บทที่ 63 รางวัล (ส่วนที่ 9)
ซูเฉินเดินไปเก็บมีด จากนั้นนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง
ถึงเด็กหนุ่มจะชนะการต่อสู้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน
ร่างของอูเอ๋อร์หลี่เริ่มปล่อยจุดแสงที่ส่องสว่างดั่งแสงดาวออกมา จุดแสงเหล่านี้คือจุดแสงพลังต้นกำเนิด
ซูเฉินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยกมือของตนขึ้น
การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ซูเฉินเรียนรู้ถึงความสำคัญของความแข็งแกร่ง
หากแข็งแกร่งไม่พออาจมีภัยได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้ทำให้ซูเฉินไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าจุดแสงพลังต้นกำเนิดจะถูกปล่อยออกมาจากที่ใด อย่างไรพลังต้นกำเนิดก็คือพลังต้นกำเนิด ไม่มีสิ่งใดเจือปน และไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์
ตอนนี้เจ้าแมลงกินเหล็กกลืนแร่ดาราเงินทั้งสามก้อนลงท้องและกลับมาเรียบร้อยแล้ว
ซูเฉินจ้องมองมันด้วยความระแวดระวังด้วยไม่รู้ว่าหากมันพบว่าอูเอ่อร์หลี่สิ้นใจไปแล้วมันจะบ้าคลั่งขึ้นมาหรือไม่
ทว่าไม่นานก็เบาใจลงได้
เจ้าแมลงยักษ์ที่ภายนอกดูน่าเกรงขาม ใช้หัวกระทุ้งร่าง อูเอ่อร์หลี่ เมื่อพบว่าไร้การตอบรับ มันก็แค่เดินไปนอนด้านข้างอย่างนั้น ไม่สนใจซูเฉินแม้แต่นิด
ภาพฉากนี้ถึงกับทำเอาซูเฉินพูดอะไรไม่ออก
ในเมื่อเจ้าด้วงยักษ์ไม่สนใจเขาแล้ว ซูเฉินเองก็จำเป็นต้องพักเอาแรงบ้าง
หลังจากจัดกระดูกและใส่ยาให้ตนเองแล้ว ซูเฉินก็นอนลงกับพื้น นอนพักอย่างสงบสุข
ตอนที่กำลังปิดเปลือกตาลง ภาพการต่อสู้เมื่อครู่ก็ย้อนกลับเข้ามาในจิตใจ
ตาเฒ่าอูเอ่อร์หลี่มีทักษะพลังต้นกำเนิดหกถึงเจ็ดวิชาหรืออาจเป็นไปได้ว่ามีมากกว่านั้น ไม่อาจดูถูกกำลังของตาเฒ่าได้เลย ที่ซูเฉินสามารถสังหารชายชราได้เป็นเพราะมีเหตุผลอยู่สามข้อ หนึ่งคือเขามีเครื่องมือช่วย เครื่องมือต้นกำเนิดห้าชิ้นทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ชายชรามีเพียงไม้เท้าเวทย์เพียงชิ้นเดียว แล้วยังเป็นเพียงไม้เท้าขยายพลังธรรมดาที่ใช้ขยายพลังของทักษะพลังต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับไฟ หากแต่วิชาที่ตาเฒ่ามีมิได้มีเพียงวิชาไฟเท่านั้น เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายแพ้ สองคือวิชาโบราณอาร์คาน่าใช้ร่วมกันได้ยากและไม่ควรใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด เมื่อซูเฉินพุ่งเข้าไปใกล้อูเอ่อร์หลี่ ชายชราจึงโต้กลับซูเฉินได้ยาก และด้วยพื้นที่ที่ใช้ในการต่อสู้มีจำกัดอูเอ่อร์หลี่จึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ดีนัก ส่งผลให้ซูเฉินยิ่งมีโอกาสโจมตีชายแก่ได้มากยิ่งขึ้น สามคือกังเหยียนที่ปรากฏตัวขึ้นมาและเจ้าด้วงที่ยังไม่ได้ถูกฝึกจนเชื่องทำให้โอกาสสุดท้ายของ อูเอ่อร์หลี่หลุดลอยไป
ทว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ซูเฉินสามารถเอาชนะชายชราได้คือจุดอ่อนของเจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้
ความจริงแล้วซูเฉินควรจะรู้ว่าเจ้าด้วงมีความหื่นกระหายต่อเหล็กตั้งแต่ตอนแรก ทว่าเขากลับถูกอูเอ่อร์หลี่ดึงความสนใจไปจนสิ้น จึงมองข้ามจุดนั้นไปจนกระทั่งมานึกได้ภายหลัง
หากเขาไม่ได้คิดถึงจุดนี้ คนที่ถูกสังหารคงเป็นตนเองแน่แล้ว
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงสามารถพูดได้ว่า การมีจิตใจแจ่มชัดยามต่อสู้นั้นสำคัญยิ่ง
เพราะใจของซูเฉินแจ่มชัดจึงสามารถคิดหาจุดอ่อนของเจ้าด้วงยักษ์ได้โดยเร็ว เพราะจิตใจแจ่มชัดจึงสามารถใช้นัยน์ตาวิญญาณในจังหวะที่สำคัญที่สุดได้ ทำให้อูเอ่อร์หลี่ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ อำนาจอันกล้าแกร่งต้องมาพร้อมกับจิตใจที่แจ่มชัด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องมีเพื่อเดินอยู่บนหนทางแห่งความสำเร็จ
เหล่านี้คือสิ่งซูเฉินได้เรียนรู้หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง และยังเป็นข้อบังคับที่ซูเฉินให้ไว้กับตนเองในอนาคตอีกด้วย ทุกครั้งที่ต้องต่อสู้จำต้องเตือนตนเองถึงเรื่องเหล่านี้ ซูเฉินเป็นคนที่หันกลับมามองข้อผิดพลาดของตน จากนั้นแก้เสียใหม่เพื่อให้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า
หลังจากนอนพักไปไม่อาจรู้ได้ว่านานเท่าไร ความเจ็บปวดจากกระดูกที่หักแถวอกของซูเฉินก็เริ่มเบาบางลง
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังร่างของอูเอ่อร์หลี่
เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นรูปร่างของอูเอ่อร์หลี่ได้อย่างชัดเจนที่สุด
บนใบหน้าตาเฒ่าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หน้าตาดูแก่ชรายิ่งนัก แล้วยังผอมแห้งมากอีก ไม่แปลกใจที่ร่างกายไร้กำลังเสียขนาดนั้น เผ่าอาร์คาน่าโบราณไม่มีวิชาสำหรับก่อร่างให้แข็งแกร่ง พวกมันศึกษาแต่ความลึกลับซับซ้อนของทักษะพลังต้นกำเนิดเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในรูปร่างของชายชราเผ่าอาร์คาน่าตรงหน้าซูเฉิน
เมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้ว นัยน์ตาของชาวอาร์คาน่าเป็นสีน้ำเงิน เป็นอีกข้อแตกต่างหนึ่งระหว่างเผ่าอาร์คาน่าและเผ่ามนุษย์ หากแต่ซูเฉินไม่เห็นดวงตาอีกคู่ของชาวอาร์คาน่ามาก่อน บางทีอาจเป็นแค่คำร่ำลือก็เป็นได้
เมื่อหยิบไม้เท้าเวทย์ไปแล้ว ซูเฉินก็เริ่มค้นร่างอูเอ่อร์หลี่
ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด ไม่มีกระเป๋า ไม่มีแหวนกักเก็บ
ซูเฉินผิดหวังยิ่งนัก
ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ดีแล้ว ซูเฉินก็รู้ว่าอูเอ่อร์หลี่ต้องนำของบางอย่างติดตัวมาด้วยเป็นแน่ในเมื่อมันต้องการฝึกเจ้าแมลงกินเหล็ก
เว้นเสียแต่……
ซูเฉินหันไปมองบางอย่าง
เมื่อตอนนั้นอูเอ่อร์หลี่เดินออกมาจากมุมมืดตรงจุดนั้น
ซูเฉินจึงเดินไปจุดนั้น ทว่าหยุดดูอาการกังเหยียนเสียก่อน เมื่อเห็นว่ากังเหยียนไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เพียงแค่หมดสติไป ซูเฉินจึงยกตะเกียงผลึกแก้วขึ้น จากนั้นเดินต่อไป แสงสีเหลืองเรือง ๆ ส่องฝ่าความมืด ไม่นานซูเฉินก็เห็นว่ายังมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่นัก
ดูท่าถ้ำแห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของอูเอ่อร์หลี่ ของใช้ทั้งหมดของมันอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้
ภายในถ้ำมีสิ่งของอยู่มากมาย
นอกจากสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจซูเฉินได้มากที่สุดคือแท่นประดิษฐ์ของขนาดใหญ่
แท่นประดิษฐ์ของแท่นนี้มีขวดยาและเหยือกรูปร่างแปลกตาวางกระจายเต็มไปหมด แล้วยังมีกระดาษบันทึกการทดลองอีกด้วย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)