ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) นิยาย บท 80

บทที่ 80 ประมือกับผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิต (2)

ด้วยความที่เป็นปรมาจารย์ภาพมายา รูปแบบการต่อสู้ของหลีจึงไม่รุนแรงนัก

เป็นเพราะการโจมตีที่รุนแรงมากเกินไปจะทำให้ศัตรูตื่นจากภาพลวงที่สร้างไว้ได้

ด้วยเหตุนี้ วิชาของหลีจึงเน้นการกำบังซ่อนเร้น ถึงจะโจมตีโดยตัวคู่ต่อสู้ แต่ก็จะปิดบังไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เพื่อจะได้ไม่อาจตื่นจากภาพมายาได้

ทว่าวิชาที่รุนแรงมักจะทำให้อีกฝ่ายเจ็บปวดมาก

ดังนั้นหลีจึงใช้ทักษะต้นกำเนิดอย่าง วิชาลดความเจ็บปวด

เป็นวิชาที่สามารถใช้ได้ทั้งกับฝ่ายศัตรูและผู้ใช้เอง ผู้ที่ถูกวิชาจะมีการทนทานต่อความเจ็บปวดสูงขึ้นมากชั่วระยะเวลาหนึ่ง หากเป็นบาดแผลธรรมดาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก

ด้วยวิชาลดความเจ็บปวดนี้ หลีจึงสามารถดึงลูกเล่นที่ซ่อนไว้ออกมาใช้ได้อีก อย่างเช่นวิชามุสิกวิญญาณ

วิชามุสิกวิญญาณเป็นทักษะพลังต้นกำเนิดที่มีพิษร้ายนัก สามารถสร้างหนูวิญญาณขึ้นมานับไม่ถ้วนภายในเวลาอันรวดเร็วเพื่อนส่งไปโจมตีคู่ต่อสู้ เมื่อถูกกัด หนูพวกนั้นจะส่งพลังต้นกำเนิดพิษเข้าร่างศัตรูได้โดยตรง ทำให้เกิดบาดแผลร้ายแรงได้

จุดแข็งของวิชานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวหนู แต่เป็นตัวพิษที่ถูกปล่อยออกมา ดังนั้นหนูแต่ละตัวจึงอ่อนแอมาก แรงกัดไม่ทำให้เจ็บนัก ดังนั้นวิชาลดความเจ็บปวดของหลีจึงสามารถลบความเจ็บปวดยามถูกหนูโจมตีไปได้จนสิ้น

ดังนั้นหลีจึงมักใช้วิชาลดความเจ็บปวดกับวิชามุสิกวิญญาณคู่กัน ไม่เพียงเท่านั้น ยังเพิ่มวิชาปล่อยหมอกหนาออกมาด้วย

มุสิกวิญญาณเป็นทักษะพลังต้นกำเนิดที่ต้องควบคุมอย่างต่อเนื่อง หากศัตรูโต้กลับมา ผู้ใช้วิชาก็อาจได้รับบาดเจ็บได้ ดังนั้นหลีจึงใช้หมอกดำในการเร้นกาย ทำให้ศัตรูโจมตีเขาได้ยากยิ่งขึ้น

นี่คือการจู่โจมสามกระบวนท่าของหลี หากนับวิชากาฬโรคดำเหลืองอันแสนร้ายกาจและไม้เท้าอสรพิษไม้ดำเข้าไปด้วยจะนับเป็นการจู่โจมห้ากระบวนท่า หลีใช้กระบวนท่าเหล่านี้จนชำนาญ สามารถใช้มันโจมตีเพื่อรุก ถอย หรือป้องกันได้อย่างชินมือ

กระบวนท่าเหล่านี้เอาชีวิตผู้มีฝีมือมาแล้วหลากหลาย ทั้งผู้มีฝีมือหลายคนยังมีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังที่สูงกว่าหลีมากนัก

นับว่าหลีให้เกียรติซูเฉินอยู่บ้างที่ใช้กระบวนท่าเหล่านี้ต่อกรกับซูเฉินทั้งที่ฐานการบ่มเพาะพลังของซูเฉินต่ำกว่าของตนเสียด้วยซ้ำ

“เดิมทีพวกข้าอยากดึงเจ้ามาร่วมองค์กรด้วย แต่เจ้าดันเลือกเดินทางที่นำไปสู่ความตายของตนเอง ดังนั้นเราจึงอาจจะต้องลงมือกับเนินกลบวิญญาณเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้” น้ำเสียงของหลีลอยฝ่าความมืดมา

“หืม? พวกเจ้าจะไปหาสิ่งใดที่เนินกลบวิญญาณกัน?” ซูเฉินถาม

จู่ ๆ บนร่างก็บังเกิดแสงจ้าสว่างวาบขึ้นมา

คือชุดเกราะพลอยม่วงนั่นเอง

เกราะที่พลันปรากฏขึ้นส่งผลให้พวกหนูถูกเกราะสะท้อนกระเด็นออกไป

เมื่อไม่สามารถโจมตีเพื่อนำพิษเข้าสู่ร่างศัตรูได้อย่างต่อเนื่อง พลังต้นกำเนิดพิษจึงสามารถสร้างอาการบาดเจ็บได้เพียงเล็กน้อยก่อนจะถูกลบล้างไป

หลีไม่ตอบ เขาทำเพียงหัวเราะออกมา “เจ้าก็เตรียมตัวมาเช่นกันหรือ?”

หลีไม่แปลกใจ

ในเมื่อซูเฉินตระเตรียมวิธีรับมือกับวิชากาฬโรคดำเหลืองของเขาได้ หมายความว่าเด็กหนุ่มได้สืบข้อมูลของหลีมาก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางปล่อยให้เจ้าหนูพวกนี้รุมกัดเขาแน่ แม้จะวิชาของหลีจะทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยก็ตามที

ทว่า ชุดเกราะพลอยม่วงชิ้นนี้……

หลีหัวเราะขึ้นอย่างชั่วร้าย “ข้ารู้จุดอ่อนของชุดเกราะนี่”

พูดจบ หนูนับไม่ถ้วนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดก็กระโจนเข้าใส่หน้าอกซูเฉิน

เป็นเพราะชุดเกราะพลอยม่วงเป็นของมีตำหนิ จึงไม่สามารถปกป้องช่วงอกของผู้สวมใส่ได้

ในเมื่ออีกฝ่ายรู้จักวิชามุสิกวิญญาณ การลอบโจมตีในความมืดย่อมไม่ได้ผลอีกต่อไป เช่นนั้นก็โจมตีมันซึ่งหน้าเสียเลย!

หนูนับไม่ถ้วนกระโจนเข้าใส่ ปากพวกมันอ้ากว้างหวังจะกัดและฉีกกระชากเลือดเนื้อศัตรูตรงหน้า

มุมปากซูเฉินยกขึ้นเล็กน้อย ก่อเกิดเป็นรอยยิ้มจาง “ปัญหาคือ…… ข้าเองก็รู้ว่าเจ้ารู้จุดอ่อนของชุดเกราะนี่เช่นกัน”

ประโยคนี้ดูแล้วสามารถใช้เป็นประโยคที่พูดแล้วทำให้สับสนลิ้นพันกันได้ หากต้องการก็สามารถพูดกลับไปกลับมาให้เป็นที่น่าสับสน

ทว่าแท้จริงแล้วเป็นประโยคที่แฝงไปด้วยความหลักแหลมอยู่ไม่น้อย

ทันใดนั้น แสงสว่างจ้าก็พลันฉายวาบออกมาจากกลางอกของซูเฉิน

แสงสว่างตัดผ่านความมืด ตัดผ่านพลังต้นกำเนิดที่แทรกอยู่ในอากาศ ส่องสว่างใส่พวกหนูพิษทั้งหลาย

เหล่ามุสิกทั้งหลาย เมื่อเจอแสงจ้าก็พากันส่งเสียงร้องแหลมระงม ราวกับหิมะเจอแสงอาทิตย์ส่อง พวกมันพากันละลายก่อนจะสลายหายไปไม่เหลือร่องรอย

หนูนับร้อยร่างสลายหายไปในพริบตา ด้วยวิชานี้ต้องใช้พลังต้นกำเนิดใส่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อวิชาถูกทำให้ชะงักลงจึงส่งผลทำให้หลีได้รับบาดเจ็บหนัก

“อ๊าก!” พลังต้นกำเนิดที่ผลักกลับมาทำให้หลีต้องล่าถอย เขากุมหัวตนเองไว้แน่นก่อนตะโกนร้องขึ้น “ยันต์ตะวันโชติช่วง เป็นยันต์ตะวันโชติช่วง! ไอ้ระยำ เจ้าเตรียมตัวมานานแล้ว ถึงกับซื้อยันต์ตะวันโชติช่วงมาเพื่อใช้ต่อกรกับข้า!”

“ที่ข้าเตรียมมายังไม่หมดเท่านี้!” ซูเฉินเงื้อมีดขึ้น

มีดหมาป่ากลืนจันทร์ไม่สนอสรพิษดำที่พันรัดอยู่ มันซัดคมมีดเข้าใส่ความมืดตรงหน้าในทันที

“อ๊าก!”

เป็นน้ำเสียงแห่งความเจ็บปวดดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ท่ามกลางความมืด คมมีดพุ่งเข้าโจมตี หยาดเลือดสาดกระเซ็น

หลีกุมอกตนเองไว้ก่อนล่าถอยไป

บาดเจ็บ!

เขาได้รับบาดเจ็บจริง ๆ!

เขาคือผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตระดับสูงที่ต่อกรกับผู้ที่เพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณ ทว่ากลับถูกเจ้าบัดซบผู้นี้ทำให้บาดเจ็บได้!

หากมีดหมาป่ากลืนจันทร์ไม่ได้ถูกจองจำ หรืออีกฝ่ายโจมตีมาด้วยวิชามีดทรงพลังละก็ มีดนี่อาจจะเฉือนร่างเขาแยกเป็นสองส่วนแล้วก็เป็นได้

ทว่าริ้วความเจ็บปวดที่แล่นขึ้นมาส่งผลให้เขาต้องกัดฟันแน่น

เขาชี้มือมาไปทางตนเอง ก่อนจะใช้วิชาลดความเจ็บปวด จากนั้นจึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดบรรเทาลงบ้าง

หลังจากเร่งดื่มยาฟื้นพลังแล้ว หลีก็เอ่ยถามขึ้น “เจ้ารู้ตำแหน่งข้าได้อย่างไร?”

“น่าขันเสียจริง ใช้หมอกดำพรางการมองเห็นของคนตาบอด ท่านนี่ช่างไร้สมอง” ซูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

เด็กหนุ่มตาบอดมาถึงสามปี เรื่องอื่นเขาไม่กล้าโอ้อวดนัก ทว่าการได้ยินของเขามีประสิทธิภาพกว่าคนทั่วไปมาก การใช้เสียงลมบอกตำแหน่งนับเป็นทักษะที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด ฉะนั้นการจับตำแหน่งศัตรูที่ตัวใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

หลีคิดว่าตนจะสามารถใช้หมอกดำอำพรางตัวจากเขาได้ จะเรียกอย่างไรได้อีกนอกจากรนหาที่ตาย?

ได้ยินเช่นนี้ หลีก็ชะงักไปเล็กน้อย

เขาอ้าปาก ต้องการจะพูดบางอย่าง ทว่ากังเหยียนกับเจ้าแมลงกินเหล็กกลับพุ่งเข้ามาเสียก่อน ตัวเขาที่ได้รับบาดเจ็บนั้นไม่อาจคงภาพมายาที่ร่ายไว้เมื่อก่อนหน้านี้ไว้ได้ วิชาจึงถูกตัดขาด ทั้งคนทั้งเจ้าแมลงจึงได้สติกลับคืนมาในที่สุด

“ไสหัวออกไป!” หลีโบกมือครั้งหนึ่ง ใช้วิชาภาพมายาอีกสองวิชา ส่งผลให้ทั้งกังเหยียนและเจ้าแมลงกินเหล็กนิ่งอึ้งไปอีกครา

ทว่าวิชามายาของเขาไม่สามารถใช้ติดต่อกันหลายครั้งได้ เมื่อเย็นวานเขาใช้วิชามายาขั้นสูงติดต่อกัน ใช้พลังวิญญาณตนไปมาก ถึงจะฟื้นพลังได้เล็กน้อยหลังจากเวลาผ่านไป แต่ก็ยังไม่ฟื้นคืนจนถึงขั้นสุด เมื่อใช้วิชามายาอีกหลายครั้งเข้า ร่างกายจึงรู้สึกเหนื่อยล้าจนมึนงงไปไม่น้อย

“ต้องรีบจบการต่อสู้เสียแล้ว!” หลีคิด

ปรมาจารย์ภาพมายามักไม่รีบจบการต่อสู้ รูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช้การโจมตีรุนแรงนัก ดังนั้นจึงใช้เวลานานในการเอาชนะอีกฝ่าย

ทว่าตอนนี้ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญด้านการโจมตีรุนแรงกลับต้องสู้โดยใช้พละกำลังตนเพื่อรีบจบการต่อสู้ อาจกล่าวได้ว่าซูเฉินเป็นผู้บีบให้เขาต้องทำเช่นนี้

หลียกมือขึ้นโบกผ่านอากาศอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่ซูเฉินจะพลันรู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย หมอกสีดำค่อย ๆ จางหายไป ทว่าร่างหลีกลับแยกออกเป็นสี่ร่าง

ร่างทั้งสี่พุ่งเข้าโจมตีพร้อมกัน ซูเฉินไม่อาจมองออกว่าคนไหนคือตัวจริง

คือวิชาแยกร่างของหลีนั่นเอง ใช้วิชานี้แล้วสามารถสร้างร่างเสมือนของตนเองขึ้นมาอีกสามร่างได้

แท้จริงแล้ววิชานี้เป็นเพียงวิชาระดับกลาง ภาพมายาอย่างไรก็เป็นเพียงภาพมายา ไม่อาจโจมตีใส่ศัตรูจริง ๆ ได้ ดังนั้นศัตรูจะสามารถมองออกได้รวดเร็วนัก

ทว่าในเมื่อคู่ต่อสู้ของเขาตาบอด ต้องใช้หูเพื่ออ่านสถานการณ์ ดังนั้นวิชานี้จึงใช้ได้ผลอยู่บ้าง

ทันใดนั้น ร่างจริงหนึ่งร่างปลอมอีกสามก็ตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ตายเสียเถอะ!”

ทุกร่างต่างใช้ทักษะพลังต้นกำเนิดที่มีอำนาจทำลายล้างรุนแรงที่สุด กรงเล็บหมาป่าพิษ!

วิชานี้ใช้ได้เฉพาะกับการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น ไม่เพียงแต่การโจมตีจะสามารถแทรกพิษลงไปได้เท่านั้น ตัววิชาเองยังทรงอานุภาพและมีพลังโจมตีสูงมากเช่นกัน

ในตอนนั้นเอง ซูเฉินรีบคว้าของชิ้นหนึ่งมาจากเอว

เป็นม้วนคัมภีร์ใช้ได้เพียงครั้งเดียว ภายในบันทึกทักษะพลังต้นกำเนิดอันทรงพลังไว้

หลีตื่นตกใจ เมื่อเห็นก็รู้ในทันทีว่าคัมภีร์เช่นนี้ทรงพลังและต่อกรได้ยาก ทว่าในฉับพลันนั้น เขายังคิดว่าซูเฉินไม่อาจมองร่างจริงของเขาออก

ในตอนที่กำลังเข้าประชิดตัวนั่นเอง ซูเฉินก็เปิดม้วนคัมภีร์ออก

แสงสว่างวาบออกมาจากภายในม้วนคัมภีร์ กระสุนพลังต้นกำเนิดมากมายพลันปรากฏขึ้น ยิงเข้าใส่ร่างหลีอย่างจัง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)