บทที่ 47 อีกครั้งกับเทือกเขาสีเลือด
ในวันออกเดินทาง ทั้งตระกูลได้มารวมตัวกันเพื่อมาส่งเขา
ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวจากครั้งก่อนคือซูเค่อจี่ผู้ไม่สามารถปิดบังความเกลียดชังในหัวใจได้อีกต่อไป แม้แต่มารยาทขั้นพื้นฐานเขาก็ไม่ได้สนใจ เมื่อใดก็ตามที่เห็นซูเฉิน สายตาของเขาก็จะเต็มไปความดุร้ายและความเกรี้ยวโกรธ หากผู้อาวุโสของตระกูลไม่อยู่ด้วย ซูเค่อจี่ก็คงจะรีบเข้าไปสั่งสอนบทเรียนให้ซูเฉินไปแล้ว
ซูฉางเช่อมองดูหลานชายด้วยสีหน้าที่ค่อนข้างซับซ้อน
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดขึ้น “ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการเลือกที่จะรับบทลงทัณฑ์สีเลือด ยังมีโอกาสที่จะถอยกลับอยู่ หากเจ้าเปลี่ยนใจ ข้าสามารถจัดการเปลี่ยนวิธีลงโทษให้เจ้าได้”
ซูเฉินส่ายหัว “ตอนนี้ความปรารถนาเดียวของข้าคือการไปที่นั่น”
“เอาล่ะ ๆ ” ชายชราถอนหายใจ
“ในเมื่อเจ้าเลือกรับบทลงทัณฑ์สีเลือด คราวนี้มันคงจะไม่ง่ายนักและข้าก็คงไม่สามารถช่วยเหลือเจ้าได้อีก ข้าขอสั่งบทลงทัณฑ์สีเลือด 100 วัน เจ้าจะต้องไปที่เขายอดทมิฬตะวันออกและเก็บบัวสีเลือดมาจากยอดเขา มันจะบานออกในตอนเช้า มีหกกลีบ และมีกลิ่นหอม เอามันใส่ไว้ในกล่องหยกนี้และนำมันกลับมา จากนั้นก็ไปที่เขาร้อยยอดและเก็บส่วนหนึ่งของไม้เบิร์ชเหล็กมา ไม่ต้องเยอะเกินไป เอาเฉพาะส่วนตรงกลางระหว่างรากกับยอดก็พอ ที่ส่วนรากจะต้องมีกิ่งที่มีหนามอยู่ และต้นไม้จะต้องมีอายุไม่เกิน 30 ปี ”
บทลงทัณฑ์สีเลือดที่แท้จริง นอกเหนือจากการถูกเนรเทศแล้ว จะมีการเตรียมการมอบหมายภารกิจพิเศษ ผู้กระทำผิดจะถูกเส้นทางที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันพวกเขาจากการหาสถานที่หลบซ่อนหลังจากเข้าป่า
ครั้งล่าสุดที่ไป ซูฉางเช่อได้พิจารณาจากเรื่องที่ซูเฉินตาบอด รวมกับความจริงที่ว่าเขายอมรับบทลงทัณฑ์สีเลือดด้วยความสมัครใจ นอกจากนี้ความผิดของซูเฉินก็เป็นเพียงแค่การทุบตีลูกน้องที่ทำตัวไม่สุภาพ ดังนั้นซูฉางเช่อจึงไม่ได้ทำตามกฎเหล่านี้ หมายความว่าซูเฉินสามารถใช้เวลาหนึ่งร้อยวันซ่อนตัวอยู่ในป่าได้ตามสะดวก
ทว่าครั้งนี้ซูเฉินได้ทุบตีซูชิงแล้วยอมรับบทลงทัณฑ์สีเลือดอีกครั้ง สถานการณ์จึงได้เปลี่ยนไป
แม้ว่าซูเฉินจะตาบอด ทว่าซูฉางเช่อก็ไม่สามารถช่วยเหลือซูเฉินได้อีก
สำหรับคนตาบอด การจะหาที่ตั้งและตามไปเก็บของบางอย่าง การทำเช่นนั้นในสภาพแวดล้อมที่เป็นป่าที่อันตรายมากไม่ใช่เรื่องง่าย ซูฉางเช่อต้องการให้ซูเฉินรู้ว่าเทือกเขาสีเลือดไม่ใช่สนามหลังบ้านของเขา มันไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะมาจะไปได้ตามอำเภอใจ และมันก็ไม่ได้เป็น “เครื่องรางกันภัย” ที่เด็กหนุ่มสามารถหนีไปพึ่งพิงหลังจากสร้างความโกรธเกรี้ยว
น่าเสียดายที่ซูเฉินตัดสินใจเลือก “เครื่องรางกันภัย” นี้อย่างแน่วแน่!
“หลานจะจำรายละเอียดเอาไว้ขอรับ”
ซูเฉินตอบกลับด้วยความมั่นใจอย่างสงบ จากนั้นก็หันหลังและจากไป
ขณะที่ซูฉางเช่อมองแผ่นหลังของซูเฉินที่กำลังเดินจากไป ไม่รู้ว่าทำไมซูฉางเช่อถึงมีความรู้สึกว่าตระกูลซูพลาดอะไรบางอย่างไป
ความคิดที่เป็นไปไม่ได้นี้ ทำให้หัวใจของเขาหงุดหงิดและไม่มั่นคง ส่งผลให้อารมณ์ของชายชราแย่ลงเล็กน้อย
————–
เพราะครั้งนี้ซูเฉินมีภารกิจเพิ่มเติมที่เขาต้องทำให้เสร็จ ซูเฉินจึงไม่ได้เลือกเส้นทางที่เขาเคยมาก่อนหน้านี้ หลังจากเข้ามาในเทือกเขาไม่นาน ซูเฉินเริ่มมุ่งหน้าไปยังเขายอดทมิฬตะวันออก
เขายอดทมิฬตะวันออกและเขาร้อยยอด เป็นยอดเขาที่รู้จักกันดีในเทือกเขาสีเลือด มันหาเจอได้ไม่ยาก ทว่าก็ยังถือได้ว่าอยู่ห่างจากกันมาก จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง จำเป็นจะต้องเดินทางผ่านป่าจำนวนมาก ดังนั้นถึงแม้ว่าซูเฉินต้องการที่จะหลีกเลี่ยงอันตรายเขาก็ไม่สามารถทำได้ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงได้แต่ก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ และเลือกที่จะไม่ต้องกังวลกับการเผชิญหน้ากับอันตรายแล้วเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่อาจเกิดขึ้น
วันแรกของซูเฉินในเทือกเขาสีเลือด ผ่านไปได้โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซูเฉินได้พบกับอสูรร้ายในวันที่สอง แม้มันจะอยู่เพียงระดับกลางเท่านั้น ทว่าความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่าระดับสูงสุดของด่านก่อเกิดลมปราณ ซูเฉินถูกบังคับให้หนีทันที โชคดีที่อสูรร้ายนั้นไม่เร็วเป็นพิเศษ ซูเฉินจึงสามารถหลบหนีมาได้
การเผชิญหน้าครั้งแรกของซูเฉินประสบความล้มเหลว ทำให้ความเชื่อมั่นถูกกระทบอย่างหนัก ส่งผลให้เขานึกถึงสิ่งที่เยี่ยเม่ยได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้
ซูเฉินจึงยิ่งระวังตัวมากขึ้น
ในหัวใจของเด็กหนุ่มอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ มันคงจะดีมากหากดวงตาของเขาพัฒนาความสามารถในการมองระยะกว้างได้ ด้วยความสามารถนี้หากมีอันตรายปรากฏขึ้น เขาก็จะได้เห็นพวกมันจากระยะไกล
แต่ในขณะที่ซูเฉินคิดเกี่ยวกับมัน เขาก็ตระหนักได้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ตนกลายเป็นผู้ที่รังแกแต่คนอ่อนแอและหวาดกลัวความแข็งแกร่ง ในอนาคตซูเฉินยังต้องพบกับอันตรายอีกมากมาย เพื่อที่จะเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น เขาจำเป็นต้องก้าวผ่านพวกมันแล้วก้าวไปข้างหน้าสู่จุดที่สูงกว่า
เป้าหมายหลักของซูเฉินก็ยังคงเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งของตน
ท้ายที่สุดซูเฉินก็ไม่พบกับอสูรร้ายที่เหมือนเจ้าตัวระดับกลางนั้นอีกเลย ในวันที่สี่นับตั้งแต่ที่ซูเฉินเข้ามายังเทือกเขาสีเลือด เขาได้พบกับอสูรร้ายระดับต่ำเป็นครั้งแรก – อสูรเกราะภูผา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)