ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 66

บทที่ 66 ปรึกษาหารือ

เมื่อได้เจ้าแมลงกินเหล็กมาแล้ว กังเหยียนก็เก็บมันไว้ในถุงแมลงที่ซูเฉินเพิ่งมอบให้ตน

หลังจากเก็บกวาดทุกสิ่งอย่างแล้ว ทั้งคู่ก็เดินทางออกจากถ้ำ

เมื่อเทียบกับสิบวันก่อนหน้านี้ ผู้คนในหุบเขามรกตลดลงอย่างเห็นได้ชัด

จำนวนแร่ดาราเงินร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ คนหลายคนต่างจากไปพร้อมกับความผิดหวังที่ไม่สามารถขุดแร่ใดออกมาได้เลย

กิจการของเฮยโฉ่วก็เริ่มค้าขายได้น้อยลง สิ่งที่ทำให้มันหมดหนทางที่สุดคือมีร้านคู่แข่งมาตั้งตรงจุดที่มันวางแผนจะตั้งร้านของตน ทั้งสองกิจการต่างไม่ถูกกัน ไม่นานคงต้องเกิดการประจันหน้า

ซูเฉินพากังเหยียนลอบออกไปจากที่นั่น เป็นอีกครั้งที่ต้องเดินเท้าเข้าป่าที่แสนคุ้นเคยเพื่อเดินทางกลับบ้านที่อยู่ห่างไกลนัก

ด้วยยังเหลือเวลาอีกสี่วัน ซูเฉินจึงไม่ได้รีบร้อนนัก เด็กหนุ่มเดินท่องเที่ยวไปทั่ว ล่าอสูรร้ายไปตามทางเท่าที่กำลังจะเอื้ออำนวย

ยามอยู่ตัวคนเดียว เขาก็มักเดินทางไปไหนมาไหนได้ตามใจชอบอยู่แล้ว ยิ่งในตอนนี้ที่มีกังเหยียนและเจ้าแมลงกินเหล็กอยู่ด้วยแล้ว เด็กหนุ่มก็ยิ่งไม่ต้องกังวลสิ่งใด ถึงเจ้าแมลงกินเหล็กจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่คาดเดาได้ยากก็ตาม

ด้วยเพราะที่นี่อยู่ลึกเข้าไปในป่า ไม่นานพวกมันจึงเจอเข้ากับอสูรร้ายระดับต่ำ

คนทั้งสองคนร่วมมือกันจัดการอสูรร้ายอย่างง่ายดาย

กังเหยียนกำลังจะถลกหนังของเจ้าอสูรร้ายออก ทว่า ซูเฉินกลับหยุดอีกฝ่ายไว้แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ทำตามที่ข้าบอก ยื่นนิ้วเจ้าไปวางตรงนั้น…… ไม่ใช่ ต่ำลงไปอีกนิด ใช่แล้ว ตรงนั้นล่ะ คราวนี้อย่าขยับ ใช้วิชาดูดซับพลังศรเภกะที่ข้าสอนให้เจ้าเสีย มุ่งดูดซับพลังจากตรงจุดนั้น นึกภาพตัวเจ้ากำลังหายใจเข้า หายใจเข้าเสีย…… หายใจเข้าต่อไป…… หายใจเข้าต่อไปเรื่อย ๆ!”

ในที่สุดจุดแสงพลังต้นกำเนิดก็ค่อย ๆ จมหายเข้าไปในร่างของกังเหยียน

นี่คือสิ่งที่ซูเฉินกล่าวว่ามันจะทำให้กังเหยียนฝึกตนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดวงตาของเขาสามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ นั่นก็หมายความว่าเด็กหนุ่มสามารถใช้ความสามารถนี้ในการช่วยผู้อื่นได้เช่นกัน

หลังจากเวลาผ่านไปราวสิบวันบวกกับการสอนสั่งและฝึกฝน กังเหยียนก็เริ่มใช้วิชาดูดซับพลังศรเภกะจนชำนาญ ทว่าความเร็วในการดูดซับพลังของมันยังเร็วได้เพียงครึ่งหนึ่งของซูเฉิน

ซูเฉินรู้ดีว่าเป็นเพราะตามปกติแล้วกังเหยียนไม่อาจสัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดได้ ทั้งความสามารถในการบ่มเพาะพลังก็เลวร้ายยิ่ง ทว่าจากสิ่งที่ได้เห็น เขาจึงพอคำนวณคร่าว ๆ ได้ว่ากังเหยียนนั้นแตกต่างกับเผ่ามนุษย์อยู่ราวสองเท่า

หากความเข้าใจของกังเหยียนเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์ ทั้งความสามารถในการสัมผัสถึงพลังต้นกำเนิดและความสามารถในการดูดซับพลังมีเท่ากับครึ่งหนึ่งของมนุษย์แล้ว ไม่แปลกที่เผ่าหินผาจะบ่มเพาะพลังได้ยากเย็นยิ่งนัก

ทว่าซูเฉินไม่ยอมแพ้ เขายังคงชี้แนะกังเหยียนและฝึกการบ่มเพาะพลังของตนเองต่อไป

ด้วยเพราะต้องคอยชี้แนะกังเหยียน อัตราการดูดซับจุดพลังของเด็กหนุ่มจึงลดลดลงเล็กน้อยราวสองจุด แต่ทว่ามันก็ลดลงเพียงชั่วคราวเท่านั้น

ในวันต่อ ๆ มา เมื่อไรที่สามารถสังหารอสูรร้ายได้ เด็กหนุ่มก็จะคอยช่วยกังเหยียนดูดซับจุดแสงพลังต้นกำเนิด ถึงการรับรู้ของกังเหยียนจะต่ำ ทว่าชายร่างยักษ์ก็ไม่ได้ไร้ปัญญาไปเสียทีเดียว อีกฝ่ายสามารถทำตามคำชี้แนะของซูเฉินได้เป็นอย่างดี หากซูเฉินชี้ไปตรงจุดใด มันก็จะยื่นมือไปตรงจุดนั้น ถึงจะไม่อาจมองเห็นจุดพลังแต่มันก็ยอมทำตามที่ซูเฉินบอกและเริ่มทำการดูดซับและบ่มเพาะพลัง

ผลลัพธ์ที่ออกมาสามารถเห็นได้รวดเร็วยิ่ง ไม่ว่ามันจะหัวช้าสักเพียงไหน แต่ทว่ากังเหยียนก็ค้นพบว่าการบ่มเพาะพลังของมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดิมทีขั้นพลังของมันอยู่ด่านหลอมกายาขั้น 7 ทว่าตอนนี้กลับถึงด่านหลอมกายาขั้น 8 แล้ว

สิ่งนี้ทำให้กังเหยียนตื่นเต้นยิ่งนัก

“นี่เป็นความลับ มีเพียงเจ้ากับข้าที่รู้เรื่องนี้ เข้าใจหรือไม่?” ซูเฉินเอ่ย

กังเหยียนหงกหัว “ถึงกังเหยียนต้องตายก็จะไม่เผยความลับนี้ออกไปเด็ดขาด”

“ดีมาก” ซูเฉินตอบ

ทั้งคู่สนิทกันถึงเพียงนี้แล้ว

สี่วันให้หลัง ซูเฉินก็พากังเหยียนออกจากเทือกเขาสีเลือด

ครั้งนี้เด็กหนุ่มไม่กล้ากลับมาช้าอีก

ข้ารับใช้จากตระกูลซูที่มารอรับซูเฉินต่างก็สับสนมึนงงเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ข้างซูเฉิน

จะไม่ให้พวกมันตกใจได้อย่างไร? นายน้อยตาบอดเดินทางเข้าไปยังเทือกเขาสีเลือดถึงสองครั้ง แล้วยังสามารถเอาชีวิตรอดกลับมาได้ถึงสองครั้งอีก

ซูเฉินไม่ใส่ใจ ก่อนกลับมาถึงเขาได้เล่าตัวตนและเรื่องนัยน์ตาของตนให้กังเหยียนรับรู้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องคอยเตือนกังเหยียนในเรื่องใดอีก เด็กหนุ่มขึ้นรถม้าที่จอดรอไว้โดยไม่สนสิ่งใด ทว่าเมื่อกังเหยียนเดินขึ้นรถม้าตามไป รถม้าก็เริ่มสั่นคลอน ม้าทั้งสี่ตัวไม่อาจเคลื่อนรถม้าได้ในตอนแรก คนขับรถม้าจำต้องลงแส้ที่ม้าทั้งสี่ตัวไม่หยุดเพื่อให้พวกมันออกเดิน ทำเอาข้ารับใช้สองคนพูดอันใดไม่ออก พวกมันได้แต่คิดว่านายน้อยสี่คงพึ่งพาคนร่างสูงใหญ่ผู้นี้ในการเอาชีวิตรอดบนเทือกเขาสีเลือดกระมัง

ถึงซูเฉินจะไม่ได้เอ่ยคำใดออกมา คนรอบข้างพวกนั้นก็จะหาคำตอบที่ตนเชื่อมาตอบคำถามในใจตนอยู่แล้ว

รถม้าเดินทางไปยังศาลาหยกพิสุทธิ์เป็นแห่งแรก เมื่อมาถึง เด็กหนุ่มก็เห็นว่าหลี่ชู่และถังเจิ้นกำลังคุยกัน เมื่อทั้งสองเห็นว่าซูเฉินมาถึง ตอนแรกก็มึนงงไป ทว่าเมื่อเห็นกังเหยียน หลี่ชู่ก็เข้าใจในทันที รีบเข้ามาช่วยพยุงซูเฉินพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “นายน้อยสี่โปรดระวัง นายน้อยสี่มองเห็นลำบาก ให้ข้าน้อยช่วยพยุงเถอะ”

กล่าวได้ว่าความสามารถในการปรับตัวของกังเหยียนนั้นมีมากกว่าหลี่ชู่นัก

หลี่ชู่พยุงซูเฉินเดินเข้าไปในห้อง ส่วนถังเจิ้นก็ไล่คนอื่น ๆ ออกไปจนหมด คนทั้งสามนั่งลงยกเว้นกังเหยียนที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังซูเฉิน

ถังเจิ้นได้ยินหลี่ชู่พูดถึงกังเหยียนแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่ประหลาดใจนัก

หลังจากคุยเรื่องทั่วไปกันอยู่ชั่วครู่ ทั้งหมดก็เริ่มพูดคุยถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมา เล่าเหตุการณ์แต่ละอย่างให้แต่ละคนฟัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)