บทที่ 67 ยอมแพ้หรือไม่ยอมแพ้ (ส่วนที่ 3)
เมื่อซูเฉินกลับมาถึง ภายในตระกูลก็เกิดความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง
แน่นอนว่าการที่คนตาบอดสามารถรอดปลอดภัยกลับมาจากเทือกเขาสีเลือดได้ถึงสองครั้งสองครา จะไม่ให้เป็นข่าวใหญ่ได้อย่างไร? ทว่าทุกคนต่างก็คิดเหมือนอย่างที่ข้ารับใช้สองคนนั้นคิดเมื่อพวกเขาเห็นกังเหยียน คนพวกนั้นต่างคิดว่าที่ซูเฉินสามารถเอาชีวิตรอดตลอดหนึ่งร้อยวันบนเทือกเขาสีเลือดและครั้งนี้ที่เด็กหนุ่มสามารถทำภารกิจที่ตระกูลมอบหมายไปสำเร็จ เป็นเพราะได้ความช่วยเหลือจากกังเหยียน
ระหว่างที่ซูเฉินกำลังจะเดินไปพบมารดาตน เขาก็พบเข้ากับซูชิง
ซูชิงดูมีกำลังขึ้นมากกว่าเก่า พละกำลังของมันเพิ่มมากขึ้น ด้วยทะลวงถึงขั้นสุดของด่านหลอมกายา ไม่แน่ว่าอีกไม่นานมันก็อาจทะลวงไปสู่ด่านก่อเกิดลมปราณได้
แน่นอนว่าช่วงเวลาที่ซูเฉินไม่ได้อยู่ในตระกูล คนอื่น ๆ ต่างไม่ได้หยุดพักแม้แต่น้อย
“ซูเฉิน!” เมื่อเห็นว่าซูเฉินกลับมาอย่างปลอดภัย นัยน์ตาของซูชิงก็เต็มไปด้วยเปลวเพลิงเห็นความเกลียดชัง
หลังจากถูกซูเฉินเอาชนะมาได้ถึงสองครั้ง ความสัมพันธ์ฉันพี่น้องก็ได้เลือนหายไปนานแล้ว สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความเกลียดชัง
ซูเฉินเอียงคอ ทำท่าราวกับกำลังฟังเสียงอยู่ก่อนจะหัวเราะออกมา “เป็นนายน้อยสองนี่เอง ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างเล่า?”
“ไม่ดีเท่าไหร่” ซูชิงกัดฟันตอบ “หลายวันมานี้ ข้าภาวนาอยู่ทุกวันให้เจ้าไม่ตายอยู่บนเทือกเขา……”
“ภาวนาให้ข้ากลับมาให้เจ้าได้เอาชนะใช่หรือไม่?” ซูเฉินพูดขัดขึ้นด้วยความหงุดหงิด “ข้ารู้ว่าเจ้ามีแต่ความคิดเหล่านี้ อะไรกัน ตอนนี้เจ้ามั่นใจว่าเจ้าแข็งแกร่งขึ้นนิดหนึ่งแล้วงั้นหรือ? ช่างน่าเสียดาย……”
ซูเฉินยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่แปลกชอบกล ทว่าก็เป็นรอยยิ้มที่คุ้นตายิ่ง
ซูชิงเคยเห็นรอยยิ้มนี้มาก่อน
ครั้งก่อนที่ซูเฉินเอาชนะซูชิงได้ มันก็ทำสีหน้าแบบนี้
เมื่อตอนที่ซูเฉินพลิกสถานการณ์ตอนการแข่งขันต่อสู้คัดออก ก็เป็นสีหน้านี้เช่นกัน!
ซูชิงรู้ว่าสถานการณ์ไม่เป็นใจนัก มันจึงตั้งท่าหมัดพยัคฆ์เพลิงรอไว้ตามสัญชาตญาณ เตรียมตัวต่อสู้
ทว่าน่าแปลกที่ซูเฉินกลับไม่ลงมือ
มันกลับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “กังเหยียน ทำให้เขาคุกเข่าลงเสีย!”
“ขอรับนายน้อย!” กังเหยียนตอบรับน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะซัดมือไปทางซูชิง
ครั้งนี้ข้าไม่ยอมให้เจ้าได้ลอบโจมตีหรอก!
ซูชิงกู่ร้องในใจ ยกมือขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตี ในเวลาเดียวกันนั้นแขนที่แน่นขนัดไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดของกังเหยียนก็ซัดลงมา
ตึง!
กังเหยียนปัดแขนซูชิงออกก่อนจะกดไหล่ให้มันคุกเข่าลง แรงกดเพียงครั้งเดียวสามารถกดตัวซูชิงจนล้มลงไปได้
ซูชิงลงไปนอนอยู่กับพื้นทันที
หากเป็นเรื่องพละกำลัง กระทั่งซูเฉินที่ใช้วิชาวิชากายาเวหาเวียนขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณยังไม่อาจเทียบกับกังเหยียนได้ นับประสาอะไรกับซูชิง
ทว่ากังเหยียนยังดูไม่พอใจนัก
“นายน้อยสั่งให้เจ้าคุกเข่า ไม่ใช่ให้ลงไปนอนกับพื้น”
ชายร่างยักษ์ยกตัวซูชิงขึ้น จากนั้นซัดพลังใส่ข้อพับของซูชิง ซูชิงไม่อาจทรงตัวยืนอยู่ได้จึงล้มลงคุกเข่ากับพื้น
“ซูเฉิน!” ซูชิงจ้องซูเฉินด้วยความแค้น
ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากบอกเจ้า การเดินทางไปเทือกเขาสีเลือดในครั้งนี้…… ข้ายังไม่ได้สายเลือดค้างคาวเมฆมาไว้ในครอบครอง”
ใจซูชิงสั่นระรัว กระทั่งสีหน้าโกรธาเมื่อครู่ก็พลันจางหายไป
หรือว่า……
ซูเฉินว่าต่อ “ฉะนั้นหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ข้าจะไปที่เทือกเขานั่นอีกเป็นครั้งที่สาม”
ซูชิงสูดหายใจอากาศเย็นเยียบเข้าปอด ลืมเลือนความโกรธไปจนสิ้น
เขาเข้าใจสิ่งที่ซูเฉินต้องการสื่อ ‘หากข้าต้องการ ก็สามารถเอาชนะเจ้าได้อีก…… เอาชนะแบบที่ให้เจ้าต้องนอนยอดน้ำข้าวต้มไปอีกหลายวัน’
ทันใดนั้นเอง ความโกรธทั้งหมดพลันหายไป หลงเหลือเพียงความหวาดกลัว
ทว่าเคราะห์ดีที่น้ำเสียงซูเฉินเปลี่ยนไป “สำนึกเอาไว้เถิดว่าเจ้าโชคดี ตอนนี้ข้ามีเรื่องให้ต้องสะสาง ดังนั้นจึงไม่ได้อยากไปนัก ให้เจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าหนึ่งครั้งก็พอแล้ว แต่หากเจ้ายังไม่สำนึกตน…… เรื่องที่ข้าต้องไปจัดการนั่นก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอันใดนัก”
ซูชิงกลัวมากจนไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมา
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)