 ชิ้น แทนที่จะเลือกของด้อยคุณภาพ 10 ชิ้น”

อันที่จริงแล้ว ซูเฉินยังมีเหตุผลที่สามอยู่ นั่นคือเขาต้องการปกปิดความจริงที่ว่าเขาได้เข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณไปเรียบร้อยแล้วเอาไว้ คนในตระกูลจะสามารถใช้วิชาเวทย์และทักษะต้นกำเนิดของตระกูลซูได้ฟรีก็ต่อเมื่อบรรลุถึงระดับการหลอมกายา ซูเฉินไม่ได้ตั้งใจจะเปิดเผยความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากภายนอกเท่านั้น อย่างไรก็ตามซูเฉินไม่จำเป็นจะต้องบอกเรื่องนี้กับชายชุดดำ

เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฉิน ชายชุดดำก็รู้สึกพึงพอใจมาก “แน่นอน หากเจ้าต้องการพูดคุยเกี่ยวกับวิชาบ่มเพาะ แม้แต่ห้องสมุดของสถาบันมังกรซ่อนเร้นก็ยังไม่อาจเทียบได้กับพวกเรา…… ”

ชายชุดดำเหมือนจะรู้ตัว เขารีบเหยียบเบรกหลีกเลี่ยงการพูดชื่อองค์กรของเขาไปได้อย่างหวุดหวิด

ซูเฉินแสร้งทำเป็นไม่ทันได้สังเกต “กล่าวคือเจ้าจะตกลงทำธุรกรรมนี้ใช่หรือไม่?”

“ข้าจำเป็นต้องกลับไปถามดูก่อน” ชายชุดดำทำวางท่า ทว่าหากฟังจากน้ำเสียงของอีกฝ่ายแล้วเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาใด ๆ

“ ตอนนี้เจ้าจะบอกชื่อของเจ้าได้หรือยัง?”

“เจ้าสามารถเรียกข้าได้ว่า … เยี่ยเม่ย”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)