ตอนที่ 600 เจ้าเห็นข้าเป็นลูกน้องของเจ้าไปแล้วจริงๆ หรือ?
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ถามอีกว่า “เหตุใดต้องรีบร้อนให้ราชสำนักลงมือกับเจ้าในเวลานี้ด้วย?”
หนิวโหย่วเต้าเดินลงไปนั่งลงข้างโต๊ะทำงาน เตรียมจะเขียนจดหมายส่งให้ซางเฉาจง ครั้งนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงเข้าโจมตีติ้งโจวเท่านั้น หาแต่ชิงมาแล้วก็ต้องรักษาไว้ให้ได้ด้วย เรื่องที่จำเป็นต้องจัดการอย่างละเอียดอ่อนบางเรื่องจะต้องกำชับซางเฉาจงไว้ให้ชัดเจน พอได้ฟังก็อดหัวเราะไม่ได้ “ดูเหมือนท่านจะสนใจเรื่องของทางนี้ขึ้นมาแล้วนะ”
ก่วนฟางอี๋ที่ตามหลังเข้ามาก็รู้หน้าที่เป็นอย่างดี เป็นฝ่ายรินน้ำฝนหมึกให้เอง สีหน้าดูเหมือนจะราบเรียบ แต่ความจริงก็เงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างทั้งสองอยู่
ชายในชุดลายดอกถามว่า “ก็ไม่ได้สนใจอันใดนักหรอก ทำไม บอกข้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยยิ้มๆ “แค่แปลกใจนิดหน่อย ท่านดูไม่เหมือนจะเป็นคนที่ชอบถามเรื่องพวกนี้เลย”
“เจ้าเพิ่งเคยเจอข้าเพียงสองหนเท่านั้น จะรู้จักข้ามากเท่าไรกันเชียว?”
“มันก็ใช่ เดิมคิดไว้ว่าท่านมิใช่คนช่างพูดนัก”
“แล้วบอกได้หรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้าหยิบกระดาษมาปูไว้ตรงหน้าพลางเอ่ยว่า “เรื่องผ่านไปหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่บอกไม่ได้ สาเหตุนั้นมีมากมาย ประการแรก ข้ารู้ดีว่าซางเจี้ยนสยงจะลงมือกับข้าในไม่ช้าก็เร็ว ถึงข้าหลบซ่อนก็ซ่อนไปได้แค่ระยะหนึ่ง ไม่มีทางซ่อนตัวในระยะยาวได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องได้ปะทะกับเขาแน่ ข้าเองก็มองหาโอกาสสำหรับเผชิญหน้ากับปัญหานี้อยู่”
“ประการที่สอง เพื่อรับมือกับแคว้นจ้าวและแคว้นเยี่ยนที่คุกคามจินโจวและหนานโจว ไพร่พลและเสบียงทัพของหนานโจวถูกระดมสะสมไว้แล้ว หากสลายทัพแล้วระดมกำลังใหม่ ยุบๆ รวมๆ กันซ้ำหลายรอบจะสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพยากรเกินไป ถือโอกาสนำมาใช้ประโยชน์ได้พอดี”
“ประการที่สาม สถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แคว้นหานและแคว้นซ่งส่งทัพใหญ่เข้ากดดัน ราชสำนักถูกถ่วงมือถ่วงเท้าไว้ ถือเป็นโอกาสดีที่นำมาใช้ประโยชน์ได้”
“ประการที่สี่ ท่านเองก็ได้เห็นคนชุดดำเหล่านั้นแล้ว เป็นคนที่ข้าขอยืมกำลังมา กองกำลังเหล่านี้ไม่ได้รับคำสั่งจากทางฝั่งข้าโดยตรง ข้าขอยืมกำลังมาใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ไม่มีทางรั้งอยู่ข้างกายข้าไปในระยะยาว ข้าต้องเร่งจัดการสถานการณ์แข่งกับเวลา”
“ประการที่ห้า กล่าวโดยสรุปคือ หลังจากราชสำนักทำพลาดในการลอบสังหารข้าที่จินโจว ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ ข้าก็จำเป็นต้องฉวยโอกาสในยามที่ข้าสามารถระดมกำลังอันแข็งแกร่งได้และอยู่ในช่วงเวลาที่เอื้อประโยชน์ต่อข้าที่สุด ลงมือในช่วงเวลาที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อราชสำนักที่สุด!”
“เหตุผลเหล่านี้แสดงความจริงใจที่ข้ามีต่อท่านมากพอแล้วกระมัง?” หนิวโหย่วเต้าผายมือทั้งสองข้าง
ก่วนฟางอี๋ฟังแล้วกลอกตาทันที มีความจริงใจมากนักนะ ยังไม่เคยแสดงความจริงใจต่อข้าเช่นนี้มาก่อนเลย
ถึงแม้นางจะติดตามหนิวโหย่วเต้าและได้พบเจอเรื่องราวต่างๆ มาด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่ค่อยเข้าใจอะไรสักเท่าไร นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เข้าใจในเจตนาของหนิวโหย่วเต้าอย่างแจ่มแจ้ง หลายเรื่องราวที่ไม่เข้าใจพลันกระจ่างแจ้งในทันใด
ชายในชุดลายดอกใคร่ครวญแล้วเอ่ยเนิบๆ ขึ้นว่า “แม้จะให้เวลาราชสำนักได้เตรียมตัว แต่ในช่วงเวลานั้นก็ทำให้ราชสำนักไม่อาจเตรียมตัวอย่างเต็มที่ได้ แม้ว่าทำเช่นนี้จะเลี่ยงไม่ให้ตนเสียเปรียบได้ แต่ก็เป็นการเผยกำลังของเจ้าที่นำออกมาเขย่าขวัญราชสำนักเช่นกัน ทำให้หลังจากนี้ไปราชสำนักจะไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือกับเจ้าอีก!
จู่ๆ ก็เงยหน้าจ้องมองเขาแล้วถามออกมาอีกครั้ง “เรื่องราชทูตแคว้นซ่งใช่ฝีมือของเจ้าหรือไม่?”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มแต่ไม่ตอบ หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วลูบเส้นขนที่ชี้ออกมาจากปลายพู่กัน เท่ากับว่ายอมรับโดยปริยายแล้ว เรื่องเช่นนี้เขาไม่มีทางเอ่ยยอมรับกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ก็ไม่อยากจะโกหกอีกฝ่ายเช่นกัน ให้อีกฝ่ายคิดเอาเองจะดีกว่า
สายตาที่ชายในชุดลายดอกมองเขาพลันฉายแววซับซ้อนขึ้นมา
เขาเข้าใจเรื่องทุกอย่างแล้ว สถานการณ์ที่ทัพใหญ่แคว้นหานและแคว้นซ่งที่เข้ากดดันแคว้นเยี่ยนเกิดจากการปลุกปั่นขอคนผู้นี้
หลังจากนั้นก็ติดต่อให้เขามาคอยคุ้มกันล่วงหน้า แปลว่าคนผู้นี้ทราบแต่แรกแล้วว่าราชสำนักจะลงมือกับตน เตรียมการถ่วงมือถ่วงเท้าราชสำนักไว้แต่เนิ่นๆ เฝ้ารอให้ราชสำนักมาลงมือกับเขา
สาเหตุประการที่สองที่คนผู้นี้กล่าวถึง ที่บอกว่าไพร่พลและเสบียงทัพของมณฑลหนานโจวถูกรวบรวมไว้พร้อมใช้งานพอดี หมายความว่าคนผู้นี้เตรียมการสำหรับโจมตีตอบโต้ไว้แต่แรกแล้ว
เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะหาคำใดมาใช้นิยามถึงคนรุ่นหลังผู้นี้ดี จึงเอ่ยเนิบๆ ว่า “ดูเหมือนว่าถ้าครั้งนี้เจ้าไม่ได้ขย้ำเนื้อราชสำนักหลุดมาสักชิ้นสองชิ้น เจ้าก็คงไม่มีทางยอมรามือกระมัง”
หนิวโหย่วเต้ายกพู่กันจุ่มหมึก ส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน กว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ ข้าก็พยายามเลี่ยงแล้วเลี่ยงอีก เว้นแต่ข้าจะยอมละทิ้งหนานโจวไป แต่ด้านนอกยังมีพวกพ้องที่เชื่อมั่นในตัวข้าคอยติดสอยห้อยตามข้าอยู่ หากข้ายอมละทิ้งไปง่ายๆ ข้าก็ไม่มีทางไปอธิบายกับพวกเขาได้ ไพร่พลของสกุลซางในหนานโจวก็จะต้องเผชิญกับการถูกกวาดล้างเช่นกัน”
“ส่วนฝั่งราชสำนักก็อยู่ไม่สุข เอาแต่คิดเล่นงานทางนี้อยู่ตลอด หากไม่สั่งสอนให้พวกเขาหลาบจำเสียบ้าง พวกเขาก็คงไม่มีทางยอมหดมือที่ยื่นออกมาก่อกวนกลับไป ยอมปะทะในวันนี้เพื่อเลี่ยงปัญหาที่ใหญ่กว่าในภายภาคหน้า หลังจากผ่านเรื่องในครั้งนี้ไป ขอเพียงไม่เกิดเหตุเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น ก็น่าจะไม่มีผู้ใดกล้าลงมือกับคฤหาสน์กระท่อมฟางของข้าส่งเดชอีก!”
ชายในชุดลายดอกครุ่นคิดเงียบๆ จู่ๆ ก็เอ่ยโพล่งออกมา “ไฉนตงกัวเฮ่าหรานจึงรับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายกันนะ?”
หนิวโหย่วเต้าคลี่กระดาษ ยกพู่กันจุ่มหมึกเขียนอักษรพลางเอ่ยว่า “เห็นแก่ที่ท่านเป็นยอดฝีมือ ข้าจะทำเป็นไม่ได้ยินก็แล้วกัน”
ชายในชุดลายดอกพลันถอนหายใจ เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ามีประโยชน์ต่อพวกเขามากกว่าข้ามากนัก! ข้าถูกขับไล่ออกจากสำนักก็เพราะข้าทำผิด ข้าสมควรได้รับโทษแล้ว แต่พวกเขาไม่สมควรขับไล่เจ้าออกมาเลย ช่างเลอะเลือนนัก!”
อะไรคือเจ้าข้าพวกเขา? ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายในวาจาของเขาหรือไม่ แต่ก็ทำเหมือนอย่างที่ว่ามาเมื่อกี้นี้จริงๆ ทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ปริปากเอ่ย เขียนจดหมายของตนไป
ชายในชุดลายดอกเดินวนไปวนมาอยู่ในห้อง จมดิ่งอยู่ในสภาวะอารมณ์แปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ทอดถอนใจออกมาเป็นครั้งคราว
….
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า