ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 70

บทที่ 70 กองกำลังหุบเขาเงา

ในเมื่อมีคนต้องการฉวยโอกาสลวงเอาแก่นแร่ดาราเงินหนักสามสิบจินของเขาไป ซูเฉินจึงไม่ว่าอะไร ยอมเล่นตามน้ำไปกับพวกนั้น

ในวันที่สอง ซูเฉินและหลี่ชู่เดินทางไปยังตำหนักเซียนเหิน หลี่ชู่ไปพบกับหัวหน้าผู้จัดการร้านของร้านนามทองคำและคุยเรื่องการซื้อขายอีกครา ซูเฉินสั่งให้เขาขึ้นราคาเป็นหินพลังต้นกำเนิดสี่แสนห้าหมื่นก้อน หลังจากเจรจากันอยู่นานอีกฝ่ายจึงตอบตกลง

ในตอนนี้หลี่ชู่มั่นใจแล้วว่าคนพวกนี้ไม่อยากจ่ายเงิน มีแต่คนที่ไม่อยากจ่ายเงินเท่านั้นที่จะยอมตกลงราคาเร็วเช่นนี้

หลี่ชู่ทำข้อตกลงกับหัวหน้าผู้ดูแลร้านว่าจะทำการซื้อขายกันที่ร้านนามทองคำในอีกครึ่งเดือนให้หลัง

ทว่าในคืนนั้นเอง ซูเฉินก็ได้ขายแก่นแร่ดาราเงินให้กับศาลาพันสมบัติเป็นมูลค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำสองแสนห้าหมื่นก้อน ที่หายไปสามหมื่นก้อนนั่นคือเขาได้ซื้อสัญญาเป็นลูกค้าสำคัญของร้าน ใช้หินพลังต้นกำเนิดเพียงสามหมื่นก้อนทว่าสามารถใช้จ่ายในร้านได้เป็นมูลค่ามากถึงหินพลังต้นกำเนิดห้าหมื่นก้อน เป็นข้อตกลงที่ศาลาพันสมบัติได้ให้ไว้ก่อนหน้า ทว่าในตอนนี้ซูเฉินยังซื้อของมาเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น

ซูเฉินเดินทางไปพบเยี่ยเม่ยหลังจากที่กลับเมืองหลินเป่ยมาพร้อมกับหินพลังต้นกำเนิด และสินค้าต่าง ๆ

พอเยี่ยเม่ยมาถึง นางก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “เจ้าอยากพบข้ามีเรื่องอันใดอีก? อย่าบอกข้านะว่าเจ้าจะขอยืมเครื่องมือต้นกำเนิดเพื่อใช้ไปเทือกเขาสีเลือดอีกครั้งหนึ่ง?”

ซูเฉินหัวเราะ “ข้าไม่รีบเร่งจะเดินทางไปยังเทือกเขาสีเลือด ทว่าข้าจำเป็นต้องขอยืม เครื่องมือต้นกำเนิดจากเจ้าอีกครั้ง”

เยี่ยเม่ยเบิกตากว้าง

ซูเฉินโบกมือก่อนเอ่ยขึ้น “ใจเย็นเถิด หากข้าจ่ายค่าเช่าจะขอยืมได้หรือไม่?”

สีหน้าเยี่ยเม่ยดีขึ้นในทันที “จ่ายเท่าไหร่?”

ซูเฉินตอบ “ค่าเช่าวันละเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำจำนวนสองร้อยก้อน ข้าจะขอเช่าของทั้งหมดสามชิ้น ปืนนักล่าเพลิง มีดสั้นริ้วดำ และชุดเกราะพลอยม่วง ส่วนรองเท้าข้าไม่ต้องการแล้ว”

รองเท้าย่ำเมฆีนั้นเก่ามากแล้ว หลังจากซูเฉินใช้ไปสองครั้งก็ใกล้จะพังเต็มที ไม่อาจรู้ได้ว่าใช้อีกครั้งจะพังเลยหรือไม่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่ขอเช่ารองเท้าคู่นั้น ถึงปืนนักล่าเพลิงจะมีความแม่นยำต่ำมาก แต่หากคู่ต่อสู้ไม่ทันระวังตัวในจังหวะสำคัญก็ยังพอนำมาใช้ได้ ดังนั้นเขาจึงยังอยากเก็บไว้ใช้

หินพลังต้นกำเนิดวันละสองร้อยก้อนกับเครื่องมือต้นกำเนิดสามชิ้นนั้นเป็นราคาที่ไม่น่าเกลียดจนเกินไป สีหน้าเยี่ยเม่ยเป็นมิตรขึ้นอีกเล็กน้อย “เช่นนั้นก็คุยกันได้”

ซูเฉินเอ่ยต่อ “ข้ายังต้องขอยืมคนด้วย”

“ยืมคนหรือ?” เยี่ยเม่ยเบิกตากว้างอีกครั้งหนึ่ง “เหตุใดจึงต้องยืมคน? เจ้าช่วยยั้งมือหน่อยได้หรือไม่? นี่เจ้าคิดว่าพวกข้าเป็นคนที่สามารถเอาเปรียบได้ง่าย ๆ งั้นหรือ……”

“ข้าก็จะจ่ายเช่นกัน ข้าให้ราคามากกว่าปกติแปดเท่า” ซูเฉินตอบ

เยี่ยเม่ยหุบปากลงทันที

เป็นเพราะหินพลังต้นกำเนิดเป็นสิ่งที่ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดคนใดก็สามารถสร้างขึ้นได้ ซึ่งแต่ละคนก็จะมีราคาอ้างอิงไม่เท่ากัน

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณ 10 ดาราเหลือง สามารถผลิตหินพลังต้นกำเนิดได้วันละหนึ่งก้อน ดังนั้นราคาอ้างอิงของคนผู้นี้เท่ากับหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งก้อน หมายความว่าหากต้องการจ้างให้คนผู้นี้ทำงาน จำต้องจ่ายคนผู้นี้เป็นหินพลังต้นกำเนิดวันละหนึ่งก้อน มิเช่นนั้นพวกเขาก็คงกลั่นพลังเพื่อหากินเองอย่างไม่ใส่ใจ เหตุใดจะต้องเปลืองพลังให้ผู้อื่นด้วยเล่า?

เหล่านี้คือราคาอ้างอิง!

ราคาอ้างอิงดังกล่าวทำให้ว่าการตั้งราคาให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแต่ละคนนั้นทำได้อย่างง่ายดาย เพียงคำนวณราคาอ้างอิงของอีกฝ่ายแล้วนำมาบวกกับตัวคูณในใจ

หากผู้จ้างไม่บวกตัวคูณ ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็คงไม่เต็มใจยอมทำงานให้ ส่วนตัวคูณจะมากเพียงไหน ขึ้นอยู่กับมูลค่าของผู้ถูกจ้างและการต่อรองของทั้งสองฝ่าย

ที่น้อยที่สุดคือสองเท่า ส่วนที่มากที่สุดนั้นไม่มีข้อจำกัด

ซูเฉินเสนอตัวคูณมาถึงแปดเท่า เป็นตัวเลขที่ไม่สูงและไม่ต่ำเกินไป เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญ ถึงอารามนิรันดร์จะร่ำรวยและมีอำนาจมากมายจนอาจมองว่าหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งพันก้อนไม่สำคัญ ทว่าการค้าก็คือการค้า หากพวกเขาไม่คิดหาเงินก้อนเล็กอย่างรอบคอบก็ไม่อาจทำเงินก้อนใหญ่ได้

ส่วนอีกเหตุผลนั่นก็คือพวกเขายังต้องการสานสัมพันธ์กับซูเฉินด้วย

ดังนั้นยามเมื่อซูเฉินเอ่ยปาก น้ำเสียงของเยี่ยเม่ยก็เปลี่ยนไปเช่นกัน

“เจ้าต้องการยืมคนแบบไหน?”

“ข้าต้องการผู้ที่มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตอย่างน้อยสองคน ด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสูงสักสามคนมาช่วยเหลือ”

“คู่ต่อสู้ของเจ้าคือใคร? จุดแข็งของมันคืออะไร?”

“คือร้านนามทองคำ ส่วนเรื่องความแข็งแกร่งของพวกนั้นข้าไม่มั่นใจ”

“เช่นนั้นเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตสองคนและด่านก่อเกิดลมปราณขั้นสูงสามคนจะสามารถจัดการได้?”

“ข้าไม่รู้ แต่ข้าจะขอผู้ที่มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณ ด่านสู่พิสดาร หรือด่านผลาญจิตวิญญาณมาก็คงไม่ได้ใช่ไหมเล่า?” (1)

“แล้วเหตุใดจึงต้องต่อสู้กับพวกเขา?”

“ข้ามีของที่พวกมันต้องการได้ไปโดยไม่จ่ายเงิน”

“แล้วเจ้าไม่ขายไม่ได้หรือ?”

“ข้าไม่อยากพลาดโอกาสอันดีเช่นนี้”

เยี่ยเม่ยหายใจเข้าลึก

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางจึงเอ่ยขึ้น “ข้าจะกลับไปคุยกับพวกเขา”

ซูเฉินทำท่า ‘เชิญทำตามต้องการ’ ส่งเยี่ยเม่ย

ครั้งนี้เยี่ยเม่ยหายไปถึงสามวัน

สามวันต่อมา ทันทีที่เห็นหน้าซูเฉิน นางก็เอ่ยขึ้น “เจ้าของร้านแห่งนี้คือลี่หมิงถัง”

“ลี่หมิงถัง?”

“ผู้บัญชาการกองกำลังหุบเขาเงา”

ซูเฉินนั่งลงทันที “เป็นเขาเองหรือนี่!”

ตำหนักเซียนเหินนั้นมีสถานที่นามว่าหุบเขาเงาอยู่ เป็นเขาที่มีต้นไม้รกทึบ ด้านหนึ่งเชื่อมกับป่าสนดำอีกด้านเชื่อมกับเทือกเขาสีเลือด

ที่แห่งนั้นมีกองโจรกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ พวกมันรู้จักกันในนามกองกำลังหุบเขาเงา มีคนราวสามร้อยคน หัวหน้ากองโจรก็คือลี่หมิงถังผู้นี้

แน่นอนว่าเขาเป็นผู้ที่ขนานนามตนเองว่า “ผู้บัญชาการ” การที่ตั้งตนเป็นผู้บัญชาการกองทหารสมัครเล่นที่มีเพียงสามร้อยกว่าคนเช่นนี้น่าขันนัก ทว่าในหมู่กองโจรแล้ว เรื่องเช่นนี้นับว่าปกติ คนพวกนี้ไม่สนใจสิ่งใด เพียงต้องการทำให้ผู้อื่นหวาดกลัว หากพวกไม่รู้สถานการณ์ได้ยินเขา พวกเขาคงอกสั่นขวัญแขวนเมื่อได้ยินคำว่า “ผู้บัญชาการ” แล้วก็คงจะยกข้าวหรือเงินให้โดยง่ายไม่กล้าปฏิเสธ

กองกำลังหุบเขาเงามีผู้นำสี่คน ผู้นำใหญ่คือลี่หมิงถัง ผู้นำลำดับสองคือหลิวเยวี่ย ผู้นำลำดับสามคือหลิวจื้อผู้เป็นมันสมองของกองกำลังหุบเขาเงา ผู้นำลำดับสี่คือลี่หมิงเซวียน แฝดของลี่หมิงถัง

ลี่หมิงถังมีขั้นพลังอยู่ด่านทะลวงลมปราณเมื่อกลางปี ส่วนผู้นำอีกสามคน มีสองคนอยู่ขั้นกลางของด่านกลั่นโลหิต คนหนึ่งอยู่ขั้นสูงของด่านก่อเกิดลมปราณ ทั้งหมดไม่ใช่คนอ่อนแอ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวลือว่าพวกเขามีเส้นสายกับตระกูลสำคัญในตำหนักเซียนเหินด้วย

นี่เป็นเหตุผลที่กองกำลังหุบเขาเงานี้สามารถอยู่อย่างอิสระไม่ถูกจับกุม

ร้านนามทองคำแห่งนี้เป็นสถานที่ส่องหาเหยื่อให้กองกำลังหุบเขาเงา และในครั้งนี้เหยื่อของมันคือซูเฉิน

“หากข้าส่งคนที่เจ้าต้องการยืมตัวไป พวกนั้นอาจจะถูกส่งไปตายอยู่ที่กองโจรของลี่หมิงถังแทน” เยี่ยเม่ยเอ่ยกับซูเฉินอย่างดูถูก

ซูเฉินกางแขนออก “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายจะแข็งแกร่งเช่นนี้?”

ด่านทะลวงลมปราณนับเป็นขั้นพลังด่านสามจากเจ็ดของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด นับได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดขั้นกลาง

“หยุดกล่าวอันใดไร้สาระเถอะ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ที่เจ้าบอกจะยืมคนเพราะต้องการให้พวกข้าสืบข่าวให้ใช่หรือไม่?” เยี่ยเม่ยกระแอม เจ้านี่ต้องการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างนางในการสืบข่าวเพียงเท่านั้น ทางองค์กรใช้ทรัพยากรและความพยายามไปมากมายในการสืบข่าวจากร้านนามทองคำแห่งนี้

ซูเฉินทำสีหน้าประหลาดใจ “หืม? ช่วงนี้สติปัญญาเจ้าพัฒนาขึ้นนะ”

เยี่ยเม่ยกระโดดเตะซูเฉินทันที

ซูเฉินกระโดดหลบไปไกล “เจ้าไม่ละอายใจหรือที่กลั่นแกล้งคนพิการเช่นนี้?”

“ปฏิกิริยาของเจ้าราวกับตาเจ้าไม่ได้บอด” เยี่ยเม่ยซัดพลังออกมา ลำแสงเส้นหนึ่งพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน

ซูเฉินหลับตาลงก่อนจะถอยไปสี่ก้าว แต่ละย่างก้าวร่างกายเขาสั่นไหวน่าแปลกตา จากนั้นก็หลบการโจมตีจากเยี่ยเม่ยอีกครั้ง

เยี่ยเม่ยประหลาดใจยิ่ง “เป็นวิชาการเคลื่อนฝีเท้าที่งดงามนัก ข้าไม่เคยได้ยินว่าตระกูลซูมีวิชาเท้าเช่นนี้”

เด็กหนุ่มหาได้โต้ตอบกลับ ก่อนที่ซูเฉินจะยืดแขนซ้ายออกไปตั้งท่าใช้หมัดพยัคฆ์เพลิง จากนั้นส่งหมัดใส่เยี่ยเม่ย ในขณะที่มือขวาโจมตีด้วยดาบอสุนีบาต เสียงสายฟ้าฟาดกดดันให้เยี่ยเม่ยต้องล่าถอย น่าประหลาดที่ซูเฉินทำการโจมตีทั้งหมดนี้ทั้งที่เปลือกตายังปิดอยู่ ถึงตอนนี้จะมองเห็นแล้ว ทว่าซูเฉินก็ยังไม่ทิ้งประสบการณ์การต่อสู้ที่ตนได้มายามตาบอด

หลังจากหลบฝ่ามือและท่ามีดเมื่อครู่มาได้ เยี่ยเม่ยก็ตะโกนขึ้น “เจ้าทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว”

“หึ ข้านึกว่าเจ้ารู้ตั้งนานแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ

ซูเฉินขยับตัวไปข้างหน้า ฝ่ามือฟาดออกไปราวกับมีดเล่มหนึ่ง ในเวลาเดียวกันนั้นเองก็ส่งเข่าลอยขึ้นไปในอากาศ ตั้งท่าวิชากายาเวหาเวียนแสดงความแข็งแกร่งออกมาอย่างมิหยุดหย่อน เมื่อบวกกับความสามารถในการได้ยินเสียงลมของเขาแล้ว ดังนั้นซูเฉินและเยี่ยเม่ยจึงได้แลกวิชากันหลายกระบวนท่า

ถึงพริบตาต่อมาจะมีแรงกดดันจากพลังต้นกำเนิดในร่างเยี่ยเม่ยที่ระเบิดออกมาจนซูเฉินต้องถอยก็ตาม ร่างของเด็กหนุ่มเซไปครู่หนึ่ง ทว่าก็ดูไม่ได้รับบาดเจ็บ เห็นดังนั้น เยี่ยเม่ยก็อดรู้สึกทึ่งใจไม่ได้

“เจ้าฝึกวิชากายาเวหาเวียนจนสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วหรือ?”

ซูเฉินเพิ่งได้วิชากายาเวหาเวียนไปเพียงสี่เดือน สามารถฝึกฝนได้จนถึงจุดนี้นับว่าเป็นความเร็วเหนือมนุษย์

ที่เป็นเช่นนี้ได้เพราะเขาฝึกฝนอย่างหนักทุกวันไม่หยุด

“คุยเล่นกันน้อยหน่อย ในเมื่อเจ้ารู้ตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว เช่นนั้นให้ข้ายืมคนที่มีฝีมือทัดเทียมกับอีกฝ่ายเป็นอย่างไร?”

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพวกข้ามีกำลังทัดเทียมกับกองกำลังหุบเขาเงา? พวกข้าอาจไม่มีผู้ที่มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณเลยก็เป็นได้”

“คงไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเหล่านี้หลอกข้ากระมัง? หากเจ้าสามารถมอบเครื่องมือต้นกำเนิดให้ข้าได้ถึงสี่ชิ้น แล้วยังเรียกมันว่าขยะจากในคลังเก็บของอีกละก็ เจ้ายังกล้าพูดว่าองค์กรของเจ้าไร้ผู้ที่มีขั้นพลังอยู่ด่านทะลวงลมปราณงั้นหรือ? หากต้องการโน้มน้าวข้า พวกเจ้าจำต้องมีความจริงใจ เช่นนั้นทั้งสองฝ่ายจึงสามารถร่วมมือกันต่อได้”

“ร่วมมือ?” เยี่ยเม่ยมองซูเฉิน “เจ้าอยากร่วมมือกับพวกข้างั้นหรือ?”

“ผิดแล้ว พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องการร่วมมือกับข้า” ซูเฉินเอ่ยขึ้นเสียงสบาย “จะมีใครที่เหมาะสมกับตำแหน่งของหลินเซี่ยไปมากกว่าข้าอีกเล่า?”

เชิงอรรถ

หลังจากสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้แล้ว ขั้นพลังของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดมีทั้งหมด 7 ด่าน แต่ละด่านมี 9 ขั้น (คล้ายกับนิยายฝึกตนทั่วไป) โดยแบ่งตามพลังต้นกำเนิดที่สะสมอยู่ในร่าง ด่านแรกคือด่านก่อเกิดลมปราณ ตามมาด้วยด่านกลั่นโลหิต ด่านทะลวงลมปราณ ด่านสู่พิสดาร และด่านผลาญจิตวิญญาณ ตามลำดับ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)