ตอน บทที่ 9 ข้าเห็นแสงสว่าง จาก ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง
บทที่ 9 ข้าเห็นแสงสว่าง คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายกำลังภายใน ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) ที่เขียนโดย Internet เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย
บทที่ 9 ข้าเห็นแสงสว่าง
ภายใต้กลุ่มหมอกควันไอน้ำที่ลอยขึ้นมาจากแอ่งน้ำขนาดใหญ่
หยาดน้ำฤดูใบไม้ผลิในสระกระทบฝั่งกระเด็นเป็นละอองน้ำ
ภายในภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ข้างขอบสระ การกระโดดและการเคลื่อนไหวที่ถูกสะท้อนบนผิวน้ำใสดูพลิ้วไหวราวกับงูที่กำลังเต้นรำอยู่กลางอากาศ บิดเป็นท่าร่างแปลก ๆ เงาร่างที่ว่านี่ก็คือซูเฉิน
หากได้มองดูความเร็วของทักษะในการเคลื่อนไหวร่างกายของซูเฉินแล้ว ก็คงไม่มีผู้ใดคิดว่าเขาเป็นคนตาบอดอย่างแน่นอน สามารถกล่าวได้ว่าท่าร่างของเด็กชายนั้นดูปราดเปรียวเหมือนลิงและรวดเร็วดั่งกระต่าย
ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง กู่ชิงลั่วผู้ยืนอยู่ด้านข้าง จู่ ๆ นางก็ลงมือขัดขวาง ทำให้ซูเฉินผู้ที่เพิ่งจะแสดงทักษะออกมาได้ยอดเยี่ยมเมื่อครู่ต้องเผยตัวออกมา
อันที่จริงกู่ชิงลั่วไม่ได้ทำอะไรมากมายเลย นางเพียงแค่ขว้างก้อนหินเล็ก ๆ สองสามก้อนไปที่พื้นเบื้องหน้าของซูเฉิน เสียงของหินที่กระทบกับพื้นดังขึ้นชัดเจน
เพียงเท่านี้ มันก็สายเกินไปแล้วที่ซูเฉินจะหลบเลี่ยงพวกมันได้ทัน
เท้าของซูเฉินที่เหยียบลงบนก้อนหินพลิก ส่งผลให้ร่างของเขาเสียสมดุลเอนออกไปทางด้านข้าง และตกลงไปในสระน้ำพร้อมกับคลื่นน้ำขนาดใหญ่ที่สาดกระจายตามมา
แม้ว่าการตกลงไปในน้ำจะดีกว่าการกระแทกลงบนพื้นตรง ๆ แต่ท่าตกน้ำที่เอาหัวจุ่มลงไปก่อนของซูเฉินก็ไม่ได้น่าดูมากนัก สิ่งสำคัญคือยามนี้เข้าช่วงฤดูหนาวแล้ว อุณหภูมิของน้ำเย็นจนแทบจะจับตัวเป็นน้ำแข็ง แม้ซูเฉินจะมีร่างกายที่แข็งแรง แต่เด็กชายก็ยังตัวสั่นจากความเย็นและรีบปีนขึ้นจากสระอย่างว่องไว
กู่ชิงลั่วถอนหายใจ
“เจ้ามันอัจฉริยะ ซูเฉิน” นางขว้างลูกปัดสีแดงไปที่ซูเฉิน ลูกปัดหินนั่นคือมุกหยางบริสุทธิ์ มันสามารถทำให้เสื้อผ้าแห้งได้อย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะเป็นของที่ดูไร้ประโยชน์ แต่ราคาของมันก็ถือว่าไม่น้อยเลย มันเป็นของเล่นที่กู่ชิงลั่วได้มาเพราะนางมาจากตระกูลใหญ่ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอมัน แม้หาไปทั่วทั้งตระกูลซูก็ตาม
กู่ชิงลั่วกล่าวว่า
“สามารถจับจุดสำคัญและเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในก้าวย่างหมอกอสรพิษได้อย่างรวดเร็ว ทั้งการรับรู้และพรสวรรค์ของเจ้าช่างโดดเด่นจริง ๆ
“อย่างไรก็ตามตัวเจ้านั้นไม่ได้สืบทอดสายเลือด อีกทั้งยังมองไม่เห็นทาง ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเคลื่อนไหวได้เพียงเส้นทางที่ตายตัวเท่านั้น หากมีสิ่งกีดขวางหรืออุปสรรคที่ไม่ทันตั้งตัวปรากฏขึ้นขวางทางเบื้องหน้าของเจ้า ในยามใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษด้วยความเร็วสูงสุด ในทางกลับกันมันก็จะเป็นอันตรายต่อตัวเจ้าเองด้วยเช่นกัน”
“ฝ่ายตรงข้ามไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลย เจ้าก็ฆ่าตัวตายไปเองครึ่งหนึ่ง…เสียแล้ว บางทีข้าคงไม่ควรสอนสิ่งนี้ให้กับเจ้า มันไม่เหมาะกับเจ้าเลย”
เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว กู่ชิงลั่วก็เริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา
“ข้าคิดว่าก้าวย่างหมอกอสรพิษนั้นก็ไม่เลวนัก” ซูเฉินกลิ้งมุกหยางบริสุทธิ์ไปทั่วร่างของตน หมอกสีขาวลอกออกมาจากร่างกาย เพียงครู่เดียวเสื้อผ้าที่เคยเปียกโชกก็แห้งสนิท
จากนั้นซูเฉินก็พูดขึ้นว่า “ที่แห่งนี้เป็นภูเขา ดังนั้นพื้นที่โดยรอบจึงขรุขระและมีเส้นทางซับซ้อน นอกจากนี้ยังกลุ่มเมฆหมอกลอยอยู่เต็มในอากาศละอองน้ำบนพื้นก็จับตัวแข็งจนลื่น ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะทำพลาดในที่แบบนี้ หากอยู่บนลานประลอง ความกังวลเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปนึกถึงเลย “
“แม้ว่าข้าจะไม่สามารถแสดงพลังของก้าวย่างหมอกอสรพิษออกมาได้ทั้งหมด แต่การเคลื่อนไหวที่แปลกประหลาดคาดเดาไม่ได้ของมันมีเสน่ห์มากเช่นกัน นอกจากนี้คู่ต่อสู้ของข้าคือคนในตระกูลซู พวกเขาไม่มีทางที่จะคุ้นเคยกับก้าวย่างหมอกอสรพิษ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอ่านการเคลื่อนไหวของข้าได้”
“ยิ่งกว่านั้น พวกเขาไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญที่จะสามารถขัดขวางทักษะนี้ได้ ด้วยความพยายามเพียงเล็กน้อย ข้าก็สามารถได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว”
ดังที่กล่าว การเคลื่อนไหวก้าวย่างหมอกอสรพิษของ ซูเฉินเหมือนเครื่องจักรที่ถูกวางโปรแกรมไว้ เด็กชายสามารถเคลื่อนไปในเส้นทางที่ตายตัวเท่านั้น ไม่สามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ได้ อย่างไรก็ตามคู่ต่อสู้ของเขาเองก็ไม่ได้คุ้นเคยกับทักษะก้าวย่างหมอกอสรพิษนี้ ดังนั้นในความเห็นของ ซูเฉิน ยังมีโอกาสให้เขาใช้มันในการต่อสู้จริง ๆ
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่โอกาสชนะของเจ้าก็ยังไม่เกิน 3 ใน 10 อยู่ดี” กู่ชิงลั่วถอนหายใจ
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว มันไม่เกิน 2 ใน 10 ต่างหาก” ซูเฉินตอบกลับ “เมื่อวานนี้ ซูชิงทะลวงผ่านขั้นฝึกกายระดับ 7 เรียบร้อยแล้ว”
ซูเฉินทะลวงเข้าสู่ขั้นฝึกกายระดับ 8 ได้เมื่อสองเดือนที่แล้ว เดิมทีพลังเขาสูงกว่าซูชิง 2 ขั้น หากรวมกับความเร็วของทักษะก้าวย่างหมอกอสรพิษ ในยามนั้นโอกาสแห่งชัยชนะของตนคือ 3 ใน 10
น่าเสียดายที่เมื่อวานนี้ซูชิงทะลวงผ่านเข้าสู่ขั้นฝึกกายระดับ 7 ไปเสียแล้ว
แม้ว่าซูชิงจะก้าวหน้าช้ากว่าซูเฉิน แต่ในที่สุดมันก็ยังมีช่องว่างระหว่างพวกเขาอยู่ดี
เมื่อความแตกต่างด้านระดับลดลง นี่จึงทำให้ความได้เปรียบของซูเฉินกับโอกาสที่เขาจะได้รับชัยชนะจากซูชิงนั้นลดลงด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของซูเฉิน กู่ชิงลั่วก็รู้สึกตะลึง “แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่เจ้าก็ยังคงจะยืนกรานที่จะเข้าร่วมการแข่งขันอีกงั้นหรือ?”
ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “แม้ว่าข้าจะไม่ได้รู้ทักษะก้าวย่างหมอกอสรพิษ ข้าก็จะยังคงเข้าร่วม”
“แต่โอกาสในชัยชนะของเจ้า มันน้อยมาก… “
“แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องยอมแพ้ไม่ใช่หรือ?”
ประโยคนี้ทำให้กู่ชิงลั่วพูดไม่ออกอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “พูดได้ดี นั่นไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องไปยอมแพ้เลย แม้ว่าเจ้าจะแพ้ เจ้าก็ต้องยอมรับมันอย่างกล้าหาญ สำหรับความปรารถนาของเจ้า คุณหนูคนนี้จะมอบของขวัญให้เจ้าอีกสักชิ้น”
ทันใดนั้นกู่ชิงลั่วก็กัดนิ้วของนาง และบีบเอาเลือดหยดเล็ก ๆ เท่าลูกปัดออกมาจากปลายนิ้ว
โลหิตหยดเท่าลูกปัดหยดนี้เปล่งประกายระยิบระยับและโปร่งใส กลิ้งเหมือนไข่มุกอยู่ที่ปลายนิ้วของนาง
หลังจากที่กู่ชิงลั่วบีบโลหิตหยดนี้ออกมาผิวของนางก็ดูซีดจางลงเล็กน้อย จากนั้นนางก็กดปลายนิ้วลงที่ช่องว่างระหว่างคิ้วของซูเฉินและพูดขึ้น “ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น ใช้ใจของเจ้าสัมผัสมัน ชักนำพลังนี้ไปให้ทั่วร่างกายของเจ้า”
“นี่มัน … ” ซูเฉินตกตะลึง เด็กชายสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอ่อนโยนจากระหว่างคิ้วของเขา
“นี่คือแก่นโลหิตของข้า มันมีความลับที่แท้จริง.. ความลับที่แท้จริงของสายเลือดอสรพิษทะยาน ข้าไม่สามารถยกสายเลือดให้แก่เจ้าได้ แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถทำให้เจ้าสัมผัสได้ชั่วครู่ว่าอสรพิษที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร”
ใจของซูเฉินสั่นสะท้าน
นี่คือแก่นโลหิต
สิ่งที่มีค่าที่สุดของตระกูลคือสายเลือด มันเป็นแหล่งที่มาของพลังและความแข็งแกร่ง ทว่ากู่ชิงลั่วกลับมอบหนึ่งหยดโลหิตนั้นให้กับเขา เพียงเพื่อที่เขาจะได้เข้าใจถึงก้าวย่างหมอกอสรพิษได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
แล้วซูเฉินจะไม่ซาบซึ้งได้อย่างไร?
“ชิงลั่ว เจ้า … ”
ซูเฉินรู้สึกราวกับว่าอสรพิษทะยานที่แท้จริงได้รวมเป็นหนึ่งกับร่างกายและให้พลังกับเขา แต่ไม่ว่าซูเฉินจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน แต่เด็กชายก็ไม่สามารถก้าวหน้าไปได้อีก
นี่คือขีดจำกัดของการฝึกโดยไม่มีสายเลือดงั้นหรือ?
ซูเฉินทำได้เข้าใจแนวคิดของทักษะเท่านั้น ไม่ใช่วิญญาณของมัน ภาพร่างที่เขาเห็นคือจินตนาการเขาเอง มันไม่สามารถรับรู้ถึงวิญญาณได้เลย
แม้กู่ชิงลั่วจะมอบแก่นโลหิตให้มา แต่มันก็อนุญาตให้เด็กชายได้ “เห็น” เท่านั้น ไม่ได้อนุญาตให้เขาเข้าไปถึงจุด ๆ นั้นจริง ๆ
แม้ว่าซูเฉินจะไม่รู้ว่าเขาได้สร้างม่านละอองน้ำขึ้นมาได้แล้ว และประสบความสำเร็จในสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องพยายามฝึกฝนอย่างหนักอยู่หลายปี ซูเฉินยังคงเดาว่าสายเลือดนั้นเป็นอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในการพัฒนาก้าวย่างหมอกอสรพิษสู่ระดับถัดไป
เด็กชายถอนหายใจในใจ แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้
ซูเฉินยังคงจมดิ่งอยู่ในความคิดของเขาและสัมผัสถึงการมีอยู่ของอสรพิษทะยานอย่างต่อเนื่อง รับรู้ให้ลึกมากขึ้นและลึกซึ้งยิ่งขึ้น ทันใดนั้นซูเฉินก็ได้ยินเสียงคำรามของมังกรระเบิดเข้ามาในหัว
กรร!
ในจิตสำนึกของเขา มีมังกรขนาดใหญ่ปรากฏตัวขึ้น เปลวเพลิงที่ลุกโชติช่วงอย่างน่าอัศจรรย์ โผล่เข้ามาในสายตาของซูเฉิน
“อา!” ซูเฉินตะโกนขึ้นเสียงดัง ขณะที่เด็กชายตกลงไปในสระอีกครั้ง ครานี้เขาจมลงไปใต้น้ำและไม่ได้กลับขึ้นมา
“ซูเฉิน!” กู่ชิงลั่วรีบวิ่งไปที่สระน้ำอย่างรวดเร็ว นางคว้าตัวซูเฉินไว้แล้วดึงเขาขึ้นจากน้ำ
เสื้อผ้าของนางเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ เผยให้เห็นเรือนร่างที่ละเอียดอ่อนและงดงาม แต่เวลานี้กู่ชิงลั่วไม่มีอารมณ์ที่จะสนใจมัน นางคว้าไหล่ของซูเฉินไว้แล้วตะโกนเสียงดัง “ซูเฉิน! ซูเฉินเกิดอะไรขึ้น?”
ซูเฉินจ้องมองท้องฟ้าอย่างว่างเปล่าราวกับคนโง่
หลังจากนั้นไม่นานสติของเขาก็กลับคืนมา
ดวงตาของเด็กชายเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้า…” กู่ชิงลั่วตกใจ
ซูเฉินร้องไห้ เขาร้องไห้ออกมาจริง ๆ
เด็กชายลุกขึ้นและสัมผัสใบหน้าของกู่ชิงลั่ว
กู่ชิงลั่วสับสนและปล่อยให้เขาสัมผัสใบหน้าของนาง
“ซูเฉิน เกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน?” กู่ชิงลั่วถาม
ร่างของซูเฉินสั่นเทาขณะที่เขาตอบว่า “ แสง … ข้ามองเห็นแสงสว่าง … ข้ามองเห็นแสงสว่างแล้ว!”
เขาร้องไห้ด้วยความดีใจ!
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)