ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 63

บทที่ 63 รางวัล (ส่วนที่ 9)

ซูเฉินเดินไปเก็บมีด จากนั้นนั่งลงกับพื้นอย่างหมดแรง

ถึงเด็กหนุ่มจะชนะการต่อสู้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นกัน

ร่างของอูเอ๋อร์หลี่เริ่มปล่อยจุดแสงที่ส่องสว่างดั่งแสงดาวออกมา จุดแสงเหล่านี้คือจุดแสงพลังต้นกำเนิด

ซูเฉินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยกมือของตนขึ้น

การต่อสู้ในครั้งนี้ทำให้ซูเฉินเรียนรู้ถึงความสำคัญของความแข็งแกร่ง

หากแข็งแกร่งไม่พออาจมีภัยได้ทุกเมื่อ สิ่งนี้ทำให้ซูเฉินไม่ใส่ใจอีกต่อไปว่าจุดแสงพลังต้นกำเนิดจะถูกปล่อยออกมาจากที่ใด อย่างไรพลังต้นกำเนิดก็คือพลังต้นกำเนิด ไม่มีสิ่งใดเจือปน และไม่แบ่งแยกเผ่าพันธุ์

ตอนนี้เจ้าแมลงกินเหล็กกลืนแร่ดาราเงินทั้งสามก้อนลงท้องและกลับมาเรียบร้อยแล้ว

ซูเฉินจ้องมองมันด้วยความระแวดระวังด้วยไม่รู้ว่าหากมันพบว่าอูเอ่อร์หลี่สิ้นใจไปแล้วมันจะบ้าคลั่งขึ้นมาหรือไม่

ทว่าไม่นานก็เบาใจลงได้

เจ้าแมลงยักษ์ที่ภายนอกดูน่าเกรงขาม ใช้หัวกระทุ้งร่าง อูเอ่อร์หลี่ เมื่อพบว่าไร้การตอบรับ มันก็แค่เดินไปนอนด้านข้างอย่างนั้น ไม่สนใจซูเฉินแม้แต่นิด

ภาพฉากนี้ถึงกับทำเอาซูเฉินพูดอะไรไม่ออก

ในเมื่อเจ้าด้วงยักษ์ไม่สนใจเขาแล้ว ซูเฉินเองก็จำเป็นต้องพักเอาแรงบ้าง

หลังจากจัดกระดูกและใส่ยาให้ตนเองแล้ว ซูเฉินก็นอนลงกับพื้น นอนพักอย่างสงบสุข

ตอนที่กำลังปิดเปลือกตาลง ภาพการต่อสู้เมื่อครู่ก็ย้อนกลับเข้ามาในจิตใจ

ตาเฒ่าอูเอ่อร์หลี่มีทักษะพลังต้นกำเนิดหกถึงเจ็ดวิชาหรืออาจเป็นไปได้ว่ามีมากกว่านั้น ไม่อาจดูถูกกำลังของตาเฒ่าได้เลย ที่ซูเฉินสามารถสังหารชายชราได้เป็นเพราะมีเหตุผลอยู่สามข้อ หนึ่งคือเขามีเครื่องมือช่วย เครื่องมือต้นกำเนิดห้าชิ้นทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ชายชรามีเพียงไม้เท้าเวทย์เพียงชิ้นเดียว แล้วยังเป็นเพียงไม้เท้าขยายพลังธรรมดาที่ใช้ขยายพลังของทักษะพลังต้นกำเนิดที่เกี่ยวข้องกับไฟ หากแต่วิชาที่ตาเฒ่ามีมิได้มีเพียงวิชาไฟเท่านั้น เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อีกฝ่ายแพ้ สองคือวิชาโบราณอาร์คาน่าใช้ร่วมกันได้ยากและไม่ควรใช้ในการต่อสู้ระยะประชิด เมื่อซูเฉินพุ่งเข้าไปใกล้อูเอ่อร์หลี่ ชายชราจึงโต้กลับซูเฉินได้ยาก และด้วยพื้นที่ที่ใช้ในการต่อสู้มีจำกัดอูเอ่อร์หลี่จึงไม่อาจหลบเลี่ยงได้ดีนัก ส่งผลให้ซูเฉินยิ่งมีโอกาสโจมตีชายแก่ได้มากยิ่งขึ้น สามคือกังเหยียนที่ปรากฏตัวขึ้นมาและเจ้าด้วงที่ยังไม่ได้ถูกฝึกจนเชื่องทำให้โอกาสสุดท้ายของ อูเอ่อร์หลี่หลุดลอยไป

ทว่าสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ซูเฉินสามารถเอาชนะชายชราได้คือจุดอ่อนของเจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้

ความจริงแล้วซูเฉินควรจะรู้ว่าเจ้าด้วงมีความหื่นกระหายต่อเหล็กตั้งแต่ตอนแรก ทว่าเขากลับถูกอูเอ่อร์หลี่ดึงความสนใจไปจนสิ้น จึงมองข้ามจุดนั้นไปจนกระทั่งมานึกได้ภายหลัง

หากเขาไม่ได้คิดถึงจุดนี้ คนที่ถูกสังหารคงเป็นตนเองแน่แล้ว

จากเหตุการณ์ในครั้งนี้จึงสามารถพูดได้ว่า การมีจิตใจแจ่มชัดยามต่อสู้นั้นสำคัญยิ่ง

เพราะใจของซูเฉินแจ่มชัดจึงสามารถคิดหาจุดอ่อนของเจ้าด้วงยักษ์ได้โดยเร็ว เพราะจิตใจแจ่มชัดจึงสามารถใช้นัยน์ตาวิญญาณในจังหวะที่สำคัญที่สุดได้ ทำให้อูเอ่อร์หลี่ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับเป็นฝ่ายได้เปรียบ อำนาจอันกล้าแกร่งต้องมาพร้อมกับจิตใจที่แจ่มชัด สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ต้องมีเพื่อเดินอยู่บนหนทางแห่งความสำเร็จ

เหล่านี้คือสิ่งซูเฉินได้เรียนรู้หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง และยังเป็นข้อบังคับที่ซูเฉินให้ไว้กับตนเองในอนาคตอีกด้วย ทุกครั้งที่ต้องต่อสู้จำต้องเตือนตนเองถึงเรื่องเหล่านี้ ซูเฉินเป็นคนที่หันกลับมามองข้อผิดพลาดของตน จากนั้นแก้เสียใหม่เพื่อให้ดียิ่งขึ้นกว่าเก่า

หลังจากนอนพักไปไม่อาจรู้ได้ว่านานเท่าไร ความเจ็บปวดจากกระดูกที่หักแถวอกของซูเฉินก็เริ่มเบาบางลง

เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปยังร่างของอูเอ่อร์หลี่

เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นรูปร่างของอูเอ่อร์หลี่ได้อย่างชัดเจนที่สุด

บนใบหน้าตาเฒ่าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น หน้าตาดูแก่ชรายิ่งนัก แล้วยังผอมแห้งมากอีก ไม่แปลกใจที่ร่างกายไร้กำลังเสียขนาดนั้น เผ่าอาร์คาน่าโบราณไม่มีวิชาสำหรับก่อร่างให้แข็งแกร่ง พวกมันศึกษาแต่ความลึกลับซับซ้อนของทักษะพลังต้นกำเนิดเท่านั้น สิ่งเหล่านี้สะท้อนอยู่ในรูปร่างของชายชราเผ่าอาร์คาน่าตรงหน้าซูเฉิน

เมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้ว นัยน์ตาของชาวอาร์คาน่าเป็นสีน้ำเงิน เป็นอีกข้อแตกต่างหนึ่งระหว่างเผ่าอาร์คาน่าและเผ่ามนุษย์ หากแต่ซูเฉินไม่เห็นดวงตาอีกคู่ของชาวอาร์คาน่ามาก่อน บางทีอาจเป็นแค่คำร่ำลือก็เป็นได้

เมื่อหยิบไม้เท้าเวทย์ไปแล้ว ซูเฉินก็เริ่มค้นร่างอูเอ่อร์หลี่

ทว่ากลับไม่พบสิ่งใด ไม่มีกระเป๋า ไม่มีแหวนกักเก็บ

ซูเฉินผิดหวังยิ่งนัก

ทว่าเมื่อครุ่นคิดให้ดีแล้ว ซูเฉินก็รู้ว่าอูเอ่อร์หลี่ต้องนำของบางอย่างติดตัวมาด้วยเป็นแน่ในเมื่อมันต้องการฝึกเจ้าแมลงกินเหล็ก

เว้นเสียแต่……

ซูเฉินหันไปมองบางอย่าง

เมื่อตอนนั้นอูเอ่อร์หลี่เดินออกมาจากมุมมืดตรงจุดนั้น

ซูเฉินจึงเดินไปจุดนั้น ทว่าหยุดดูอาการกังเหยียนเสียก่อน เมื่อเห็นว่ากังเหยียนไม่ได้บาดเจ็บสาหัส เพียงแค่หมดสติไป ซูเฉินจึงยกตะเกียงผลึกแก้วขึ้น จากนั้นเดินต่อไป แสงสีเหลืองเรือง ๆ ส่องฝ่าความมืด ไม่นานซูเฉินก็เห็นว่ายังมีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง ไม่ห่างจากจุดที่เขายืนอยู่นัก

ดูท่าถ้ำแห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของอูเอ่อร์หลี่ ของใช้ทั้งหมดของมันอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้

ภายในถ้ำมีสิ่งของอยู่มากมาย

นอกจากสิ่งของที่จำเป็นในการใช้ชีวิตแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจซูเฉินได้มากที่สุดคือแท่นประดิษฐ์ของขนาดใหญ่

แท่นประดิษฐ์ของแท่นนี้มีขวดยาและเหยือกรูปร่างแปลกตาวางกระจายเต็มไปหมด แล้วยังมีกระดาษบันทึกการทดลองอีกด้วย

ซูเฉินหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นอ่าน เป็นกระดาษบันทึกวิธีการฝึกและเลี้ยงเจ้าแมลงกินเหล็ก

“เจ้านั่นคือแมลงกินเหล็กจริง ๆ ด้วยสินะ” ซูเฉินเพิ่งรู้ว่าจริง ๆ แล้วเจ้าสัตว์อสูรตัวนั้นเรียกว่าอย่างไร

แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็ไม่ใส่ใจซูเฉินอยู่แล้ว เขาจึงแขวนตะเกียงผลึกแก้วไว้บนผนังก่อนจะเริ่มอ่านหนังสือของอูเอ่อร์หลี่

ลายมือในบันทึกไม่เป็นระเบียบอย่างยิ่ง บางเล่มบันทึกประสบการณ์ของอูเอ่อร์หลี่ บางเล่มบันทึกความทรงจำ ตอนแรกซูเฉินอ่านแล้วรู้สึกสับสน ทว่าเมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ จึงเริ่มเข้าใจ

อูเอ่อร์หลี่คือผู้เหลือรอดจากเผ่าอาร์คาน่าอย่างแท้จริง

เมื่อเผ่าอาร์คาน่าเหลือเพียงเศษซากแล้ว เผ่าอื่น ๆ จึงไม่ยอมให้ผู้เหลือรอดได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อ ดังนั้นถึงชายชราจะเป็นผู้เหลือรอดแต่ก็มีได้มีสมบัติมากมาย ช่วงชีวิตเริ่มแรกของมันได้ติดตามบิดามารดาเดินทางร่อนเร่ พยายามหลบหนีจากเผ่าอื่นที่ตามล่า หากแต่สุดท้ายผู้เหลือรอดอาร์คาร์ก็คือผู้เหลือรอดอาร์คาน่า ไม่แน่ว่ามันอาจมีเส้นสายจากที่แห่งใด จึงสามารถได้รับหนังสือที่บันทึกวิชาโบราณอาร์คาน่ามา

ข้อมูลเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในหน้ากระดาษ มิใช่ในมุกส่งสาร!

ซูเฉินสนใจตรงจุดนี้ยิ่ง

เด็กหนุ่มค้นรอบห้องให้ทั่วอีกครั้งหนึ่ง สุดท้ายก็เจอคัมภีร์หนังแกะม้วนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ตรงมุมห้อง เป็นคัมภีร์หนังแกะโบราณ ถึงดูแล้วจะมีการบำรุงรักษาตัวคัมภีร์บ้างแล้ว ก็ยังดูราวกับว่าหากแตะไปโดนมันสักนิดมันก็จะสลายกลายเป็นผุยผง

ซูเฉินจึงค่อย ๆ เปิดม้วนคัมภีร์อย่างระมัดระวัง จากนั้นเห็นตัวอักษรโบราณของอาร์คาน่าถูกบันทึกไว้ภายใน ในใจของ ซูเฉินดิ่งลงทันที

ถึงมันจะเคยร่ำเรียนอักษรโบราณอาร์คาน่ากับถังเจิ้นมาก่อน ก็ได้เรียนเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงมีเวลาเรียนรู้จำกัด ซูเฉินคำนวณดูแล้ว หากถังเจิ้นอยู่ด้วยก็ยังคงยากที่จะอ่านเข้าใจ

การฝึกตนนั้นไม่เหมือนกับการทำสิ่งอื่น ข้อผิดพลาดเพียงนิดอาจทำให้เกิดผลร้ายแรงได้

ซูเฉินไม่อาจลงมือทำอันใดได้ ดังนั้นจึงวางม้วนคัมภีร์ไว้อีกด้าน ก่อนจะค้นหนังสือที่อูเอ่อร์หลี่บันทึกไว้ต่อ

เมื่อดูจากสิ่งที่ถูกบันทึกไว้แล้ว หลังจากอูเอ่อร์หลี่ได้คัมภีร์หนังแกะมา ชายชราก็เริ่มบ่มเพาะพลังตามที่คัมภีร์กล่าวไว้ ทว่าเผ่าอาร์คาน่าถูกชนเผ่าอื่นรังเกียจไม่ยอมรับ สภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะพลังของอูเอ่อร์หลี่จึงย่ำแย่ยิ่งนักเนื่องจากต้องคอยหลบหนีหรือร่อนเร่ไปเรื่อย เวลาในชีวิตส่วนมากใช้ไปกับการหลบซ่อนตัวหรือหนีตาย ดังนั้นขั้นการบ่มเพาะพลังของมันจึงต่ำนักถึงจะชรามากแล้ว

อีกฝ่ายไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะ และไม่มีสมบัติทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่ดีพอต่อการบ่มเพาะพลัง ที่ตาเฒ่าทำการบ่มเพาะพลังในสภาพที่เป็นอยู่โดยมีเพียงคำบอกเล่าจากคัมภีร์หนังแกะเพียงม้วนเดียวนั้นนับว่าดีมากแล้ว

นอกจากวิชาของเผ่าอาร์คาน่าแล้ว ในม้วนคัมภีร์ยังบันทึกวิชาพลิกชีวิตเผ่าอาร์คาน่าไว้อีกด้วย

วิชาพลิกชีวิตเผ่าอาร์คาน่านี้คือวิชาที่ชาวอาร์คาน่าใช้วิชาโบราณอาร์คาน่าผนวกกับความรู้ของพวกมันเพื่อพลิกชีวิตสิ่งมีชีวิตอื่นให้มาเป็นทาสรับใช้ วิชานี้เกิดขึ้นตอนที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังคงรุ่งเรืองจนถึงขีดสุด ทว่าวิชานี้เองก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้อาณาจักรล่มสลายด้วยเช่นกัน

เหตุเพราะพวกมันพลิกชีวิตและใช้ประโยชน์จากผู้อื่นอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ แล้วยังมีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าต่าง ๆ ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากพวกมัน ในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เผ่าใหญ่ทั้งหมดโกรธเกรี้ยว ยามเมื่อเทพอสูรบรรพกาลบุกทำลายอาณาจักรจนย่อยยับไปแล้ว เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ ก็ร่วมมือกันขุดรากถอนโคนอาณาจักรอาร์คาน่า

หากพูดถึงบาปที่เผ่าอาร์คาน่าก่อมานับไม่ถ้วนแล้ว วิชาพลิกชีวิตนี้คือสิ่งที่นับได้ว่าเป็นบาปมหันต์ที่สุด

ไม่ว่าจะอย่างไร วิธีที่ไร้มโนธรรมเช่นนี้ยังทำให้เผ่าต่าง ๆ ครุ่นคิดถึงเรื่องความเข้าใจในชีวิตเสียใหม่ ในภายหลังเผ่าอื่น ๆ จึงได้สร้างวิธีบ่มเพาะพลังและวิชาทักษะต่าง ๆ ที่สามารถใช้และฝึกฝนได้ง่ายขึ้นมาอย่างหลากหลาย ทำให้แต่ละเผ่าต่างมีชีวิตที่ดีขึ้น

อูเอ่อร์หลี่ไม่กล้าใช้วิชาพลิกชีวิตเผ่าอาร์คาน่า จึงไม่อาจใช้สัตว์อสูรได้ ราชันย์สัตว์อสูรจะใช้เสียงเพรียกระยะไกลทำให้ความสามารถของสัตว์อสูรที่อยู่นอกอาณาเขตตื่นขึ้นเพื่อป้องกันมิให้ถูกผู้อื่นใช้งานดั่งข้าทาสได้ ดังนั้นอูเอ่อร์หลี่จึงเลือกใช้ได้เพียงพวกแมลงเท่านั้น

อูเอ่อร์หลี่ค้นพบเจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้เข้าระหว่างกำลังเดินทางร่อนเร่ พวกมันเป็นแมลงที่หายากมาก ปกติแล้วมีขนาดเพียงหนึ่งเล็บมือเท่านั้น

กล่าวได้ว่าอูเอ่อร์หลี่สังหารแมลงกินเหล็กไปนับไม่ถ้วน เมื่อนำมาทำการทดลองและเลี้ยงดูอยู่หลายครั้ง ในที่สุดชายชราก็สามารถสร้างเจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้ออกมาได้

ทว่าการทดลองของมันมีข้อผิดพลาดอย่างเห็นได้ชัด

เดิมทีอูเอ่อร์หลี่หวังว่ามันจะสามารถใช้ความกระหายแร่เหล็กของเจ้าแมลงกินเหล็กเหล่านี้ในการฝึกฝนเกราะมีชีวิตที่ทรงพลังขึ้นมา ในขณะที่ชายแก่ทำสำเร็จแล้ว แมลงกินเหล็กที่มันฝึกและเลี้ยงมานั้นน่าเกรงขามและทรงพลังไม่ใช่น้อย หากได้กินเหล็กต่อไปจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นได้อีก แต่ทว่าปัญหาสำคัญคือเจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้ไม่ชอบการต่อสู้

ธรรมชาติที่เป็นสัตว์อสูรนิสัยเกียจคร้านของมันทำให้มันเกลียดการต่อสู้ยิ่งนัก กรามขนาดยักษ์มองแล้วน่ากลัวสุดจิตของมันไม่ต้องการใช้ทิ่มแทงหรือโจมตีสิ่งอื่น นอกจากใช้หยิบแร่เหล็กเข้าปากมันเพียงอย่างเดียว หากมีคนตีมัน มันก็ทำเพียงร้องงี๊ดง๊าด ออกมา

อูเอ่อร์หลี่พยายามหาหลากหลายวิธีมาแก้ปัญหานี้ สุดท้ายก็สามารถหาทางที่จะเพิ่มความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าแมลงกินเหล็กมาได้

นั่นคือตอนที่ซูเฉินปรากฏตัวขึ้น

สุดท้ายแล้ว แร่ดาราเงินบริสุทธิ์เพียงไม่กี่ก้อนกลับดับไฟในการต่อสู้ของเจ้าแมลงกินเหล็กไปจนสิ้น

“ไม่แปลก……” ซูเฉินพูดกับตนเอง

ไม่แปลกที่เจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้ หลังจากเจ้านายถูกสังหารก็ไม่ตามมาแก้แค้นแต่อย่างใด ทว่ากลับวิ่งไปนอนหลบอยู่ด้านข้าง เป็นเพราะนิสัยของมันไม่ชอบการต่อสู้นั่นเอง

ตอนแรกซูเฉินคิดจะหาวิธีสังหารเจ้าแมลงนี่หลังจากกำลังฟื้นคืนมาแล้ว หากแต่เมื่อรู้เช่นนี้ เขาจึงล้มเลิกความคิดนั้นเสีย

ซูเฉินรู้ดีว่าหากไม่มีอูเอ่อร์หลี่คอยฝึกเจ้าแมลงกินเหล็กแล้ว ไม่นานนิสัยดั้งเดิมของมันก็จะกลับคืนมา สุดท้ายก็จะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสังหารมันทิ้ง

หลังจากเก็บคัมภีร์หนังแกะมาได้แล้ว ซูเฉินก็ยังค้นเดินค้นห้องแห่งนั้นต่อ หวังจะเจอสิ่งใดที่อาจใช้งานได้

ทว่านอกจากถุงแมลงแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก ตาเฒ่าอู่เอ่อร์หลี่ ใช้สมบัติที่มีทั้งหมดไปกับการฝึกและบ่มเพาะพลังให้เจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้เสียแล้วกระมัง ถุงแมลงนี้ใช้เลี้ยงแมลงกินเหล็กต่าง ๆ พวกแมลงสามารถเข้ามาจำศีลในถุง ถึงมีอาหารเพียงน้อยนิดก็สามารถเอาชีวิตรอดได้ มูลค่าของถุงใบนี้พอ ๆ กับแหวนกักเก็บระดับสามัญหนึ่งวง ดังนั้นซูเฉินจึงเก็บถุงมาด้วยเช่นกัน

ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเก็บบันทึกการทดลองของชายชราและเครื่องมือเครื่องไม้ต่าง ๆ ไปด้วย

บันทึกเหล่านี้คือขุมทรัพย์ความรู้ที่สั่งสมมาหลายปีของชายชรา เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อู่เอ่อร์หลี่เรียนรู้

ผู้คนในยุคปัจจุบันมองว่าสิ่งของเครื่องใช้และการฝึกตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นคนส่วนมากจึงไม่ค่อยชอบวิชาโบราณอาร์คาน่าที่เป็นวิชา “ชั่วร้าย” ทว่าซูเฉินได้ร่ำเรียนกับถังเจิ้น ได้เห็นพละกำลังของแมลงกินเหล็กด้วยตาตนเองมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่รังเกียจความรู้หรือวิชาใดทั้งสิ้น

เพราะอย่างไรเสีย จะมีผู้ใดล่วงรู้ได้ว่าวิชาความรู้เหล่านี้สามารถทำให้ความแข็งแกร่งของตนเพิ่มมากขึ้นได้กัน? ในเมื่อยุคนี้สายเลือดมีความสัมพันธ์สำคัญกับความแข็งแกร่ง ทั้งเครื่องมือสกัดสายเลือดและโอสถสืบสายเลือดต่างก็เป็นผลผลิตที่มาจากความรู้เหล่านี้ทั้งสิ้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)