ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 69

บทที่ 69 เหยื่อล่อ (ส่วนที่ 5)

วันต่อมา หลังจากคืนเครื่องมือต้นกำเนิดให้เยี่ยเม่ยแล้ว ซูเฉินก็เริ่มกลับไปฝึกตามยุทธวิธีสองด้าน ช่วงกลางวันไปเรียนอักษรและวัตถุโบราณที่ศาลาหยกพิสุทธิ์กับถังเจิ้น ช่วงกลางคืนก็กลับบ้านฝึกทักษะต้นกำเนิดของตนเอง ยามว่างก็จะคอยบอกให้กังเหยียนปล่อยเจ้าแมลงกินเหล็กออกไปกินเหล็กชนิดอื่นข้างนอกบ้าง

ไม่นานซูเฉินก็ค้นพบว่าเจ้าแมลงกินเหล็กนั้นสามารถกินเหล็กได้เกือบทุกชนิด ทว่าไม่ใช่ทุกชนิดที่จะสามารถถูกสกัดออกมาเป็นแก่นแร่ได้

ซูเฉินทำการทดลองแร่เหล็กแตกต่างกันทั้งหมด 18 ชนิด สุดท้ายมีแค่ 3 ชนิดที่สามารถถูกสกัดออกมาจนกลายเป็นแก่นแร่ได้ ทว่ามูลค่าไม่เท่ากับแร่ดาราเงิน ค่าความผันแปรก็ต่างกัน

หรือก็คือ เจ้าแมลงกินเหล็กตัวนี้ก็คล้ายกับการลงทุนระยะยาว ถึงจะสามารถกินแร่เหล็กได้จำกัด และไม่สามารถผลิตแก่นแร่ได้มากนัก ทว่าก็ดีกว่ามือเปล่า

ในระหว่างช่วงนี้คฤหาสน์ตระกูลซูเต็มไปด้วยความสงบสุขที่หาได้ยากนัก ไม่มีผู้ใดที่ตามมารังควานเขาเลยแม้แต่คนเดียว

เห็นได้ชัดจากร่างกายของหมิงชู ตั้งแต่ที่ซูเฉินสำแดงอำนาจตนไปเมื่อครานั้น ก็ไม่มีใครกล้าตีหมิงชูอีก ประโยคที่นายน้อยสี่ตระกูลซูได้กล่าวไว้ “ข้ายังไม่ได้สายเลือดค้างคาวเมฆมาไว้ในครอบครอง เช่นนั้นแล้วข้าอาจต้องเดินทางเป็นครั้งที่สาม” ได้แพร่สะพัดไปทั่วคฤหาสน์ตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว

ไม่มีผู้ใดอยากเป็นสาเหตุให้ซูเฉินต้องเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือดเป็นครั้งที่สามอีก

“คฤหาสน์ซูอันแสนใหญ่โตแห่งนี้ มีศิษย์นับร้อย กลับถูกคนตาบอดคนเดียวทำให้สั่นคลอนได้ ไร้ความสามารถจริง”

ซูเค่อจี่ที่นั่งอยู่บนที่นั่งของตนส่ายหน้าพลางถอนหายใจ

ผู้อาวุโสถงที่นั่งอยู่ด้านข้างผู้ไม่กลัวความหนาวเย็นยกพัดขึ้นขยับไปมาก่อนถอนหายใจเช่นกัน “ไม่แปลก ผู้นำตระกูลก่อตั้งตระกูลซูขึ้นมาด้วยกำลังตัวคนเดียว ทั้งยังเพิ่งก่อตั้งตระกูลได้ไม่นานนัก ประวัติศาสตร์ยังขาดสิ่งให้ความมั่นคง”

“ถูกต้อง ตระกูลของเราขาดความมั่นคงจริง ๆ” ซูเค่อจี่เอ่ยขึ้นอย่างสิ้นหวัง “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป โอกาสในการเข้าต่อสู้เพื่อเข้าสู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นในฤดูร้อนปีหน้าของเราก็คงมืดมัวนัก”

ในเรื่องของพละกำลัง ซูฉางเช่อที่มีพลังอยู่ในด่านทะลวงลมปราณนับว่าเป็นหนึ่งในหมู่ตระกูลใหญ่ทั้งสี่ ทว่าในเรื่องของประวัติศาสตร์ตระกูลนั้น ตระกูลซูยังคงอ่อนแอกว่าตระกูลอื่นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตระกูลซูดูราวกับเป็นตระกูลเศรษฐีใหม่ที่ไม่อาจเทียบข้างกับอีกสามตระกูลได้เลย ถึงซูฉางเช่อจะพยายามบริหารจัดการตระกูลอย่างดี หากแต่เรื่องบางเรื่องไม่อาจสำเร็จในข้ามคืน อย่างเช่น ตระกูลซูขาดทรัพยากรในการฝึกตนให้กับลูกหลานรุ่นที่สาม เดิมทีซูเฉินนับเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง ทว่าตอนนี้นัยน์ตาของเขามองไม่เห็นแล้ว หากแต่อีกฝ่ายยังไม่ต้องการที่จะปล่อยมือจากทรัพยากรสำคัญอันมีอยู่เพียงหยิบมือที่ตระกูลมีกำลังมอบให้อีก ซ้ำร้าย ถึงเด็กหนุ่มจะตาบอด แต่ก็ยังไม่มีผู้ใดที่สามารถเอาชนะเขาได้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คนส่วนมากรู้สึกสิ้นหวังยิ่ง

ผู้อาวุโสถงกล่าวขึ้น “ตระกูลหลินได้สานสัมพันธ์กับตระกูลกู่ในเมืองหลงซีแล้ว ตอนนี้กู่ชิงลั่วของตระกูลกู่ได้เดินทางมายังสวนสัตว์อสูรของตระกูลหลินบ่อยครั้ง ถึงเราจะไม่รู้ว่านางมาเพื่อเหตุอันใด หากแต่คุณหนูตระกูลกู่รั้งอยู่ที่ตระกูลหลินเป็นเวลานานเช่นนี้ ทั้งสองตระกูลต้องร่วมมือกันในเรื่องบางอย่างกันเป็นแน่ แล้วยังเรื่องที่ศิษย์ฝีมือโดดเด่นในตระกูลหลินหายไปเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีนั่นอีก ทางด้านตระกูลเหอและตระกูลลี่ก็ไม่ควรมองข้าม สองปีที่ผ่านมาเปลี่ยนแปลงไปมาก การเคลื่อนไหวของตระกูลเหอนั้นลึกลับ บอกได้ยากว่ากำลังทำอันใดอยู่ ส่วนตระกูลลี่…… ได้ยินจากคำบอกเล่าว่าลี่ชิงอวิ๋นกำลังจะกลับมา”

ข่าวร้ายหลากหลายเรื่องยิ่งทำให้ซูเค่อจี่อารมณ์แย่ลง เขารำพันออกมา “ตระกูลอื่นอีกสามตระกูลไม่ต้องการถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ต่างพยายามเต็มกำลังเพื่อที่จะได้อันดับที่สูงส่งในการประลองก่อนเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น มีเพียงตระกูลซูที่ต่อสู้แย่งชิงอันดับหนึ่งภายในตระกูล ทั้งยังปล่อยให้คนตาบอดขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุดได้อีก เรื่องเช่นนี้ช่าง……”

ผู้อาวุโสถงเอ่ยขึ้นอย่างพิเคราะห์ “ดังนั้นถึงพละกำลังของซูชิงจะเพิ่มขึ้นเพราะการดื่มยาทั้งหลายและสามารถเอาชนะซูเฉินได้ ก็อาจยังไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของอีกสามตระกูลได้”

ซูเค่อจี่มีสีหน้าไม่พอใจ “ท่านกำลังกล่าวว่าตระกูลซูของข้าจะไม่อาจคว้าชัยในการประลองของสถาบันมังกรซ่อนเร้นงั้นหรือ?”

“ที่ข้าต้องการสื่อคือหากตระกูลซูมีวิธีหากแต่ไม่ยอมนำออกมาใช้ในเวลาเช่นนี้ พวกท่านอาจไม่จำเป็นต้องเข้าประลองเสียด้วยซ้ำ”

ใจซูเค่อจี่พลันสั่นสะท้าน ดูท่ามันจะนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้

มันพึมพำกับตนเอง “นี่ข้าจำต้อง……”

ผู้อาวุโสถงเหลือบมองซูเค่อจี่อย่างเงียบเชียบ

มันรู้ว่าซูเค่อจี่ต้องลงมืออย่างที่มันได้คาดการณ์ไว้

เป็นไปดังคาด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเค่อจี่ก็ลุกขึ้นพูด “ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ทั้งสี่ตระกูลต่างจับตามองตระกูลอื่น ๆ อย่างใกล้ชิดในการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นครั้งนี้ เราไม่อาจสนใจเพียงซูเฉิน ข้าจะไปลองถามท่านพ่อให้ลองใช้โอกาส ‘นั้น’ ดู ไม่ว่าจะอย่างไร…… ตระกูลซูก็ก็ไม่อาจยอมแพ้ไปเช่นนี้ได้!”

————————————————

หลังจากนั้นหลายวัน หลี่ชู่ก็นำข่าวสารกลับมาจากตำหนักเซียนเหิน

แก่นแร่ดาราเงินที่หลี่ชู่นำติดตัวไปด้วยเพื่อเป็นตัวอย่างสามารถดึงความสนใจจากร้านค้าสองสามร้านได้ หลี่ชู่ได้ลองพูดคุยกับหลาย ๆ ร้านดู ก่อนจะตัดสินใจเลือกมาสองร้าน

ร้านหนึ่งคือศาลาพันสมบัติ เป็นร้านที่มีชื่อเสียงในตำหนักเซียนเหิน รับซื้อและขายของโบราณในราคายุติธรรมและมีระบบระเบียบเป็นอย่างดี ข้อเสนอราคาจากทางร้านนั้นมูลค่าไม่เลว แก่นแร่ดาราเงินสามสิบจินแลกกับหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำสองแสนแปดหมื่นก้อน

ค่าผันแปรมาตรฐานของแก่นแร่ดาราเงินเท่ากับสี่สิบต่อหนึ่ง แร่ดาราเงินแปดสิบจินจะได้แก่นแร่ดาราเงินสองจิน ดังนั้นหากคิดราคาตามค่าผันแปรนี้อย่างเดียว แก่นแร่ดาราเงินหนึ่งจินจะมีค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำแปดพันก้อน ไม่รวมค่าคนงานและค่าเสียเวลาในการทำ ทว่ายังดีที่ระหว่างกระบวนการสกัดแก่นแร่ยังสามารถผลิตสินค้าพลอยได้ที่มีมูลค่าออกมาได้บ้าง ดังนั้นปกติแล้ว แก่นแร่ดาราเงินหนึ่งจินจะมีมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำหนึ่งหมื่นก้อน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)