ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 44

บทที่ 44 ซื้อทักษะต้นกำเนิด

เยี่ยเม่ยปรากฏตัวอีกครั้งในคืนต่อมา

อาจเป็นเพราะการพบกันหลายครั้งและคุ้นเคยกับซูเฉินแล้ว ประโยคแรกหลังจากเข้ามาของเขาจึงเป็น “ข้าหิว มีขนมอบแบบเมื่อวานนี้อีกไหม?”

“ …… รอประเดี๋ยว ข้าจะไปหามาให้เจ้า”

หลังจากนั้นครู่หนึ่งซูเฉินก็กลับเข้ามา ก่อนจะพบว่าเยี่ยเม่ยนั่นกำลังนั่งไขว่ห้างเล่นกับหินอยู่บนเตียงของเขา ทุกครั้งที่หินกลิ้งมันส่งเสียงลมออกมา

ซูเฉินกล่าวว่า “นั่นคือหินเสียงสมุทร ถ้าเจ้าชอบเจ้าสามารถเอามันไปได้”

“ข้ารู้” เยี่ยเม่ยตอบอย่างเหยียดหยัน “หินเสียงสมุทร มีอยู่ที่ใต้ทะเลลึกสามพันฉื่อและสามารถหาได้เพียงในมหาสมุทรเท่านั้น มันเป็นหนึ่งในวัสดุที่ใช้ทำกล่องบันทึกเสียง”

“เจ้ารู้จักหินเสียงสมุทรและกล่องบันทึกเสียงจริง ๆ หรือ?” ซูเฉินตั้งใจทำเป็นประหลาดใจ

เยี่ยเม่ยรับขนมอบมาจากอีกฝ่าย “อย่าดูถูกคนอื่นนักจะได้ไหม? จะมีใครไม่รู้จักเผ่าใหญ่ทั้งหกกัน”

“หก?” คราวนี้ซูเฉินประหลาดใจอย่างแท้จริง “ข้ารู้จักเพียงแค่ห้าเท่านั้นเอง เผ่ามนุษย์ เผ่าปักษา เผ่าท้องทะเล เผ่าวิญญาณและเผ่าคนเถื่อน แล้วอีกหนึ่งคืออะไร?”

“อาร์คาน่า! พวกอาร์คาน่านั้นแข็งแกร่งกว่าเผ่าพันธุ์ทั้งห้ารวมกันเสียอีก” เยี่ยเม่ยตอบ

“แต่พวกมันสูญพันธุ์และหายไปในห้วงมหาสมุทรของประวัติศาสตร์แล้วนี่” ซูเฉินตอบ

“ใครพูดแบบนั้น?” เยี่ยเม่ยลืมตาขึ้น “พวกอาร์คาน่าไม่เคยสูญพันธุ์ พวกมันเพียงแค่อยู่ในช่วงจำศีลเท่านั้น”

“งั้นหรือ” ซูเฉินตอบอย่างเฉยเมย

ราวกับว่าเขารู้ว่าตนได้พูดมากเกินไป เยี่ยเม่ยจึงไม่พูดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ต่ออีก เขาโบกมือ ก่อนที่กองไข่มุกจะปรากฏขึ้นบนเตียง ไข่มุกแต่ละเม็ดต่างก็ปล่อยแสงจาง ๆ ทำให้พวกมันดูเหมือนลูกบอลแสงเล็ก ๆ

แหวนกักเก็บ?

ดวงตาของซูเฉินเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง ทว่าเขาก็แกล้งทำเป็นว่าเขาไม่สังเกตเห็นอะไร

“นี่คือของที่เจ้าต้องการ ค่อย ๆ เลือกพวกมัน”

“ข้ามองไม่เห็น”

“ไม่ต้องกังวล เพียงเลือกหนึ่งในนั้นแล้ว ความรู้ที่เจ้าต้องการจะปรากฏขึ้นในใจของเจ้า ทว่าพวกมันนั้นมีตราประทับต้นกำเนิดติดอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เจ้าจะสามารถเห็นได้จึงเป็นเพียงบทย่อ เมื่อเจ้าตัดสินใจว่าจะเลือกมัน ตราประทับต้นกำเนิดจึงจะปลดออกเอง”

เมื่อเยี่ยเม่ยกล่าวจบเขาก็เริ่มกินขนมอบต่อ

ซูเฉินหยิบไข่มุกขึ้นมาหนึ่งเม็ด เนื้อหาต่าง ๆ เริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขา

วิชาภาพลวงตาจิตวิญญาณอะไรสักอย่าง?

มันสามารถฉายภาพลงในจิตสำนึกของมนุษย์โดยตรง

นี่เป็นวิชาที่ทรงพลังมาก มีเพียงผู้เชี่ยวชาญเครื่องมือต้นกำเนิดเป็นพิเศษเท่านั้นที่สามารถใช้เทคนิคดังกล่าวสร้างไข่มุกชนิดนี้ขึ้นมาได้

วิธีการฝึกฝนที่ทำให้สามารถส่งต่อภาพได้เช่นนี้ นับได้ว่าเป็นทักษะที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก

สิ่งที่ซูเฉินมองเห็นในขณะนี้คือวิชาดูดซับระดับกลางที่เรียกว่า ‘ทักษะการหายใจของอาโมโร’ มันเป็นทักษะใช้ลมหายใจที่แข็งแกร่ง สามารถเพิ่มอัตราการดูดซับพลังต้นกำเนิดเข้าสู่ร่างกาย มันแข็งแกร่งกว่าวิชาดูดซับอื่น ๆ ที่คล้ายกันในระดับเดียวกัน ทว่ามันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ นั่นคือข้อกำหนดที่สูงเกินไป เช่นสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอากาศ, อยู่ในที่สูง, มีอุณหภูมิที่ร้อนมาก หากมีใครฝึกในพื้นที่ปิด มันจะยากที่จะหายใจและความแข็งแกร่งของผู้นั้นก็อาจจะลดลง ในกรณีรุนแรงก็อาจทำให้หายใจไม่ออกได้เช่นกัน

ซูเฉินไม่สามารถยอมรับจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงวางไข่มุกแสงเม็ดนี้ลงและหยิบอีกอันหนึ่งขึ้นมา

ไข่มุกนี้บรรจุทักษะต้นกำเนิดที่เรียกว่า ‘ทักษะการร่างภาพสายฟ้า’ ทักษะต้นกำเนิดนี้ไม่สามารถสร้างสายฟ้าได้ แต่มันสามารถดึงดูดสายฟ้ามาได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือผู้ใช้จะต้องสร้างฟ้าร้องและฟ้าผ่าขึ้นก่อน พวกเขาจึงจะสามารถใช้ออกทักษะนี้ได้ อย่างไรก็ตามเพราะมันเป็นการชักนำสายฟ้าที่แท้จริงมา ความแข็งแกร่งของสายฟ้าจึงสามารถข้ามขอบเขตของพื้นฐานการฝึกฝนและพลังต้นกำเนิดของผู้ใช้ได้ มันทรงพลังมากในวันที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง แต่อย่างอื่นก็ไม่ได้ดีมากอะไรนัก

ซูเฉินเปลี่ยนไปเป็นอีกทักษะ มันถูกเรียกว่า ‘ทักษะหมอกทมิฬ’ มันสามารถปล่อยหมอกสีดำขนาดใหญ่ และจำกัดการมองเห็นของผู้ที่อยู่ด้านในได้ มันถือเป็นทักษะต้นกำเนิดที่มีประโยชน์ ทว่าทักษะนี้ต้องการให้ผู้ใช้ที่มีสายเลือดของอสูรสายความมืดเพื่อเปิดใช้งาน

เขาเปลี่ยนอีกครั้ง

‘ทักษะประกายแสง’ เพิ่มแสงสว่างให้กับอาวุธของผู้ใช้ มันสามารถขับไล่ความมืดออกไป นอกจากนั้นยังสามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตมืดหรือชั่วร้ายได้ แต่มันก็ทำให้ผู้ใช้ง่ายกับกลายเป็นเป้าที่มองเห็นได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

‘ทักษะความเร็วลม’ ทำให้ตัวเองหรือผู้อื่นเร็วขึ้น

‘ทักษะลูกไฟ’ สร้างลูกไฟขนาดใหญ่เพื่อโจมตีคู่ต่อสู้

‘ทักษะร่างเงา’ ทำให้เงามีชีวิตขึ้นมาชั่วคราวและกลายเป็นร่างแยกมาช่วยเหลือในการต่อสู้ มันต้องการสายเลือดของอสูรสายวิญญาณในการใช้ทักษะ

และอื่น ๆ อีกมากมาย

ในขณะที่ซูเฉินซูเฉินค่อย ๆ ไล่ดูไปทีละอย่าง มุมปากของเขาก็ยกมาเป็นรอยยิ้มเล็ก ๆ ที่ยากจะสังเกตเห็นได้

น่าสนใจ!

ซูเฉินพบว่าทักษะต้นกำเนิดมากมายที่เยี่ยเม่ยนำมาให้เขานั้น มีร่องรอยของวิชาโบราณอาร์คาน่า

วิชาโบราณอาร์คาน่าเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ชาวอาร์คาน่าได้สร้างขึ้น

ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างทักษะต้นกำเนิดกับวิชาอาร์คาน่าคือวิธีการใช้ออกที่แตกต่างกันในการต่อสู้

วิชาโบราณอาร์คาน่าจะให้ความสำคัญกับการฆ่าศัตรูจากระยะไกล ทักษะต้นกำเนิดของชาวอาร์คาน่าส่วนใหญ่จึงยึดการโจมตีระยะไกลเป็นหลัก มีเพียงไม่กี่คนที่มุ่งเน้นการพัฒนารากฐาน

สามารถกล่าวได้ว่าวิชาอาร์คาน่านั้นมีเพียงการโจมตีและไม่มีความแตกต่างระหว่างทักษะมากนัก

ยกตัวอย่างเช่นทักษะลูกไฟของอาร์คาน่าโบราณ มันเพียงแค่สร้างลูกไฟและยิงใส่ผู้โจมตี ไม่สนใจเกี่ยวกับผลลัพธ์ของการโจมตีนั้น

แล้วเช่นนั้นมันแตกต่างกับทักษะต้นกำเนิดในปัจจุบันอย่างไร?

ทักษะต้นกำเนิดในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ความเข้ากันได้มากขึ้น ทั้งระยะไกล กลาง และระยะประชิด รวมถึงความแข็งแกร่งของผู้ใช้

ตัวอย่างเช่นวิชาเพลงดาบสุริยันกระจ่างที่สมบูรณ์ที่ซูเฟยหูฝึกฝนอยู่ มันมีทั้งหมด 9 รูปแบบ ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่า สุริยันกระจ่างที่เก้ารูปแบบ นี่ก็นับเป็นทักษะต้นกำเนิดเช่นกัน ทว่ามันมีรูปแบบขั้นพื้นฐานทั้งหมด 9 รูปแบบ และรูปแบบการใช้งานแบบผสมอีกนับ 100

ในแง่ของผลกระทบเพียงอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงระยะทางหรือพลังงาน ลูกไฟขนาดใหญ่ย่อมดีกว่าดาบสุริยันกระจ่าง อย่างไรก็ตาม หากมีการคำนึงถึงการใช้พลังต้นกำเนิดด้วยแล้ว เพลงดาบสุริยันกระจ่างที่สามารถโจมตีได้ถึง 9 รูปแบบ กับอีกหลายรูปแบบผสานแข็งแกร่งและยืดหยุ่นยิ่งกว่าทักษะลูกไฟเพียงหนึ่งเดียว

เหตุผลของความแตกต่างเหล่านี้ นั่นก็เพราะช่วงเวลาที่ถูกสร้างขึ้นและเผ่าพันธุ์ที่แตกต่างกัน ความต้องการและจุดแข็งก็ย่อมต่างกัน

ในสมัยโบราณพลังต้นกำเนิดนั้นค่อนข้างที่จะอุดมสมบูรณ์ เนื่องจากชาวอาร์คาน่ามีจิตใจที่ทรงพลังมากทว่าร่างกายกลับอ่อนแอ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังต้นกำเนิดอย่างระมัดระวัง ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะไม่ต่อสู้ระยะประชิด

ในยุคปัจจุบัน พลังต้นกำเนิดนั้นหายากกว่าเดิมมาก การฝึกฝนก็ยากขึ้นเช่นกัน การเน้นไปที่ประสิทธิภาพและความแข็งแกร่งของทักษะวิชาจึงนิยมกันมากขึ้น รวมกับความจริงที่ว่ามนุษย์มีร่างกายที่แข็งแรงกว่าชาวอาร์คาน่า วิธีการฝึกฝนและการต่อสู้แบบใหม่ได้เข้ามาแทนที่ระบบก่อนหน้านี้ที่ชาวอาร์คาน่าใช้

อย่างไรก็ตาม ทักษะต้นกำเนิดดั้งเดิมบางอย่างก็ยังคงมีส่งต่อมาให้เห็น

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าถึงแม้ว่าทักษะต้นกำเนิดเหล่านี้จะล้าสมัย ทว่าในบางสถานการณ์พวกมันก็ยังคงมีประโยชน์ แม้ว่าพวกมันจะสูญหายไปตามกาลเวลา แต่พวกมันก็ไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์

40% ของสิ่งที่เยี่ยเม่ยนำมาให้ซูเฉินเป็นวิชาโบราณของชาวอาร์คาน่า ส่วนอีก 40% เป็นทักษะต้นกำเนิดยุคปัจจุบัน ส่วนที่เหลืออีก 20% เป็นทักษะต้นกำเนิดแบบใหม่ที่เกิดจากการรวมกันของทั้งสอง นอกจากนี้ยังพวกมันยังมีค่ามากที่สุดจากทักษะต้นกำเนิดทั้งหมด และถูกเรียกว่าทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุง

วิชาอาร์คาน่าโบราณมากมายและทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุง เมื่อพิจารณารวมกับสิ่งที่เยี่ยเม่ยพูดไว้ก่อนหน้า ความเข้าใจของซูเฉินต่อองค์กรนี้ก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้พูดอะไรออกไป เขาเลือกทักษะต้นกำเนิดที่เขาต้องการอย่างเงียบ ๆ

“เจ้าเลือกเสร็จหรือยัง?” เยี่ยเม่ยถามด้วยเสียงอู้อี้ เขายังคงต่อสู้กับขนมอบอยู่ ดังนั้นปากของเขาจึงเต็มไปด้วยอาหาร

“เกือบแล้ว” ซูเฉินหยิบไข่มุกเรืองแสงสามลูกออกมา

เยี่ยเม่ยมองดูพวกมันแล้วก็พึมพำ “วิชากายาเวหาเวียน, นัยน์ตาวิญญาณกับวิชาดูดซับพลังศรเภกะ … หืม เป็น 3 อย่างนี้งั้นหรือ?”

วิชากายาเวหาเวียนเป็นทักษะที่ค่อนข้างหายาก มันไม่มีคุณสมบัติที่สามารถระเบิดออกมาได้ แต่เมื่อเชี่ยวชาญแล้วจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่ง ความเร็วกายภาพ ความไวการตอบสนองและปรับปรุงการเคลื่อนไหวแบบองค์รวมให้กับผู้ใช้ มันเป็นทักษะต้นกำเนิดที่เพิ่มคุณสมบัติให้กับตัวเองและเป็นทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุง

เหตุผลที่ซูเฉินเลือกสิ่งนี้เป็นเพราะมีดสั้นริ้วดำ

ในฐานะเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 8 มีดนี้ใช้งานง่ายเกินไป

อย่างไรก็ตาม อัตราการใช้พลังที่สูงมากก็ทำให้ซูเฉินไม่สามารถแสดงพลังทั้งหมดของมีดสั้นริ้วดำได้ แม้จะเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้วก็ตาม แต่ถึงอย่างงั้นเด็กหนุ่มก็สามารถใช้ลายสลักเลือดได้เพียง 4 ครั้งเท่านั้น นี่ทำให้ซูเฉินตระหนักว่าการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเรื่องนี้ ด้วยวิชากายาเวหาเวียนร่างกายของเขาจะได้ความสามารถเพิ่มเติมและช่วยให้เขาสามารถใช้มีดต่อสู้ได้อีก 2-3 ครั้ง

แน่นอนว่าเหตุผลนี้ซูเฉินไม่สามารถบอกกับเยี่ยเม่ยได้ เนื่องจากเยี่ยเม่ยนั้นเชื่อว่าซูเฉินไม่มีโอกาสได้ใช้มีดสั้นริ้วดำอีกต่อไปแล้ว มีเพียงซูเฉินเท่านั้นที่รู้ว่าอีกไม่นานมีดสั้นริ้วดำนี้จะกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง

สำหรับนัยน์ตาวิญญาณมันเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง และยังเป็นทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุงเช่นกัน ผู้ใช้จะต้องจ้องมองไปที่ฝ่ายตรงข้ามจากนั้นก็เปิดใช้งานการโจมตีวิญญาณ

ประการแรกที่ซูเฉินเรียนรู้สิ่งนี้ นั่นก็เพราะต้องการทดสอบว่าดวงตาของเขาจะมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นเมื่อเขาใช้ทักษะนี้หรือไม่

ประการที่สองคือซูเฉินต้องการเพิ่มแข็งแกร่งของวิญญาณของเขา ด้วยวิธีนี้ หากในอนาคตเขาจะใช้มุกสลายวิญญาณที่ยังเหลืออยู่ ความทนทานต่อการบาดเจ็บทางวิญญาณก็จะได้เพิ่มขึ้น ในเวลาเดียวกันซูเฉินก็ต้องการดูว่าการฝึกฝนนัยน์ตาวิญญาณนี้จะช่วยให้ดวงตาของเขาพัฒนาขึ้นไปอีกหรือไม่ เช่นนี้เขาก็จะสามารถฝึกต่าง ๆ หลายอย่างพร้อมกันได้

มันไม่ใช่ปัญหาสำหรับคนตาบอดที่จะใช้นัยน์ตาวิญญาณ มันเป็นทักษะที่ใช้จิตวิญญาณเป็นหลักและดวงตาเป็นเพียงช่องทางปลดปล่อย ดังนั้นคนตาบอดจึงสามารถเรียนรู้และใช้นัยน์ตาวิญญาณได้

อย่างไรก็ตาม การโจมตีจะตรงเป้าหรือไม่ นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

คำอธิบายของซูเฉินคือ ‘เพราะข้าตาบอด คงไม่มีใครคิดว่าข้าจะมีทักษะเนตรและคงไม่มีใครกลัวการจ้องมองข้า นี่จะทำให้ข้ามีโอกาสมากขึ้น นอกจากนี้หากข้าใช้จิตวิญญาณโจมตีมากพอ บางทีมันอาจช่วยกระตุ้นดวงตาของข้าได้’

นี่เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล

แต่เยี่ยเม่ยเชื่อว่าซูเฉินเพียงแค่โลภ ทักษะต้นกำเนิดประเภทจิตวิญญาณไม่ค่อยพบเห็นและหาได้ยากเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับไปแล้วแม้ว่าเขาจะไม่สามารถใช้งานได้ แต่ก็ยังสามารถส่งต่อได้

สุดท้ายคือวิชาดูดซับพลังศรเภกะ มันเป็นทักษะการดูดซับที่ไม่เหมือนใคร มันเป็นวิชาโบราณของชาวอาร์คาน่า ที่จะทำให้ผู้ใช้ดูดซับพลังต้นกำเนิดได้ ไม่เพียงแค่ผ่านการหายใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงทางผิวหนังอีกด้วย

วิชาดูดซับพลังศรเภกะไม่ใช่ทักษะการดูดซับขั้นสูง จริง ๆ แล้วมันถูกจัดอยู่ในระดับต่ำ

แม้ว่าจะช่วยให้สามารถหายใจผ่านผิวหนังได้ แต่ประสิทธิภาพของมันก็ไม่สูงเมื่อเทียบกับทักษะการดูดซับอื่น ๆ

ทักษะการดูดซับพลังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการฝึกฝนในระยะยาว อย่างไรเสียก็มีเพียงความแข็งแรงสัมบูรณ์เท่านั้นที่สำคัญที่สุด

เหตุผลที่ซูเฉินเลือกมันนั้นง่ายมาก จุดกำเนิดแสงเหล่านั้นถูกดูดซับผ่านผิวหนัง วิชานี้จะช่วยส่งเสริมการดูดซับพลังต้นกำเนิด และยกระดับความเร็วในการฝึกฝนของเขา

นี่คือทักษะที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา

แน่นอนเหตุผลที่ซูเฉินให้เยี่ยเม่ยไว้ก็คือ “เงินของข้าหมดแล้ว ดังนั้นข้าจึงทำได้เพียงประหยัด”

ทว่านี่ไม่ใช่การโกหกทั้งหมด ทักษะต้นกำเนิดทั้ง 2 อย่างและวิชาดูดซับทำให้ซูเฉินเสียหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำไปถึง 1,000 ก้อน ในหมู่พวกมันนัยน์ตาวิญญาณมีราคาถึง 500 หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำ ทว่าเยี่ยเม่ยก็ยังคงปรานีซูเฉินอยู่ หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ ราคาเพียง 1,000 นี้คงไม่มีใครสามารถขายออกให้ได้ นี่แสดงให้เห็นว่าทักษะดี ๆ นั้นหาได้ยากเพียงใด

ตัวซูเฉินไม่ได้มีหินพลังต้นกำเนิดอยู่มากมายนัก เขาใช้บางส่วนที่ได้จากกิจการทั้งสี่ที่เขาเคยทำมาก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว

เยี่ยเม่ยแสดงความไม่พอใจกับความจริงที่ว่า ซูเฉินยินดีที่จะซื้อทักษะต้นกำเนิดที่หาได้ยาก ซึ่งดูไม่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับเขา แทนที่จะซื้อทักษะการดูดซับระดับกลางที่เป็นประโยชน์มากกว่า

“เจ้ากำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่” เยี่ยเม่ยมองดูเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เมื่อเห็นว่าซูเฉินไม่สนใจคำแนะนำของเขา

ซูเฉินตอบกลับ “ทิ้งวิธีติดต่อไว้ให้ข้าสิ หากวันหนึ่งข้าเกิดเสียใจจริง ๆ ขึ้นมา อย่างน้อยข้าก็จะได้หาตัวเจ้าเพื่อซื้ออันใหม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)