เฮเฮ!
ลู่เสวียนยิ้มเจ้าเล่ห์ ตั้งท่าต่อสู้พลางจ้องมองไปที่ใครสักคนในสิบอันดับแรก
“หลียาโถ่วงั้นข้าไปก่อนนะ” ลู่เสวียนแทบรอไม่ไหวที่จะก้าวเท้าออกไป แต่ทว่า ทันทีที่เขาก้าวออกไปนั้น เขากลับดึงเท้ากลับแล้วเตือนเจียงหลีว่า “รอบจัดอันดับนี้กำหนดระยะเวลาไว้ที่หนึ่งเดือน บัดนี้ดำเนินมาเกินครึ่งแล้ว หากผู้แพ้มีคะแนนเพิ่มจะถูกหักสิบคะแนน ผู้ที่ไม่มีคะแนนจะไม่ถูกตัดหรือเพิ่มคะแนน ส่วนผู้ชนะสามารถเลือกที่จะพักหรือประลองยุทธได้ตลอดเวลา”
เจียงหลียิ้มเล็กน้อยพร้อมกับยกเท้าขึ้นแล้วเตะไปที่บั้นท้ายของลู่เสวียน แต่ครานี้เขากลับหลบหลีกได้อย่างคล่องตัว “ขอบคุณสำหรับคำเตือน ตาเจ้าขึ้นประลองแล้ว”
นางจะไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร แต่ลู่เสวียนกลับกลัวว่านางจะไม่เข้าใจกฎการแข่งขันในรอบจัดอันดับของผู้สมัครใหม่ ดังนั้น จึงอยากเน้นย้ำเป็นพิเศษอย่างนั้นหรือ
ความละเอียดละออเช่นนี้ ช่างเหมือนกับพี่ชายของเขายิ่งนัก เจียงหลียิ้มกล่าวในใจ
ลู่เสวียนทำหน้าทะเล้นใส่เจียงหลี จากนั้นก็เดินโซเซขึ้นไปบนสังเวียนแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ชนะที่เพิ่งแข่งขันจบไปนั้นอยู่ในอับดับที่เจ็ดพอดีและการฝึกฝนก็อยู่ในหลิงซื่อขั้นที่หกเช่นเดียวกับลู่เสวียน
แต่แท้จริงแล้วลู่เสวียนเคยก้าวถึงหลิงซื่อขั้นที่แปด แม้ว่าการฝึกฝนจะถดถอยไปบ้างก็ตาม แต่สำหรับความเข้าใจในทักษะการต่อสู้แล้ว ก็สูงกว่าบุคคลนั้นอย่างแน่นอน
เจียงหลีชำเลืองตามองกการออกอาวุธของพวกเขาทั้งสองเพียงสองสามกระบวนท่าเท่านั้น ก็สรุปได้แล้วว่าลู่เสวียนต้องได้รับชัยชนะอย่างแน่นอน
เด็กคนนี้ก็มิใช่นายที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบขนาดนั้น เจียงหลีถอนหายใจแล้วกล่าวในใจ
…
การแข่งขันรอบจัดอันดับของลู่เสวียนได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่เจียงหลีกลับเดินไปรอบๆ บริเวณสังเวียนอย่างไร้จุดหมายต่อไป
อันที่จริงแล้ว การจะเข้าสู่รั้วของเจ็ดบุรุษได้หรือไม่นั้น มิได้อยู่ในความสนใจของนางมากนัก
แต่ทว่า…
เจียงหลีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หรี่ตาไตร่ตรอง “สถานะแตกต่างกัน แน่นอนว่าต้นทุนในการฝึกฝนก็คงแตกต่างกันเช่นกัน สิ่งที่ข้าขาดมากที่สุดในตอนนี้คือ ต้นทุนในการฝึกฝนและวิญญาณยุทธขั้นที่สองที่ต้องอาศัยสถาบันไป๋หยวนถึงจะฝึกฝนสำเร็จ…”
นางกะพริบตา ส่ายหัวแล้วถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าการที่จะบรรลุเป้าหมายของข้านั้น คงเหลือเพียงเหยียบยอดอัจฉริยะเหล่านี้ไต่ขึ้นระดับสูงเท่านั้นแล้ว”
“ชู่ว! ไร้ยางอายสิ้นดี” คำพูดถากถางอย่างเย็นชาเช่นนี้ดังมาจากด้านหลังของเจียงหลี
นางหันหลังกลับ มองเห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามาหานางด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจและรายล้อมไปด้วยผู้คนซ้ายขวา “สาวน้อยเป็นใครมาจากไหน ถึงพูดจาบังอาจเช่นนี้”
เจียงหลีกลอกตาและตระหนักดีว่า ‘ผู้ถูกเลือก’ ผู้นี้ได้ยินคำพูดที่พูดจากก้นบึ้งหัวใจของตน
“ท่านคือ…” นางยิ้มโดยมิได้โกรธเคืองใดๆ
นางเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น ทำให้จมูกของชายผู้นั้นยิ่งยกสูงขึ้นและแสงแห่งความดูถูกในแววตาก็ยิ่งส่องประกายด้วยเช่นกัน
ไม่จำเป็นต้องให้เขาเอ่ยปาก สุนัขประจบสอพลอที่อยู่ข้างกายเขารีบเชิดใบหน้าขึ้นทันทีและแนะนำให้แก่เจียงหลีด้วยความโอหัง “แม้แต่นายน้อยหงของพวกเราเจ้ายังไม่รู้จัก สาวน้อยเจ้ามาจากชนบทหรือ”
“นายน้อยหง?” สีหน้าของเจียงหลีแลดูว่างเปล่าพลางส่ายหัวอย่างจริงใจ “ข้าไม่รู้จักเขาจริงๆ”
“นังบ้านนอก นายน้อยหงของพวกเราเป็นถึงผู้ถูกเลือกที่มีหลิงซื่อขั้นที่เจ็ดเชียวนะ ชั่วครู่เจ้าพูดอะไรออกมา จะเหยียบยอดอัจฉริยะไต่ขึ้นระดับสูงอย่างนั้นหรือ” สุนัขรับใช้อีกคนกล่าวด้วยเสียงดังลั่น
ประโยคนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างหันหน้ามองไปที่เจียงหลีด้วยแววตาไร้ความปรานี
สถานที่แห่งนี้คือสถานบันไป๋หยวน มิใช่ตลาด ผู้ที่สามารถปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่มีความทนงตนอยู่ภายในจิตใจ
ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือการแข่งขันรอบจัดอันดับสำหรับเด็กใหม่หรือ
อาจกล่าวได้ว่า คำพูดของเจียงหลีนี้ ไม่ว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม ได้สร้างความโกรธเคืองต่อหน้าสาธารณชนแล้ว
เพียงแต่ พอเผชิญหน้ากับสายตาที่ไม่เป็นมิตรของผู้อื่น เจียงหลีมิได้มีความเขินอายใดๆ เลย นางกลับยิ้มอย่างเฉยเมย “คำพูดนี้ออกมาจากปากข้าเองจริงๆ ”
หืม!
นางยอมรับจริงๆ หรือ
บ้าอะไรเนี่ย! สาวน้อยคนนี้บ้าไปแล้วหรือ

VERIFYCAPTCHA_LABEL
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ราชินีพลิกสวรรค์