ท่าทางที่เต็มไปด้วยการเฝ้ารอของเจียงหลีนั้น ช่างน่ารักเสียจริง
แววตาแวววาวดั่งเครื่องแก้วของลู่เจี้ย มีความอ่อนโยนที่สังเกตได้ยากผุดขึ้นมา ขณะที่นางกำลังเฝ้าคอยคำตอบอยู่นั้น เขาก็พยักหน้าอย่างเชื่องช้า
“เยี่ยมเลย!” ได้คำตอบที่แน่ชัดแล้ว ดวงตาที่สดใสของเจียงหลี ก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี
ในขณะเดียวกัน นางก็แอบประหลาดใจอยู่เงียบๆ ลู่เจี้ยไม่มีผู้ใดแนะนำ ค้นหาวิธีการบำเพ็ญเป็นเนี่ยนซือที่ยากที่สุดนี้ได้ด้วยตนเอง คิดไม่ถึงว่าจะบรรลุถึงขั้นเนี่ยนจงได้ขณะอายุยังน้อยเช่นนี้ หากเขาสามารถฝึกฝนเป็นหลิงซือได้ พรสวรรค์ของเขาจะน่ากลัวเพียงใด
“ข้าจะตั้งค่ายกลให้เจ้าเดี๋ยวนี้” ลู่เจี้ยเอ่ยปาก
เจียงหลีพยักหน้า เอ่ยถามอย่างสงสัย “ท่านคิดจะปกปิดไปอีกนานเท่าไร”
ขณะเดียวกัน ก็เอ่ยถามอย่างกังวล “เนี่ยนจงหรือหลิงจงและขั้นที่สูงกว่าของราชวงศ์โฮ่วจิ้นมีมากหรือไม่”
“ไม่มากนัก” ลู่เจี้ยส่ายหน้าอย่างเชื่องช้า
ขณะที่พูดไป เขาก็ยกมือขึ้น ให้เจียงหลีได้เห็นพลังโปร่งใสที่พันรอบนิ้วมืออันเรียวยาวของเขา ไม่เหมือนกับพลังวิญญาณเลยสักนิด
“ในโฮ่วจิ้นหรือทั้งพื้นที่ทางใต้นี้ ผู้มีเจ็ดเนตรญาณก็นับว่าเป็นผู้ที่สวรรค์ประทานแล้ว แต่หากจะมองการณ์ไกล เจ็ดเนตรญาณยังไม่ถือว่าเป็นขั้นสุด หลีเอ๋อร์ ข้าจะตั้งค่ายกลสองชั้นบนกายเจ้า ชั้นแรก ปกปิดเนตรญาณของเจ้าสองดวง ชั้นที่สอง ปกปิดอีกหนึ่งเนตรญาณของเจ้า” เสียงลู่เจี้ยค่อยๆ กล่าวขึ้นอย่างช้าๆ
เจียงหลีขมวดคิ้วเล็กน้อย บ่นพึมพำ “ทำไมถึงได้ยุ่งยากเพียงนี้”
ลู่เจี้ยกลับหัวเราะออกมา พลังความคิดรอบกายเขา ค่อยๆ กลายเป็นลวดลายอันน่าค้นหา ลวดลายเหล่านั้นเหมือนว่ารวบรวมพลังอันยิ่งใหญ่เอาไว้ ประกอบกลายเป็นกงล้อ ปกคลุมพวกเขาทั้งสองไว้ภายใน
เจียงหลีรู้สึกว่าพลังจิตของลู่เจี้ยนั้นตกกระทบลงมาบนร่างกายนาง ไม่ได้มีความรู้สึกไม่สบายตัวอย่างไร แต่กลับเหมือนดั่งได้แช่อยู่ในน้ำพุร้อน ความอบอุ่นกระจายไปทั่วร่าง สบายตัวยิ่งนัก
ทันใดนั้น เจียงหลีก็นึกขึ้นได้ และมองลู่เจี้ยอย่างตกใจ เขาช่างเจ้าเล่ห์นัก! ทำไมลู่เจี้ยถึงได้ทำเรื่องให้ยุ่งยาก จะต้องตั้งค่ายกลสองชั้นกัน
แน่นอนว่าเพื่อเป็นการทำให้ทุกคนเกิดความสับสน!
เนื่องจาก โดยปกติแล้ว แปดเนตรญาณก็เพียงพอที่จะทำให้ใต้หล้านี้อกสั่นขวัญแขวนกันได้แล้ว ค่ายกลชั้นแรกของนาง เพื่อใช้ปกปิดสองเนตรญาณ ในสายตาคนนอก นางก็คือผู้มีเนตรญาณเจ็ดดวง แต่หากประสบพบเจอยอดฝีมือผู้แข็งแกร่ง หรือในสถานการณ์จำเป็น ค่ายกลชั้นแรกของนางถูกคนมองทะลุปรุโปร่งแล้ว เช่นนั้นผู้อื่นก็เห็นเพียงเนตรญาณแปดดวงของนางเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งเก้าเนตรญาณ
เมื่อค่ายกลชั้นแรกถูกคนมองจนทะลุปรุโปร่ง ตามหลักแล้ว ทุกคนจะไม่นึกว่านางยังมีอะไรปิดบังซ่อนเร้นอยู่ แล้วจะตัดสินไปว่าพรสวรรค์แต่กำเนิดของนางคือแปดเนตรญาณ
จะมีใครรู้ได้ว่า นางไม่ได้มีแปดเนตรญาณ แต่เป็นเก้าเนตรญาณกันเล่า
กล่าวได้ว่า การจัดแจงของลู่เจี้ยนี้ ช่างเข้าใจนิสัยธาตุแท้ของมนุษย์ได้อย่างถ่องแท้เสียจริง แล้วยังใช้ประโยชน์จากจุดนี้มาปกป้องนางได้อย่างดีอีก
เจียงหลีประหลาดใจในความชาญฉลาดของชายหนุ่มไม่น้อย ขณะเดียวกันก็แอบกล่าวอยู่ในใจว่า ลู่เจี้ยเอ๋ยลู่เจี้ย เสียดายที่เจ้าไม่รู้ว่าข้าไม่ใช่เก้าเนตรญาณ แต่เป็นสิบเนตรญาณที่แม้แต่ตำนานยังไม่เคยกล่าวถึง! สำหรับเนตรญาณที่สิบนั้น เจียงหลีไม่กังวลนัก เนื่องจากสีสันของมันแตกต่าง อีกทั้งยังไม่โดดเด่นนัก ขนาดลู่เจี้ยยังไม่รู้ คนอื่นจะรู้ได้อย่างไร
เจียงหลีไม่รู้ว่าในใจนางนั้นได้ยอมรับความสามารถและความเก่งกาจของลู่เจี้ยไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
…
หลังจากที่ลู่เจี้ยตั้งค่ายกลได้ไม่กี่วัน เจียงหลีและลู่เสวียนก็เดินทางไปรายงานตัวที่สถานบันไป๋หยวนโดยการคุ้มกันของยอดฝีมือในจวนอ๋องลู่
การสอบเข้าในครั้งที่แล้ว ทำอึกทึกคึกโครมเพียงนั้น เพื่อเป็นการชดเชยให้กับจวนอ๋องลู่ สถาบันไป๋หยวนก็ได้ให้สิทธิพิเศษในการสอบเข้าแก่ทั้งสอง
ฉะนั้น การเข้าสถาบันไป๋หยวนในครั้งนี้ พวกเขานั้นมิใช่สถานะผู้เตรียมสอบ แต่เป็นศิษย์ของสถาบันไป๋หยวนอย่างแท้จริง
“หลียาโถ่ว ในที่สุดเราก็ได้เข้าสถาบันไป๋หยวนนี้แล้ว” เพิ่งจะก้าวเข้าประตูเขาของสถาบันไป๋หยวน ลู่เสวียนก็โล่งใจ


VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์